Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1745 ความรู้สึกผิดของศิษย์พี่เก้า

ตอนที่ 1745 ความรู้สึกผิดของศิษย์พี่เก้า
‘ได้’
หลินสวินรับปากโดยแทบไม่ต้องคิด
วู้ม!
เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดพุ่งออกมา
พริบตานี้ในที่นั้นมีเสียงคำรามของร่างผอมแห้งที่เจือความตื่นตระหนก ถึงขั้นหวาดผวาดังขึ้น
“ไม่…! เจดีย์นี้ยังอยู่บนโลกได้อย่างไร!?”
ตูม!
หลินสวินรู้สึกเพียงจิตวิญญาณสั่นระรัว ไม่อาจรับรู้โดยสิ้นเชิง
ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ พลังที่อบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วร่างเขา ทำให้เขาค่อยๆ ฟื้นคืนความรู้สึกและการรับรู้กลับมา
ยังคงเป็นโลกผนึกที่มืดมนแห่งนั้น ฟ้าดินมืดสลัว ความยะเยือกเย็นเข้ากดดัน
ในจุดที่ห่างไกลแท่นมรรคยังอยู่ เพียงแต่ร่างผอมแห้งที่ถูกโซ่นับไม่ถ้วนกำราบนั้นกลับไม่อยู่แล้ว ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
“ตายหรือยัง”
เขาส่งเสียงพึมพำ
“ไม่ตาย”
ข้างหูมีเสียงลุ่มลึกหนึ่งดังขึ้น
หลินสวินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายตัดฟืนวัยกลางคนนั้นกำลังยืนอยู่ข้างกาย บนใบหน้าแข็งกร้าวที่หยาบกร้านสีน้ำตาลแดงของเขาเจือรอยยิ้มที่ดูเรียบง่ายอบอุ่น
เขากล่าว “ศิษย์น้องเล็ก ข้าชื่อเก่ออวี้ผู เดิมเป็นคนตัดฟืนในภูเขา ตัดฟืนหาเลี้ยงชีพ ต่อมามีวาสนาได้ท่านอาจารย์ชี้แนะ รับเข้าเป็นศิษย์ในสำนัก อยู่ในอันดับที่เก้า เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่เก้าเถอะ”
หลินสวินคารวะทันที “หลินสวินคารวะศิษย์พี่เก้า”
เก่ออวี้ผูเกาหัวกล่าวอย่างทึ่มทื่ออยู่บ้าง “ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ข่งตู๋เทียนนั่นพูดไม่ผิด ในสำนักข้านับว่าโง่เขลาที่สุด ท่านอาจารย์ก็พูดบ่อยๆ ว่าข้าเป็นท่อนไม้บื้อ”
เสียงของเขากลับเจือความภาคภูมิยินดี
หลินสวินร้องเอ้อออกมาคำหนึ่ง
ในภาพความทรงจำของเขามีศิษย์พี่ที่ครอบครองวิชาอริยะยุทธ์ แข็งกร้าวทะลุเมฆ ไม่หวาดกลัวสิ่งใดในใต้หล้า เหยียบทะลวงเมฆ ผงาดผยองชั่วกาล
ศิษย์พี่เสวียนคงนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์มีน้ำใจ มองความตายเป็นเรื่องธรรมดา
ศิษย์พี่เสวี่ยหยาที่ไม่เคยพบหน้านั้นก็อบอุ่นสุขุมลุ่มลึก ดูคงแก่เรียน
ศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยก็ถูกเจตจำนงของระฆังมหามรรคไร้กฎติชมว่านิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สง่างามอิสระ เป็นคนน่าสนใจยิ่ง
หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าศิษย์พี่เก้าคนนี้ของตนจะเป็นคนที่เรียบง่ายเหมือนก้อนหิน เชื่องเชื่อทึ่มทื่อเช่นนี้ ไม่วางท่าแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าใกล้ชิดได้ง่ายที่สุด
