ตอนที่ 74 ข้ารังเกียจความคิดสกปรกของเจ้า
ลู่เจียวไม่สนใจเสียงของหร่วนซื่อ พาแฝดสี่กลับบ้านไปทันที คนในหมู่บ้านต่างปลอบโยนนาง กล่าวว่าอย่าไปโกรธทั้งครอบครัวของเซี่ยเหล่าเกินเลย พวกเขาไร้เหตุผลอยู่แล้ว
ขณะที่ลู่เจียวพาแฝดสี่เดินกลับบ้าน ชาวบ้านที่ติดตามอยู่ด้านหลังมากมายก็ทยอยกับกลับบ้านตัวเอง ตอนใกล้ถึงบ้านเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เหลือเพียงสองสามคนเท่านั้น ทว่าใครจะไปรู้ว่ายังไม่ถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้โวยวายดังมาจากสวนหย่อมขนาดเล็กของบ้านเสิ่น มีคนไม่น้อยกำลังมุงดูเรื่องสนุกตรงนอกรั้ว
ลู่เจียวเห็นว่าที่นี่ดูครึกครื้น ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตนให้หลัววั่งไฉไปสู่ขอเสิ่นซิ่วเป็นภรรยา
นางจึงรู้สึกสนใจเรื่องตรงหน้าขึ้นมา จูงมือซานเป่าและซื่อเป่าไปที่บ้านเสิ่น
เถียนซื่อจูงอีกสองคนเดินตามไป คนในหมู่บ้านเซี่ยที่ตามหลังที่เหลือก็เดินไปชมเรื่องสนุกนี้เหมือนกัน
ภายในสวนหย่อมบ้านเสิ่น เสิ่นซิ่วกำลังนั่งร้องไห้ตรงหน้าประตูห้องโถง เด็กหญิงอายุสามสี่ขวบนั่งร้องไห้อยู่ข้างนาง
สองแม่ลูกร้องไห้กันอย่างเศร้าระทม ชาวบ้านนอกสวนกำลังวิพากษ์วิจารณ์นาง
“เสิ่วซิ่วไม่เห็นด้วย เรื่องก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“หลัววั่งไฉจะมีเงินได้อย่างไรกันเล่า ตอนนี้แม้แต่เงินกินข้าวเขายังไม่มีเลย ปกติเอาแต่ลักเล็กขโมยน้อย เอาตัวรอดไปวันๆ”
“ใครจะไปรู้ เขาอาจจะมีเงินออมก็ได้”
หน้าประตูสวนบ้านเสิ่น เสิ่นซิ่วร้องไห้พลางตะโกนอยงสิ้นหวังจวนจะขาดใจ “ข้าไม่แต่ง ข้าจะไม่แต่งกับหลัววั่งไฉเด็ดขาด อย่าแม้แต่จะคิด”
“ถ้าพวกท่านทนดูข้าอยู่ต่อในบ้านไม่ได้ ข้าก็จะออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
ชาวบ้านที่อยู่หน้าประตูใหญ่เห็นทุกอย่าง แต่ละคนก็เห็นอกเห็นใจเสิ่นซิ่วมาก
“แม่หม้ายหลี่ทำเกินไปแล้ว ถึงกับขายบุตรให้หลัววั่งไฉเพราะเงิน หลัววั่งไฉอดมื้อกินมื้อ เสิ่นซิ่วแต่งงานกับเขา ต้องไม่มีชีวิตที่ดีแน่นอน เขาไม่มีทางเลี้ยงดูพวกนางสองแม่ลูกได้อยู่แล้ว”
“ในสายตาของแม่หม้ายหลี่มีแต่เงินเท่านั้นแหละ จะสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร สิบตำลึงเงินเลยนะ บุตรีคนนี้ทำเงินให้นางได้ตั้งสองรอบแน่ะ”
ลู่เจียวที่อยู่ด้านหลังคนที่มุงดูรอบรั้ว แววตาเคล้าด้วยรอยยิ้มเย็นชามองเสิ่นซิ่วที่กำลังโวยวายเอาแต่ใจบนพื้น
นึกถึงเรื่องที่เสิ่นซิ่วสั่งให้หลัววั่งไฉมาตามเกี้ยวตัวเอง ตอนนี้พอนางเป็นคนโดนเองบ้าง กลับมาโวยวายแบบนี้
ทว่าแม่นางคนนี้ก็มีกลอุบายในใจ มาโวยวายต่อหน้าคนอื่น นี่คงเป็นวิธีที่จะทำให้มารดานางเลิกบีบบังคับนางแต่งงานกับหลัววั่งไฉ
น่าเสียดายที่นางประเมินมารดาตัวเองต่ำเกินไป
ลู่เจียวครุ่นคิดก็หันหลังเตรียมจะเดินจากไป นางชมเรื่องสนุกไปแล้ว แต่ครอบครัวยังไม่ได้กินมื้อเย็น นางต้องกลับไปกินข้าวแล้ว
ใครจะไปรู้ว่าลู่เจียวเพิ่งจะหันหลัง เสิ่นซิ่วที่อยู่หน้าประตูสวนกลับเหลือบเห็นนางก่อน
