ตอนที่ 71 แก้วตาดวงใจ
ลู่เจียวส่งจ้าวซื่อและคนอื่นๆ กลับไปพลางกล่าวขอบคุณไม่หยุด ทุกคนพูดอย่างยินดี “ถ้าจะขอบคุณ พวกเราเป็นฝ่ายต้องขอบคุณต่างหาก เจ้ายังยินดีให้ความรู้ด้านสมุนไพรกับพวกเราเลย เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
ลู่เจียวเพิ่งจะส่งพวกจ้าวซื่อ เซี่ยเสี่ยวเป่าก็ถือปลาตะเพียนจินกว่าเดินเข้ามา
“ท่านอาสะใภ้สาม ข้าเอาปลาตะเพียนตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ข้าตกได้มาให้”
เสื้อผ้าของเซี่ยเสี่ยวเป่าเปื้อนโคลนไปหมด ทว่ากลับอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ลู่เจียวเห็นปลาตะเพียนก็นึกถึงปัญหาอย่างหนึ่ง ช่วงนี้แม้พวกนางจะกินดี แต่ส่วนมากมีแต่เนื้อ เด็กๆ กินเนื้อแล้วจะร้อนในง่าย อีกอย่าง แฝดสี่ไม่เพียงแต่ผอม พวกเขายังตัวเตี้ยอีกด้วย
อันที่จริงลู่เจียวอยากให้แฝดสี่ดื่มนม จะได้ช่วยเสริมแคลเซียมให้สูงง่าย
เพราะแฝดสี่เกิดในครรภ์เดียว ทั้งให้คลอดก่อนกำหนด ร่างกายจึงเล็กและผอมมาก แล้วยิ่งพวกเขาได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ทำให้ยิ่งเตี้ยกว่าเดิม
ลู่เจียวกังวลมาก เสียดายที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีนมวัว จึงต้องให้ดื่มน้ำแกงปลาให้มากแทน หลังจากนี้นางจะคิดหาวิธีให้พวกเขาได้ดื่มนมวัว ไม่มีนมวัวก็ให้ดื่มนมแพะ
ลู่เจียวคิดพลางยื่นมือไปรับปลาตะเพียนไว้ พร้อมพูดยิ้มๆ “ข้าจะจ่ายเงินให้เจ้า เท่าไรหรือ”
เซี่ยเสี่ยวเป่าพลันมุ่ยปากไม่พอใจ “อาสะใภ้สาม ข้าไม่เอาเงิน ข้าตั้งใจเอามาให้ท่าน”
ลู่เจียวไม่เกรงใจเขาอีก ถามเขาว่า “ปลาในหมู่บ้านจับง่ายหรือไม่”
เซี่ยเสี่ยวเป่าพยักหน้า “ไม่ยากเท่าไร แต่ปลาคาวมาก ไม่ค่อยอร่อย ทุกคนเลยไม่ค่อยชอบกิน”
แม้จะเป็นเนื้อ แต่ถ้ามีกลิ่นคาวแรงเกินไป ทุกคนก็ไม่ชอบกินเหมือนกัน
แต่เขาตะกละเกินไป ถึงได้จับกลับมากินแก้อยาก
ลู่เจียวแย้มยิ้ม “คาวตรงไหน ไว้ข้าจะต้มไปให้เจ้าชิม รับรองว่าไม่คาวแน่นอน”
สิ้นเสียงก็หันไปมองเซี่ยเสี่ยวเป่า “ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า ถ้าเจ้าไปจับปลาอีก เอามาขายให้ข้าไหม ขายตามราคาที่ขายในเมืองได้เลย”
ราคาขายปลาในเมืองคือจินละสิบเหวิน เซี่ยเสี่ยวเป่าค่อนข้างซาบซึ้ง แต่เขากลับมองลู่เจียวแล้วส่ายหัวปฏิเสธโดยไม่ลังเลใจ “ไม่ได้ ถ้าเป็นอาสะใภ้สาม ข้าจะไม่รับเงินแม้แต่เหวินเดียว”
ลู่เจียวรู้สึกขบขัน เจ้าเด็กคนนี้ยังจะรู้จักเกรงใจอีกหรือ คิดแล้วนางก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้ เจ้าจับปลาให้ข้า ข้าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาแลกปลากับเจ้า แบบนี้ดีหรือไม่”
“เช่นนั้นท่านก็ขาดทุนแย่เลยสิ”