“ศิษย์พี่เก้า เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรกันแน่”
หลินสวินอดถามไม่ได้ ขณะกล่าวเขาสังเกตเห็นว่าอาหูนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ หลับตาผ่อนลมหายใจเนิบช้า ราวกับกำลังหลับสนิท
เขาไม่รบกวนอาหู
“ศิษย์น้องเล็ก มีเหล้าไหม”
เก่ออวี้ผูนั่งลงกับพื้นง่ายๆ มองหลินสวินตาปริบๆ
แน่นอนว่าหลินสวินมี หยิบเหล้าชั้นดีไหหนึ่งที่เก็บไว้ออกมาส่งให้ทันที
เก่ออวี้ผูปิติยินดียิ่ง กอดไหสุราดื่มอย่างสะใจครู่หนึ่งค่อยทำปากจุ๊ๆ ร้องออกมาว่าสะใจ บอกว่าตั้งแต่มาเฝ้าที่นี่เขาก็ไม่เคยลิ้มรสชาติของสุราอีกเลย
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคะนึงหา
หลินสวินไม่พูดอะไรมาก นำเหล้าชั้นดีออกมาอีกมากมาย พูดว่าอยากดื่มกับศิษย์พี่เก้าให้สะใจ
เก่ออวี้ผูดีใจมาก บนใบหน้าหยาบเถื่อนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องเล็ก หากเจ้าจะถามเรื่องอื่น ข้าไม่รู้จริงๆ ด้วยปีนั้นหลังจากข้าได้รับบาดเจ็บในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ ท่านอาจารย์ก็บอกว่าชีวิตนี้ข้าหมดหวังในการเสาะหามรรคาแล้ว จากนั้นก็ถามข้าว่ามีความปรารถนาที่ค้างคาอะไรไหม”
ไม่นานเก่ออวี้ผูคล้ายหวนนึกถึงความหลัง กล่าวว่า “ข้าบอกว่าก่อนที่ร่างจะตายมรรคสลาย อยากเฝ้าดูข่งตู๋เทียนไปตลอด ท่านอาจารย์ก็รับปากพาข้ามาอยู่นี่ หลังจากนั้นข้าก็เฝ้าอยู่ที่นี่มาตลอด”
“ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย”
หลินสวินอดถามไม่ได้
“ไม่ยินยอม”
เก่ออวี้ผูกล่าวเสียงขรึม “ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ คู่ต่อสู้ของข้าก็คือข่งตู๋เทียน แต่ข้าสู้กับเขาต่อเนื่องมาสิบเก้าวันกลับไม่อาจฆ่าเขาได้ สุดท้ายก็บาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่…”
เขาดูซึมเซาไม่มีความสุข ดื่มเหล้าอีกยกอย่างอดไม่ได้ ขอบตาแดงเรื่อไปหมด กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าข้าไม่ได้เรื่องจนเกินไป พวกศิษย์น้องจี้ซิว ศิษย์น้องอู่ฉางและศิษย์น้องเวินหลิวก็คงไม่ตาย…”
หลินสวินใจเต้นระส่ำ ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิถึงกับทำให้ผู้สืบทอดบางคนของคีรีดวงกมลร่วงหล่น?
นั่นเป็นศึกใหญ่ที่น่ากลัวระดับใดกัน
“ศิษย์พี่เก้า ความผิดไม่ได้อยู่ที่ท่าน ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง” หลินสวินกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น
เก่ออวี้ผูถอนใจยาวกล่าว “ท่านอาจารย์ก็บอกว่าการต่อสู้ของสำนักก็เหี้ยมโหดเช่นนี้ ไม่อยากให้ข้านึกเสียใจด้วยเรื่องนี้ แต่ข้า… ก็ยังไม่ยินยอม!”
