ตอนที่ 64 ข้าโกหกทีไร หน้าจะแดงทุกที
เซี่ยเหล่าเกินย่อมได้รับข่าวเรื่องนี้อยู่แล้ว
คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเซี่ยต่างรื่นเริงยินดี ทว่าทั้งครอบครัวเซี่ยเหล่าเกินกลับขมขื่นใจ หร่วนซื่อเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้หมอโจวที่ประจำหอยาเป่าเหอไม่ได้บอกว่าต่อให้รักษาแผลให้หาย ก็อาจจะพิการติดเตียงตลอดชีวิตมิใช่หรือ หมอคนนั้นพูดจริงหรือ”
เซี่ยเหล่าเกินพูดอย่างเดือดดาล “หมอโจวเป็นแค่หมอในอำเภอนี้ หมอฉีกลับเป็นถึงหมอจากเมืองหลวง วิชาการแพทย์ต้องยอดเยี่ยมกว่าอยู่แล้ว เขาบอกว่ารักษาได้ ก็ย่อมแปลว่ารักษาได้”
เซี่ยเหล่าเกินนึกถึงตอนที่ลูกชายบาดเจ็บสาหัส ตนกลับไล่เขาออกจากบ้าน
ถ้าลูกชายดีขึ้น จะนับพ่อนับแม่กับพวกเขาไหม
บุตรคนโตเซี่ยต้าเฉียงคลี่ยิ้ม “น้องสามรักษาหายก็ดีน่ะสิ เขาหายดี ชีวิตพวกเราจะได้ดีไปด้วย”
เฉินหลิ่วพยักหน้า “นั่นสิ ท่านพ่อท่านแม่จะเศร้าใจทำไม”
หร่วนซื่อได้ยินคำพูดของลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ก็ตบมือหนึ่งที “นั่นน่ะสิ เขาคือลูกข้า ต่อให้พวกเราจะแยกบ้านกัน อย่างไรเขาก็ยังเป็นลูกชายข้าอยู่ดี ต่อให้เขาจะโวยวายจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟังข้า ก็ถือว่าอกตัญญูต่อข้า ข้าจะไปฟ้องเขาที่ที่ว่าการอำเภอ ให้นายอำเภอเอาผิดเขา”
เซี่ยเหล่าเกินได้ยินคำพูดของหร่วนซื่อก็ตวาดเสียงเขียว “เงียบปากไปเลย เหลวไหลไปกันใหญ่”
เซี่ยหลานมองหร่วนซื่อแล้วยิ้มปริ “ท่านแม่ ไปรับพี่สามกลับมาเถอะ”
หร่วนซื่อได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
นางหันไปมองหร่วนเหล่าเกิน “ตอนบ่ายไปรับเจ้าสามกลับมาเถอะ”
เซี่ยเหล่าเกินถอนหายใจยาว “เขาคงไม่ยอมกลับมาหรอก”
หร่วนซื่อชักสีหน้าดุดัน “เขากล้าหรือ”
เซี่ยเหล่าเกินครุ่นคิดก็เห็นด้วย “ได้ ตอนบ่ายไปรับพวกเขากลับมา”
สีหน้าเจ้าสี่ตระกูลเซี่ยไม่สู้ดีทันที
ถ้าพี่สามกลับมา หลังจากตนแต่งงานแล้วจะไปอยู่ที่ไหน
เซี่ยอวิ๋นหวาสีหน้าหมองหม่น คิดขึ้นว่า ขาของพี่สามจะหายได้อย่างไร
ลู่เจียวไม่รู้ว่าคนสกุลเซี่ยจะไร้ยางอายได้ถึงขั้นนี้ นางกำลังเตรียมมื้อเที่ยงกับเถียนซื่ออย่างมีความสุข
มื้อเที่ยงนี้ พวกนางหุงข้าวเจ้าหม้อใหญ่ และทำกับข้าวไปหลายอย่าง
มีทั้งเนื้อทรายตุ๋นน้ำแดง ผัดกาดขาวผัดลิ้นหมู หูหมูพะโล้ ผัดผักกาดใส่กระเทียมและไข่ตุ๋นต้นหอม
เดิมทีลู่เจียวยังอยากทำอีกหลายอย่าง สุดท้ายก็นึกได้ว่าที่บ้านไม่มีถ้วยชามมากขนาดนั้น อีกทั้งยังมีหม้อแค่ใบเดียว ไม่มีทางทำหลายอย่างได้อยู่แล้ว
หลังจากทำอาหารเสร็จ นางก็นึกถึงเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง
ตอนเช้ายังไม่ทันไปสั่งโต๊ะและเก้าอี้กับท่านอาโหย่วไฉ เที่ยงนี้ยังคงต้องยืนกินอยู่ดี