เซี่ยเสี่ยวเป่าคิดว่าเนื้อสัตว์ป่าต้องแพงกว่าปลาแน่นอน ลู่เจียวจึงพูดอย่างเด็ดขาด “ตามนี้แหละ เจ้าได้ปลามาก็เอามาให้ข้า ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปลาอะไรก็เอาหมด ไม่ว่าจะเป็นปลาไหลหรือปลาหมูก็เอา”
เซี่ยเสี่ยวเป่าตกตะลึง “ปลาสองชนิดนี้จะกินอย่างไร กินยากจะตาย”
“ไม่เป็นไร ข้าจะทำของอร่อย ถึงเวลาจะให้เจ้ากินด้วย”
เซี่ยเสี่ยวเป่าพยักหน้า ลู่เจียวยัดลูกกวาดสองเม็ดให้เขาแทนคำขอบคุณที่เอาปลามาให้ เซี่ยเสี่ยวเป่ารู้สึกดีใจมาก
ลู่เจียวยกปลากลับไปและบอกเถียนซื่อว่าจะทำปลาน้ำแดงกิน
เถียนซื่อตอบกลับอย่างเลื่อนลอย ลู่เจียวเห็นนางมีสีหน้าผิดปกติจึงถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป สีหน้าดูไม่ค่อยดี ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ถ้าไม่สบาย ข้าจะได้ดูอาการให้ท่าน”
เถียนซื่อพลันพยักหน้า นางมองลู่เจียวและกำลังจะพูด ทว่ากลับกลืนคำพูดลงไป สีหน้าอัดอั้นไม่อยากเอ่ยปาก
ลู่เจียวพลันคิดถึงเรื่องที่วันนี้ที่เซี่ยอวิ๋นจิ่น จู๋จ่างและคนอื่นๆ บอกว่านางจะสอนคนในหมู่บ้านเซี่ยเรื่องสมุนไพร หรือว่าเถียนซื่ออยากให้คนสกุลลู่เรียนด้วย
“ท่านแม่อยากให้ข้าสอนพี่ชายและพี่สะใภ้ดูสมุนไพรหรือ”
เถียนซื่อได้ยิน แววตาเคล้าด้วยความคาดหวัง “แม้พวกเขาโวยวายเรื่องเงินแค่ห้าตำลึงนี่จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เพราะชีวิตลำบาก ดังนั้นแม่เลยคิดว่าเจ้าจะสอนพวกเขาดูสมุนไพรสักหน่อยได้หรือไม่ ชีวิตจะได้ดีขึ้นหน่อย”
อันที่จริงลู่เจียวไม่ได้โกรธคนสกุลลู่เกินไปนัก แค่จะสั่งสอนให้บทเรียนพวกเขาเท่านั้น อีกอย่าง นางก็เตรียมอาชีพให้สกุลลู่ไว้ประทังชีวิตแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้คนในสกุลลู่ก่อเรื่อง นางถึงได้ลืมเรื่องนี้ไป
ลู่เจียวครุ่นคิดก็มองเถียนซื่อ “ท่านแม่ ข้าให้ความรู้ด้านสมุนไพรกับพวกเขาได้ แต่ต่อให้สอนไปแล้วก็ไม่ใช่อาชีพที่ยั่งยืน ที่สมุนไพรในป่ามีมากก็เพราะชาวบ้านไม่รู้จัก จึงไม่ได้ไปแตะต้อง ทว่าหลังจากที่รู้กันทั่วแล้ว ทุกคนก็คงไปเก็บบ่อยๆ ไม่นานสมุนไพรก็จะหมดไป”
“อันที่จริงข้าคิดอาชีพประทังชีวิตไว้ให้พวกท่านแล้ว คิดว่าให้พวกท่านฝึกทำเต้าหู้น่าจะยั่งยืนกว่า วันข้างหน้าชีวิตจะได้สบาย”
เถียนซื่อได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็ตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากดึงสติกลับมาได้ก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ลู่เจียว เจ้าทำเต้าหู้เป็นด้วยหรือ”
หายตะลึงแล้วนางก็เหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง “ไม่ได้ๆ ทำเต้าหู้เป็นงานฝีมืออย่างหนึ่ง เจ้าต้องเก็บไว้ให้สี่แฝดสืบทอดสิ”
ลู่เจียวอดยิ้มไม่ได้ อนาคตบิดาของแฝดสี่จะได้เป็นถึงใต้เท้าโส่วฝู่ พวกเขาจะฝึกทำเต้าหู้ได้อย่างไร