หว่างคิ้วเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นชิงชัง
หลินสวินยกเหล้าขึ้นมาส่งให้เก่ออวี้ผู จากนั้นเขาก็ยกกาขึ้นดื่มเงียบๆ ครู่หนึ่งค่อยกล่าว “ศิษย์พี่เก้า เล่าเรื่องศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”
เก่ออวี้ผูส่ายหัว “ศิษย์น้องเล็ก เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ภายในนั้นเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของสำนัก กฎกรรมที่เกี่ยวพันก็มากเกินไป บอกเจ้าไปตอนนี้มีแต่โทษไม่มีคุณ ทั้งเป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลกระทบต่อการเลือกมรรคาของเจ้าในภายหน้า”
หลินสวินชะงัก สัมผัสได้ยิ่งกว่าเดิมว่า ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ นี้ไม่ธรรมดา!
เก่ออวี้ผูเหมือนรู้สึกผิดอยู่บ้าง เกาหัวกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นการต่อสู้ที่มีแค่ระดับจักรพรรดิเข้าร่วมได้ เจ้าน่ะค่อยๆ ฝึกปราณไปเถอะ ภายหน้าเข้าสู่ระดับจักรพรรดิได้เมื่อไหร่ค่อยรู้เรื่องภายในพวกนี้ก็ไม่สาย”
ในใจหลินสวินรู้สึกจนปัญญา กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพราะพลังปราณของตนอ่อนแอเกินไป…
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าดู”
เก่ออวี้ผูนำเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมา ตัวเจดีย์ส่งเสียงครวญคร่ำ สาดแสงมรรคทองนิลกาฬหลายสายออกมา มัดร่างข่งตู๋เทียนไว้เหมือนโซ่ตรวน
“เก่ออวี้ผู เจ้าเฒ่าโพธิเคยบอกว่าห้ามฆ่าข้า เจ้าจะขัดคำสั่งอาจารย์รึ” ข่งตู๋เทียนคำราม
เก่ออวี้ผูทำหูทวนลม กล่าวกับหลินสวิน “ศิษย์น้องเล็ก เขาก็คือจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน พญานกยูงอสูรมารตัวหนึ่งที่เกิดในแดนแรกกำเนิด มีขนปีกห้าสีโดยกำเนิด พลังต่อสู้เป็นเลิศ สมัยดึกดำบรรพ์ถือเป็นผู้นำของเจ็ดจักรพรรดิอสูรมาร”
ต่อให้หลินสวินเดาออกอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำยืนยันของศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู ก็ยังสูดหายใจหนาวเยือกอย่างอดไม่ได้
นี่เป็นถึงตัวตนระดับจักรพรรดิคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่! เป็นผู้นำของเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์! เป็นบรรพชนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งในปัจจุบัน!
แต่ไม่ว่าเขาจะมีฝีมือเทียมฟ้าแค่ไหน ก็ถูกกำราบอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานไร้สิ้นสุด ไม่อาจหลุดรอดไปได้
นี่ย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึงเป็นธรรมดา
ในหัวหลินสวินเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้ ‘จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนยังน่ากลัวขนาดนี้ เช่นนั้นศิษย์พี่เก้าที่เคยต่อกรกับเขาในปีนั้นจะมีพลังปราณสูงส่งแค่ไหน’
นึกถึงตรงนี้ใจของหลินสวินพลันเต้นระส่ำอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เก่ออวี้ผูให้ความรู้สึกเรียบง่ายเหมือนก้อนหิน จริงใจเข้าถึงง่าย ทำให้เขาเกือบลืมไปว่าเก่ออวี้ผูเป็นคนที่แข็งแกร่งระดับใด อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
เมื่อได้ยินคำพูดของเก่ออวี้ผู ข่งตู๋เทียนตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้ “ศิษย์น้องเล็กรึ ฮ่าๆๆ เจ้าตัวจ้อยที่อ่อนแอคนหนึ่งเช่นนี้เป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเจ้ารึ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเสียจริง คีรีดวงกมลตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ”
คำพูดไม่ปกปิดแววหยามเหยียดแม้แต่น้อย
สำหรับจักรพรรดิอสูรมารคนหนึ่งที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าในสมัยดึกดำบรรพ์อยู่ก่อนแล้ว มกุฎมหาอริยะอย่างหลินสวินก็ไม่คู่ควรให้พูดถึงจริงๆ
หลินสวินยิ้มหยัน “หึๆ ต่อให้เจ้าร้ายกาจแค่ไหนก็ถูกกำราบอยู่ที่นี่ จนถึงวันนี้ก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ไม่ใช่หรือ”
“บังอาจ!”