นางลุกขึ้นวิ่งมาหน้าสวน คุกเข่าลงตรงหน้าลู่เจียว
“ลู่เจียว ได้โปรดช่วยข้าที ช่วยชีวิตข้าที ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อยากอยู่ต่อแล้ว”
ทุกคนเห็นฉากนี้ ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไรกันแน่
เสิ่นสิ่วคุกเข่าให้ลู่เจียวเพื่ออะไร
ลู่เจียวมองเสิ่นซิ่วด้วยสายตาเย็นยะเยือก แล้วยกมุมปากยิ้มเย้ยหยัน
“เจ้าจะให้ข้าช่วยอย่างไร”
“เจ้าให้ข้าแต่งเป็นอนุพี่สามเถอะ”
เสิ่นซิ่วพูดจบ ทุกคนตรงหน้าประตูสวนก็มองเสิ่นซิ่วอย่างไม่อยากเชื่อ
พวกนางไม่ได้ตกตะลึงเพราะเสิ่นซิ่วจะเป็นอนุภรรยา แต่ตกตะลึงที่แม่นางคนนี้มีหน้าพูดเช่นนี้ออกมา
ต่อให้อวิ๋นจิ่นจะมีอนุภรรยา ก็ควรหาแม่นางที่ยังสาวยังแส้ สตรีที่เคยแต่งงานและมีลูกติดอย่างนาง กลับยังกล้าแบกหน้ามาขอเป็นอนุภรรยาคนอื่น นี่ใครเป็นคนให้ความมั่นใจนางมากเช่นนี้
เสิ่นซิ่วโขกศีรษะอย่างไม่สนใจรอบด้าน ซ้ำยังโขกแรงกว่าเดิม
“ลู่เจียว ข้าไม่แย่งกับเจ้า ขอข้าแค่ได้ชื่อเป็นอนุก็พอ ได้โปรดช่วยชีวิตข้าด้วยเถอะ”
ลู่เจียวรู้สึกขบขัน หลุบตามองลง “ว่ากันว่าถ้าจะสู่ขอภรรยา ก็ควรเลือกคนที่มีคุณธรรม สู่ขออนุ ให้เลือกคนที่เติมสีสันให้ชีวิต เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แม่หม้ายที่มีลูกติดอย่างเจ้ายังกล้ามาขอเป็นอนุคนอื่น”
ลู่เจียวพูดจบก็ส่ายหัว “เจ้ามีความสามารถจริงๆ คิดเพ้อเจ้อไปได้ขนาดนี้”
เสิ่นซิ่วองลู่เจียวด้วยสายตาชิงชัง ทว่าสีหน้ากลับไม่แสดงออก ยังโขกศีรษะร้องไห้ฟูมฟาย “ได้โปรดช่วยชีวิตข้าที”
ลู่เจียวมองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ข้าก็อยากช่วยเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าคงจะเอาแม่หม้ายมาเป็นอนุให้อวิ๋นจิ่นไม่ได้ วันข้างหน้าเขายังต้องสอบเป็นขุนนาง ถ้าในบ้านมีอนุที่เป็นแม่หม้ายคงจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ โทษข้าที่ไร้ความสามารถ มิอาจช่วยเจ้าได้”
คนรอบทิศต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดของลู่เจียว ทุกคนพยักหน้าไม่หยุด
พวกบ้านนอกที่มีฐานะหน่อยก็มักจะไม่ยอมสู่ขอแม่หม้ายมาเป็นเมีย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นจิ่นที่จะสอบเป็นขุนนางในวันข้างหน้า ถ้าหากในจวนมีอนุภรรยาเป็นแม่หม้าย คงจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตาย
ทว่าแม่นางคนนี้กลับเพ้อฝันไม่ต่างจากเมื่อก่อน
แต่ละคนต่างก็ชี้หน้าวิพากษ์วิจารณ์เสิ่นซิ่ว
“น้ำเข้าสมองหรือ”
“ได้ยินว่าแต่ก่อนชอบส่งของกินให้อวิ๋นจิ่นนี่”
“ตั้งแต่ยังนางไม่ออกเรือนกับบุรุษอื่น ก็อยากออกเรือนเป็นภรรยาของอวิ๋นจิ่นแล้ว ตอนนี้แต่งงานไปแล้วยังไม่พอใจ ช่างไร้ยางอายยิ่ง”
เสิ่นซิ่วได้ยินคำพูดของคนพวกนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองโดนหยามหน้า ภายในใจเจ็บปวดไปหมด
แต่วันนี้หากนางไม่ได้แต่งงานกับอวิ๋นจิ่นดั่งใจปรารถนา ก็ต้องถูกมารดาตัวเองบีบบังคับให้แต่งงานกับหลัววั่งไฉ ต่อให้นางตายก็จะไม่ยอมแต่งงานกับหลัววั่งไฉเด็ดขาด