ทว่าลู่เจียวไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้กับเถียนซื่อ นางพูดยิ้มๆ “ท่านแม่ ข้ายังมีอะไรอย่างอื่นให้ทำน่ะ อนาคตจะสอนแฝดสี่แน่นอน แต่งานเต้าหู้นี้ข้าอยากให้คนสกุลลู่ทำเป็นอาชีพหลัก”
สิ้นเสียง เถียนซื่อยังไม่ทันพูดอะไร จู่ๆ ก็มีคนโผล่เข้ามานอกห้องครัว ยื่นมือกอดลู่เจียวไว้ด้วยความตื่นเต้น
ลู่เจียวหมายจะปัดมือของคนคนนี้ออก สุดท้ายเห็นว่าคนคนนี้กลับเป็นน้องชายนาง
ลู่กุ้ยกอดลู่เจียวไว้ด้วยความตื่นเต้น “พี่เจียว ท่านคือพี่สาวแท้ๆ ของข้าจริงๆ แต่ก่อนพวกเราผิดไปแล้ว พวกเราไม่ควรทำเช่นนั้นกับท่าน พี่เจียว อย่าโกรธข้าเลย ต่อไปข้าจะทำดีกับท่านให้มากๆ”
พี่สาวเขาไม่เพียงแต่ช่วยรักษาคน ยังจะให้ความรู้ด้านสมุนไพรอีก ตอนนี้ก็จะสอนเขาทำเต้าหู้ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือจะสอนให้คนตระกูลลู่ยึดเป็นอาชีพ
ลู่กุ้ยรู้สึกว่าตอนนี้พี่สาวของเขาเก่งกาจเกินไปแล้ว ต่อไปเขากล้ามาหมู่บ้านเซี่ยแล้ว จะไม่กลัวว่าคนอื่นจะต่อว่าพี่สาวเขาไม่ดีอีก
ตอนนี้คนในตระกูลเซี่ยบอกว่าพี่สาวเขาดีแบบนี้ดีแบบนั้น เป็นคนใจกว้าง จิตใจดีและอ่อนโยน
เขาได้ยินคำชมก็รู้สึกหวานฉ่ำราวกับดื่มน้ำหวาน
ลู่เจียวผลักเขาออกด้วยความรังเกียจ “ไปไกลๆ ข้าเลย”
ลู่กุ้ยทำหน้าขมขื่น พูดอย่างระมัดระวัง “พี่เจียว ท่านยังโกรธข้าอีกหรือ ข้าไม่ดีเอง พี่ชายและพี่สะใภ้ก็ไม่ดีด้วย ท่านอย่าโกรธข้าเลย กลับไปข้าจะให้พี่ชายและพี่สะใภ้มาขอโทษท่าน”
ลู่เจียวโบกมืออย่างรำคาญใจ “เอาเถอะ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้ามาขอโทษข้าหรอก เจ้าคิดว่าข้าโกรธเพราะทำไม่ดีกับข้าหรือ ข้าแค่โกรธที่เจ้าทำไม่ดีกับท่านแม่ อีกอย่างที่ข้าจะสอนคนตระกูลลู่ทำเต้าหู้ ก็เพราะเห็นแก่ท่านแม่ ไม่ใช่เพราะพวกเจ้า”
ลู่กุ้ยยืดอก “พี่เจียว วางใจเถอะ วันข้างหน้าจะไม่มีใครทำให้ท่านแม่โกรธอีก ถ้ามีใครทำให้ท่านแม่โกรธ ข้าจะไม่ยอมเป็นคนแรก”
เถียนซื่อซับน้ำตาตัวเอง นี่คือเจียวเจียวของนาง จะทำอะไรก็คิดเผื่อนางเสมอ คนทั้งใต้หล้าต่างบอกว่าลูกสาวคือแก้วตาดวงใจ คำพูดนี้กล่าวได้ถูกต้องนัก
ลู่เจียวหันไปมองลู่กุ้ยอย่างอ่อนหวาน “ข้าจะสอนท่านแม่ทำเต้าหู้คนเดียว พวกเจ้ามาช่วยท่านแม่ได้ ทั้งสามบ้านเอาไปแบ่งกันขาย แล้วให้ท่านแม่จ่ายค่าจ้างพวกเจ้าอีกที ขายได้สิบจินได้เงินสามก้วนเหรียญทองแดง ถ้าหนึ่งวันขายได้หนึ่งร้อยจิน ก็จะได้สามสิบก้วนเหรียญทองแดง หนึ่งเดือนก็เกือบหนึ่งตำลึง หนึ่งปีก็สิบกว่าตำลึง”
“นี่จะเป็นเงินออมส่วนตัวของพวกเจ้า ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้าน ท่านแม่จะเป็นคนจ่ายเงิน เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”