ข่งตู๋เทียนสีหน้าขรึมทันที
เพี๊ยะ!
ครู่ต่อมาแสงมรรคสายหนึ่งที่มัดตัวข่งตู๋เทียนไว้พลันวาดขึ้น เฆี่ยนลงมาอย่างหนักหน่วง ฟาดจนฝ่ายหลังร้องทุรนทุรายเจ็บปวด ร่างกระตุกบิดเบี้ยวไปหมด แสงจากเงาร่างดูมืดสลัว
เก่ออวี้ผูกล่าวเสียงขรึม “เป็นนักโทษยังกล้าพูดจากับศิษย์น้องเล็กของข้าเช่นนี้ เจ้าข่งตู๋เทียนเห็นข้าเก่ออวี้ผูไม่มีตัวตนรึ”
ข่งตู๋เทียนสีหน้าอาฆาต “หากไม่ใช่ว่ามีเจดีย์หลังนี้ของเจ้าเฒ่าโพธิ เจ้าเก่ออวี้ผูจะแค่ไหนเชียว”
เก่ออวี้ผูหน้าแดงก่ำในชั่วขณะเดียว เดือดดาลอย่างยากจะได้เห็น “ปีนั้นในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ หากไม่ใช่ว่า ‘จอมมุนีฟ่านเทียน’ แอบช่วยเจ้าลับๆ เจ้าจะมีคุณสมบัติอะไรมาสู้กับข้าจนบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่”
จอมมุนีฟ่านเทียน!
ตอนนี้หลินสวินถึงได้รู้ว่า ในการต่อสู้ของศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูและจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนปีนั้น ถึงกับมีเบื้องหลังอื่นอีก!
ข่งตู๋เทียนสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด สุดท้ายก็แค่นเสียงเย็นชากล่าว “ตั้งแต่อดีตผู้ชนะล้วนเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร ข้าคร้านจะพูดไร้สาระกับท่อนไม้บื้ออย่างเจ้าแล้ว”
สายตาเขาเหลือบมองหลินสวินอย่างเย็นชาวูบหนึ่ง เผยไอสังหารไร้ใดเปรียบออกมา “เจ้าหนุ่ม เจ้านี่ไม่เลวทีเดียว ถึงกับนำต้นกำเนิดของแส้หางม้ามหามรรคและเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดของเจ้าเฒ่าโพธิมาพร้อมกันได้…”
เขากล่าวเน้นทีละคำ เต็มไปด้วยความคั่งแค้น
จากมุมมองเขาคือตัวเองใกล้จะรอดไปได้ แต่สุดท้ายกลับถูกตัวแปรอย่างหลินสวินมาทำลาย!
“ข่งตู๋เทียน ดูท่าว่าเจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง”
เสียงของเก่ออวี้ผูลุ่มลึก
เพี๊ยะ!
แสงมรรคทองนิลกาฬหลายสายพลันวาดขึ้นทันที ฟาดลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับแส้พันหมื่นชั้น
ข่งตู๋เทียนร้องทุรนทุรายโหยหวน ขดตัวร่างกระตุก เงาร่างเปลี่ยนเป็นเลือนรางและอับแสง เหมือนจะพังทลายได้ตลอดเวลา
“เก่ออวี้ผูเจ้าอย่าได้ใจไปนัก พลังต้นกำเนิดของเจ้าใกล้หมดแล้ว ต่อให้เจ้าเฒ่าโพธิมาก็ยากจะช่วยชีวิตเจ้าอีกครั้ง!”