ลู่เจียววิ่งไปที่เรือนตะวันออกแล้วบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างจนปัญญา “เที่ยงนี้คงต้องยืนกิน กินข้าวเสร็จข้าจะไปสั่งโต๊ะเก้าอี้กับท่านอาโหย่วไฉ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าลู่เจียวยุ่งมาครึ่งค่อนวัน จึงเพียงพยักหน้า “ลำบากแม่ยายและน้องชายแล้ว”
ลู่เจียวพูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไร”
นางเพิ่งจะกล่าวจบ เอ้อร์เป่าก็วิ่งไปวิ่งเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบร้น ยังไม่หยุดหอบหายใจก็พูดกับลู่เจียว “ท่านแม่ มีรถม้าคันใหญ่จอดอยู่หน้าบ้าน บนรถมีคนอยู่สามสี่คน”
ลู่เจียวรู้สึกฉงนสงสัย แล้วหันไปเลิกม่านมองออกไปด้านนอก เห็นรถม้าจอดอยู่นอกรั้วบ้านอย่างที่คิด มีคนยื่นศีรษะออกมาด้านนอกสองสามคน
ด้านนอกมีเด็กๆ ล้อมรถม้าอยู่ไม่น้อย ต่างชี้ไปที่รถม้าด้วยความสงสัย
ลู่เจียวอดรู้สึกปวดศีรษะไม่ได้ ใครมาอีกแล้ว
นางหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ข้าจะออกไปดูว่าใครมา”
เหตุใดถึงมาได้เวลากินข้าวพอดี มาตอนนี้ พวกนางก็ไม่ชวนกินข้าวหรอกนะ
ไม่ใช่ว่านางขี้งก แต่ตะเกียบไม่พอใช้จริงๆ อีกอย่างอาหารก็แทบไม่มีจานใส่ เลยไม่มีหน้าไปชวนคนอื่นกินข้าว
เถียนซื่อและลู่กุ้ยกำลังคุยกับชายหนุ่มสองสามคนตรงหน้าประตู
“พวกเจ้าคือใคร”
หนึ่งในชายหนุ่มที่ดูโตสุดเดินหน้ามา “พวกเราคือลูกศิษย์ของช่างไม้เฉิน หมอฉีซื้อเตียง ตู้เสื้อผ้า เก้าอี้และโต๊ะกับอาจารย์พวกเรา แล้วสั่งให้ส่งมาให้พวกเจ้า หมอฉีบอกว่า แม่นางลู่ให้สูตรยาแก้พิษงูกับเขา เขารู้สึกเกรงใจ จึงส่งของพวกนี้มาให้แม่นางลู่แทนคำขอบคุณ”
เวลานี้ ชาวบ้านที่เดินมาดูหน้าบ้านเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันที
พวกเขาไม่ได้นินทาว่าร้าย แค่กล่าวว่าลู่เจียวเป็นคนใจกว้าง ยอมให้สูตรยาแก้พิษ นางควรรับเงินหมอฉีถึงจะถูก
ลู่เจียวที่อยู่ด้านในได้ยินลูกศิษย์ของช่างไม้เฉินพูดเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น แม้ชาวบ้านไม่รู้ แต่นางจะไม่รู้ได้อย่างไร
ฉีเหล่ยไม่ได้เอายาสามสูตรของนางไปเปล่าๆ
ตอนนี้เขาส่งของพวกนี้มาให้ด้วยเหตุใดกัน หรือเขาคิดว่าเงินที่ให้มาน้อยเกินไป เลยสั่งเครื่งเรือนมาให้นาง
แต่ตอนนั้นไม่เห็นเขาพูดว่าจะให้ค่าตอบแทนอะไรเพิ่มนี่ นี่มันหมายความว่าอย่างไร
ลู่เจียวขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ไม่นานก็นึกถึงตอนที่ตนบอกฉีเหล่ยเรื่องผ่าตัดได้ เหมือนเขาจะตื่นเต้นมาก
หรือว่าเขาอยากให้นางสอนเขาผ่าตัด ดังนั้นเลยส่งของพวกนี้มาให้นาง แต่ถ้าเขาอยากฝึก นางต้องสอนเขาโดยไม่รับเงินสักตำลึงอยู่แล้ว
ลู่เจียวคิดได้เช่นนี้ ก็เข้าใจกระจ่างแจ้งทันที จึงถามชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มๆ
“มีของอะไรบ้าง”
ชายหนุ่มยื่นกระดาษให้หนึ่งแผ่น
ลู่เจียวรับมาอ่าน บนกระดาษระบุว่ามีเตียงสองหลัง ตู้เล็กสองหลัง โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะกินข้าวและเก้าอี้
เครื่องเรือนที่ขาดแคลนในบ้านก็ถือว่าซื้อมาครบหมดทุกอย่าง หมอฉีช่างมีใจเหลือเกิน
ลู่เจียวไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธแม้แต่น้อย บ้านพวกนางขาดแคลนของใช้เหล่านี้จริงๆ ไหนๆ เขาก็สั่งคนส่งมาแล้ว ตนก็จะรับไว้
“ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าช่วยข้าขนเข้ามาเถอะ”
“ขอรับ”
ชายหนุ่มสามคนทยอยกันขนของเข้าไปด้านในทันที ลู่เจียวถือรายการเดินเข้าไปในห้องโถง เถียนซื่อเดินตามหลังนางไปด้วยความกังวล
“เจียวเจียว นี่ไม่ค่อยดีหรือเปล่า เจ้าต้องถามอวิ๋นจิ่นหน่อยไหม”
ลู่เจียวหันไปมองเถียนซื่อปราดหนึ่งแล้วบอกนางยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ท่านแม่อย่ากังวลใจไปเลย”
เมื่อเทียบกับความกังวลของเถียนซื่อ สี่แฝดกลับดีใจมาก พวกเขาเข้าไปล้อมรถม้าไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“บ้านพวกเราจะมีเตียงแล้วหรือ”
“ยังมีโต๊ะเขียนหนังสือแน่ะ”
“แล้วยังมีโต๊ะและเก้าอี้กินข้าวด้วย”
“วันหลังไม่ต้องยืนกินแล้ว”
ลู่เจียวมองแฝดสี่มีความสุขก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ นางเอารายการเดินเข้าไปในเรือนตะวันออกเพื่อบอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปั้นหน้าเย็นชาทันที เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อยู่ดีๆ เขาเอาของพวกนี้มาให้เราทำไม”
ก่อนหน้านี้ลู่เจียวเขียนสูตรยาแก้พิษงูให้เขา เขาให้เงินมาแล้วนี่
ตามหลักแล้ว พวกเราน่าจะไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว
ไม่ใช่สิ ต่อไปเขาต้องมาผ่าตัดให้ตัวเอง ตามหลักแล้วพวกเราควรขอร้องเขาถึงจะถูก ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาส่งของมากมายมาให้พวกเรา
นี่ประหลาดเกินไปกระมัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรี่ตามองลู่เจียว “เจ้าไปขอให้เขาช่วยซื้อหรือ”
ลู่เจียวส่ายหัว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถามอีกครั้ง “แล้วเจ้ากับเขาไปตกลงอะไรกัน”
ลู่เจียวส่ายหัวอีก ก็ไม่ได้ตกลงอะไรกันนี่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วค่อยๆ พูดขึ้น “เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม”
ลู่เจียวตอบด้วยเสียงจริงจังทันที “อยู่ดีๆ ข้าจะไปโกหกเจ้าไปทำไม ตั้งแต่เด็กจนโต ข้าไม่เคยโกหกใคร ข้าโกหกทีไรหน้าจะแดงทุกที ข้าโกหกแล้วจะกระวนกระวายใจจนไม่กล้าสบตาใคร เจ้าเห็นหน้าข้าแดงหรือไม่ กระวนกระวายใจหรือไม่ ไม่กล้าสบตาใครหรือไม่”
นางสบตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างซื่อตรง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับโมโหจนแค่นหัวเราะเสียงเย็น
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแม่นางคนนี้ยังมีความสามารถอีกด้าน นอกจากปั้นน้ำเป็นตัวโดยไม่ต้องเตรียมคำพูดแล้ว ยังพูดปดโดยไม่รู้สึกรู้สาอีก
นางเป็นใครมาจากไหนก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ยังบอกว่าไม่เคยพูดปดอีก เหอะ!