เสิ่วซิ่วครุ่นคิดก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งไปข้างนอก
คนรอบข้างเห็นท่าทีของนางก็ข้องใจ บ้างก็อุทานตกใจ
“นางคงไม่รนหาที่ตายหรอก”
ลู่เจียวกลับรู้สึกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แม่นางคนนี้มีกลอุบายมากมาย แล้วจะไปตายได้อย่างไร
ทว่าสีหน้าลู่เจียวกลับย่ำแย่ขึ้นมา พลันเอ่ยว่า “นางคงไม่ได้ไปขอร้องอวิ๋นจิ่นใช่ไหม อวิ๋นจิ่นยังไม่หายบาดเจ็บเลย”
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ได้ยินเช่นนี้ ต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
ลู่เจียวดึงบุตรชายเดินกลับบ้าน เถียนซื่อกับชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังก็รีบเดินตามหลังนางไป
ทุกคนเดินกลับบ้านลู่เจียวทันที ทว่าเพิ่งเดินเข้าไปในลานบ้านก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังจากเรือนตะวันออก
“พี่สาม ได้โปรดช่วยชีวิตข้าที”
สีหน้าของคนที่อยู่นอกเรือนเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ลู่เจียวพาแฝดสี่เข้าไปในเรือนตะวันออก ชาวบ้านเดินตามหลังนางมา ยืนอยู่หน้าประตูเรือนตะวันออก
ภายในเรือนตะวันออก เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองแม่นางที่นั่งร้องไห้เสียใจบนพื้นด้วยแววตาเย็นยะเยือก
“เจ้าดูสภาพของข้าตอนนี้สิ จะช่วยเจ้าได้อย่างไร”
เสิ่นซิ่วสะอึกสะอื้นด้วยเศร้าระทม “พี่สาม มารดาข้าขายข้าให้หลัววั่งไฉแค่สิบตำลึงเงิน ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขา ข้าอยากแต่งงานกับพี่สาม ต่อให้ต้องเป็นอนุก็ตาม”
ตอนนี้พี่สามมีหวังว่าจะรักษาขาหายแล้ว ต่อให้เป็นอนุภรรยา วันข้างหน้าต้องมีฐานะสูงส่งกว่าคนอื่นไปหนึ่งขั้นแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น นางยินดีที่จะแต่งงานกับพี่สามอยู่แล้ว แต่งเข้าไปแล้วย่อมต้องหาวิธีเขี่ยลู่เจียวทิ้ง เช่นนั้นนางจะได้ขึ้นไปแทนที่ลู่เจียว
เสิ่วซิ่วคิดแล้วก็มีกำลังใจ เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงกลับรังเกียจนางยิ่งนัก จึงพูดด้วยเสียงเย็นชา
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้าแค้นเคืองหรือ”
เสิ่นซิ่วประหลาดใจ มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยดวงตาแดงก่ำ “พี่สาม ข้าจะแค้นเคืองท่านได้อย่างไร ท่านเป็นคนที่ข้าชอบมากๆ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย เขาหันไปมองเสิ่นซิ่ว “ไหนๆ เจ้าก็ไม่ได้มีเรื่องแค้นเคือง เหตุใดถึงทำร้ายข้าตลอดเวลา สี่ปีก่อน ทุกคนต่างก็นึกว่าข้าเป็นคู่รักที่เติบโตมากับเจ้าตั้งแต่เด็ก แต่ในความเป็นจริงข้าพูดคุยกับเจ้าไม่กี่ประโยค
ตอนนี้เจ้าก็แต่งงานจนกลายเป็นแม่หม้ายแล้ว กลับกล้ามาขอให้ข้ารับเจ้าเป็นอนุ เจ้านึกว่าข้าจะรับหญิงหม้ายอย่างเจ้าหรือ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าอาจรักษาขาจนหาย ต่อให้รักษาไม่หาย ข้าก็รังเกียจเจ้า ยิ่งไม่มีทางรับเจ้าที่เป็นแม่หม้ายมาเป็นอนุแน่นอน ข้ารังเกียจความคิดที่สกปรกของเจ้า!”