ต่อให้เป็นเช่นนั้นข่งตู๋เทียนก็ยังไม่ยอมก้มหัว ส่งเสียงคำรามเหี้ยมเกรียม “ยังมีเจ้าเด็กสวะนี่ด้วย หากให้ทายาทของเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารรู้ว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกฆ่าแน่!”
ตูม!
ในที่สุดเขาก็แบกรับการเฆี่ยนตีของแสงมรรคทองนิลกาฬไม่อยู่ เงาร่างกลายเป็นนกยูงตัวหนึ่งที่บาดแผลเหวอะหวะ ไอคลุมเครืออบอวลไปทั้งร่าง
“ศิษย์พี่เก้า นี่ท่าน…”
หลินสวินตกใจ
สีหน้าเก่ออวี้ผูฉายแววเบิกบานกล่าวว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ คิดตกไปนานแล้ว ยังดีที่ก่อนข้าจะตายได้เจอกับศิษย์น้องเล็ก ได้ดื่มเหล้าดีด้วยกัน ไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว”
หลินสวินใจเต้นรัว
แม้จะพบกันครั้งแรก แต่ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผูกลับมอบภาพจำที่ฝังลึกให้กับเขา
เขาเรียบง่าย ทึ่มทื่อ นิสัยซื่อสัตย์จริงใจ ด้วยการตายของศิษย์น้องบางคนจึงรู้สึกผิดและกล่าวโทษตัวเอง เลือกมาเฝ้าอยู่ที่นี่ถึงวันนี้!
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเก่ออวี้ผูก็ใกล้จะตายจาก หลินสวินจะไม่โศกเศร้าได้อย่างไร
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าฝึกปราณมาถึงวันนี้ เห็นความเป็นความตายจนชินตามานานแล้ว คิดถึงว่าข้าเป็นแค่คนตัดฟืนคนหนึ่ง นิสัยงุ่มง่ามเก้กัง พรสวรรค์ธรรมดา ได้ติดตามท่านอาจารย์ฝึกปราณ เห็นภาพอัศจรรย์ของมหามรรค เดิมก็เป็นเรื่องโชคดีอันยิ่งใหญ่ สำหรับข้าความตายเป็นแค่การปิดม่านของการเดินทางเท่านั้น”
เก่ออวี้ผูตบบ่าหลินสวิน ชี้เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดแล้วเอ่ยว่า
“ศิษย์น้องเล็ก ตั้งแต่วันนี้ไปข่งตู๋เทียนจะถูกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดกำราบไปตลอด ไม่เกินสิบปี มรรควิถีทั้งร่างของเขาก็จะถูกหลอม ถึงตอนนั้นจำไว้ว่าต้องเก็บ ‘ขนปีกห้าสี’ ของเขาไว้ ถือเป็น… ของขวัญที่ศิษย์พี่เก้ามอบให้เจ้า”
เขาเว้นช่วงไปก่อนหยิบแส้หางม้าออกมากล่าว “ศิษย์น้องเล็ก ยังมีสมบัติชิ้นนี้ด้วย นี่เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์เหลือทิ้งไว้ในปีนั้น ชื่อว่า ‘สามพันเคลื่อนคล้อย’ เจ้าก็เก็บไว้เถอะ”
“แค่น่าเสียดายที่ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ สมบัติชิ้นนี้ถูกทำลายอย่างหนัก เหลือแค่ต้นกำเนิดบางส่วน ต้องโทษข้าที่ไร้สามารถ ไม่อาจคงสภาพสมบูรณ์ของมันได้…”
น้ำเสียงเจือความรู้สึกผิดและเศร้าอาดูร เหมือนสีหน้าของเก่ออวี้ผูในยามนี้
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท