ลู่เจียวรับถ้วยด้วยใบหน้าเบิกบานและพูด “เจ้าไม่ต้องห่วง ต่อไปข้าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี”
แน่นอนว่าหมายถึงในช่วงสองสามเดือนนี้
เมื่อคิดว่าอีกสองสามเดือนต่อจากนี้ เด็กเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของนางแล้ว ลู่เจียวรู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ยุคที่นางอยู่นี้ยังไม่ให้มารดาเลี้ยงบุตรลำพังหลังหย่า ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังให้ความสำคัญกับเด็กทั้งสี่คนอย่างยิ่ง
ดังนั้นนางจึงไม่พูดถึงเรื่องแบ่งบุตรให้นาง
เมื่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินแล้วสายตาพลันลุ่มลึกทันที เขาคิดในใจ นางไม่คิดจะไปแล้ว อันที่จริงเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน หลายวันมานี้เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าแม่นางผู้นี้รักและเอ็นดูแฝดสี่จากใจจริง
ต่อไปมีนางคอยดูแลแฝดสี่ เขาจะได้ไปสอบขุนนางอย่างสบายใจ ขอเพียงนางดูแลแฝดสี่เป็นอย่างดี อนาคตเขาได้ดิบได้ดี ก็ย่อมดูแลนางอย่างดีแน่นอน
ลู่เจียวนึกไม่ถึงว่าคำพูดเพียงประโยคเดียว จะทำให้ว่าที่โส่วฝู่คิดไปไกลถึงเพียงนี้
นางเอาถ้วยเปล่าออกไป เมื่อเห็นเซี่ี่ยเอ้อร์จู้เข้ามา ลู่เจียวก็ทักทาย “พี่รองมาแล้ว”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้มองน้องสะใภ้สามด้วยสายตาซับซ้อน วันนี้เขาเห็นน้องสะใภ้สามไปโวยวายที่บ้านกับตา ตอนนี้เขาเริ่มไม่รู้สึกกลัวน้องสะใภ้สามแล้ว
ในทางกลับกัน ในใจเขากลับสะใจ คนอย่างพ่อแม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาสมควรโดนคนอย่างน้องสะใภ้สามเอาเรื่อง
“อืม”
ลู่เจียวหยิบถ้วยเปล่าออกไป ที่มุมหนึ่งของสวน แฝดสี่กำลังอวดเสื้อผ้าให้เสี่ยวเฮยและฮวาฮวาดู ลู่เจียวฟังแล้วอดส่ายหัวไม่ได้ นี่ก็ใสซื่อกันเกินไปแล้ว ถึงกับไปอวดให้หมาน้อยเชียว
“พวกเจ้าทั้งสี่ยังไม่กลับมานอนอีกหรือ อวดอะไรให้น้องหมากัน รีบเข้านอนได้แล้ว”
เด็กๆ ขานรับ หันหลังวิ่งกลับมา ซื่อเป่าวิ่งกลับมากอดขาลู่เจียวอย่างมีความสุข
“ท่านแม่ ไปนอนด้วยกัน พวกเราอยากฟังนิทาน”
อีกสามคนก็วิ่งเข้ามา ตากลมโตจับจ้องนาง เห็นได้ชัดว่าอยากให้นางเล่านิทานให้ฟัง
ลู่เจียวก็ไม่ได้ปฏิเสธ หยิบถ้วยเปล่าไปวางไว้บนโต๊ะในโถง พาแฝดสี่ไปห้องนอนและเล่านิทานให้ฟัง
เมื่อลู่เจียวเล่านิทานเสร็จ เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ก็ช่วยเซี่ยอวิ๋นจิ่นทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว
“พวกเจ้าทั้งสามรีบไปนอนเถอะ”
เอ้อร์เป่ามองลู่เจียวสลับกับต้าเป่า ก่อนพูดเสียงเบา “ต้าเป่า ข้าอยากนอนกับท่านแม่”
ครั้งนี้ไม่รีรอให้ต้าเป่าพูด ลู่เจียวก็พูดขึ้นมาก่อน “ที่นี่นอนไม่สบาย พวกเจ้านอนกับท่านพ่อเถอะ”
เมื่อเอ้อร์เป่าได้ยินเช่นนั้นเศร้าขึ้นมา ชี้ไปที่ซื่อเป่าและพูดว่า “ทำไมซื่อเป่าถึงนอนได้ล่ะ”
ซื่อเป่ารีบยื่นมือเข้าไปกอดแขนลู่เจียว สีหน้าเหมือนกลัวมารดาให้ไปนอนที่ห้องฝั่งตะวันออก
ลู่เจียวปวดหัวเล็กน้อย ยื่นมือไปลูบหัวเอ้อร์เป่าแล้วพูดว่า ”ท่านยายอยู่ และที่นี่ก็เตียงเล็กนอนไม่พอ รอให้ท่านยายกลับแล้ว พวกเจ้าอยากนอนกับทพ่อก็นอนกับพ่อ อยากนอนกับแม่ก็นอนกับแม่“
เอ้อร์เป่าดีใจขึ้นมา พยักหน้าอย่างแรง ต้าเป่าพาเอ้อร์เป่าและซานเป่าไปห้องนอนตะวันออก แต่สุดท้ายแล้วซานเป่าไม่ยอมนอน เขานั่งอยู่บนเตียง ไม่ยอมฟังใคร
ห้องทางตะวันตก ลู่เจียวและเถียนซื่อกำลังจะพาซื่อเป่าเข้านอน เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวทางห้องตะวันออก ก็อดลุกขึ้นไปดูไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น”
เมื่อเอ้อร์เป่าเห็นลู่เจียวเข้ามา จึงพูดขึ้นว่า ”ท่านแม่ ท่านดูซานเป่า เขานั่งเฉยๆ ไม่ยอมนอน ท่านพ่อถามเขาว่าทำไมไม่นอน เขาก็ไม่ตอบ“
ลู่เจียวเดินไปหาซานเป่า พูดขึ้นอย่างอ่อนโยน ”ซานเป่า ทำไมไม่นอนล่ะ คิดอะไรอยู่บอกแม่หน่อยสิ“
ซานเป่ามองลู่เจียว แล้วก้มหน้ามองดูเสื้อของตัวเอง ลู่เจียวเห็นแล้วก็รู้ว่าเขามีเรื่องอะไรในใจ
“กลัวว่าถ้านอนแล้วจะทำให้เสื้อยับใช่ไหม”
ซานเป่าพยักหน้าอย่างจริงจัง “นอนแล้วจะทำให้เสื้อผ้ายับหมด ข้าไม่นอนหรอก”
ลู่เจียวเห็นอกเห็นใจ นี่เป็นเพราะเด็กน้อยโตมาถึงขนาดนี้แล้วไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ให้สวมใส่ และซานเป่ายังรักสวยรักงาม ดังนั้นถึงได้เป็นเช่นนี้
ลู่เจียวยื่นมือลูบหัวซานเป่าและพูดว่า “วันนี้นอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้แม่ทำชุดนอนให้เจ้า”
ซานเป่าไม่รู้ว่าอะไรคือชุดนอน จึงถามขึ้นมา “อะไรคือชุดนอน”
“เป็นชุดไว้ใส่ตอนนอน เจ้าจะได้ไม่ต้องกลัวนอนทับเสื้อยับแล้ว”
ซานเป่าฉีกยิ้มกว้างทันควัร “อื้ม ท่านแม่ พรุ่งนี้ท่านทำให้ข้า”
“ได้สิ”
เอ้อร์เป่าลุกขึ้นนั่งเอ่ยเสียงดัง ”ท่านแม่ ข้าก็จะเอาด้วยๆ“
ลู่เจียวดึงเขานอนลง “เอาละ แม่จะทำชุดนอนให้พวกเจ้าทุกคน นอนกันได้แล้ว”
ลู่เจียวปลอบแฝดทั้งสามเสร็จก็หมุนตัวเดินกลับออกไป ไม่ทันสังเกตเห็นสายตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่มองนางอย่างลึกซึ้งจากด้านหลัง ชุดนอนหรือ ประหลาดจริง นางมาจากไหนกันแน่
ตอนเช้าวันต่อมา ฟ้ายังไม่สาง ลู่เจียวยังไม่ตื่นดี แต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหัวเตียง นางสะดุ้งตื่น ลืมตามองก็เห็นเด็กน้อยข้างหัวเตียง เป็นเอ้อร์เป่านี่เอง
ลู่เจียวขยี้ตาลุกขึ้นนั่ง พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เอ้อร์เป่า ทำไมไม่นอน”
เอ้อร์เป่ามองลู่เจียวที่พูดด้วยเสียงแหบ เขาก็กระซิบเบาๆ “ท่านแม่ ท่านไม่ใช่ว่าจะสอนพวกเราตีคนเลวหรือ“
ลู่เจียวรับปากแล้วก็ต้องสอนอย่างแน่นอน แต่นี่เขาตื่นเช้าไปกระมัง
เอ้อร์เป่าเริ่มรู้สึกว่าตนเองใจร้อนเกินไป ท่านแม่เหมือนจะไม่สบอารมณ์ หรือว่าโมโหจะไม่สอนพวกเขาแล้วหรือ
เด็กน้อยมองลู่เจียวอย่างระมัดระวัง และกำหมัดทุบฝ่ามือ “ข้าไม่อยากให้ใครมารังแกพวกข้า พวกเขายังรังแกท่านพ่อเลย ถ้าข้าเรียนแล้ว ข้าก็จะได้ปกป้องท่านพ่อได้”
ลู่เจียวฟังแล้วในใจพลันรู้สึกอ่อนหวาน ยื่นมือไปกอดเขา “เอาละ แม่รู้แล้ว แม่ไม่ได้โกรธเจ้าหรอก”
ลู่เจียวพูดแล้วลงจากเตียงเงียบๆ พาเอ้อร์เป่าเดินออกไปข้างนอก
ขณะนั้นท้องฟ้าเพิ่งสาง ข้างนอกเงียบงัน แทบจะไม่มีเสียงอะไรเลย
“แม่พาเจ้าขึ้นเขาไปหาหญ้ามาทำหุ่นคนก่อน มิเช่นนั้นแม่จะสอนพวกเจ้าสู้กลับคนเลวได้อย่างไร”
เอ้อร์เป่าตาลุกวาว และพยักหน้ารับอย่างแรง “อื้มๆ”
ลู่เจียวหยิบตะกร้าสานออกมาจากครัว อุ้มเอ้อร์เป่าเข้าไปข้างในแล้วสะพายขึ้นหลัง
แต่นางกลัวเอ้อร์เป่าจะตกลงมา ดังนั้นจึงกำชับกับเอ้อร์เป่าว่า “กอดคอแม่ไว้ อย่าตกลงมาล่ะ”
“ได้เลย”
เอ้อร์เป่ายิ้ม ยื่นมือกอดคอลู่เจียวไว้ สองแม่ลูกขึ้นเขาอย่างเงียบๆ ครั้งนี้ไม่ได้ไปตัดฟืน เพราะไม่มีที่ใส่ฟืนกลับ เพียงแค่ตัดหญ้าตัดไผ่เท่านั้น วันนี้ลู่เจียวจะสอนมารดาทำเต้าหู้ ต้องตัดไม้ไผ่กลับไปทำกล่องถั่วอัดแบบง่ายๆ
ถึงแม้เอ้อร์เป่าจะตัวเล็ก แต่ก็ช่วยลู่เจียวถอนหญ้า ขณะที่ถอนก็ถามด้วยความสงสัย “ท่านแม่ อันนี้มัดเป็นหุ่นคนได้หรือ”
“ได้สิ กลับไปค่อยมัด”
เอ้อร์เป่าฟังแล้วมองลู่เจียวด้วยแววตาเป็นประกาย พูดขึ้นเบาๆ “ท่านแม่ ท่านเก่งมากเลย อะไรก็ทำเป็น”
เมื่อพูดจบเขาก็รู้สึกภูมิใจ นี่คือแม่ของเขา คิดแล้วเขาก็ยืดอกน้อยๆ ขึ้นมา วันข้างหน้าเขาจะต้องเก่งเหมือนแม่ให้ได้
แม่ของเขากระชากพ่อของเสิ่ิ่นต้านิวมาซ้อมจนเขาร้องโอดครวญ ซ้ำแม่เขาซ้อมใครแล้วยังหาแผลไม่เจออีกด้วย
ลู่เจียวมองลูกยิ้มๆ “อนาคตเอ้อร์เป่าต้องเก่งกว่าแม่แน่นอน”
เอ้อร์เป่าพยักหน้าเต็มแรง อนาคตเขาจะขี่ม้า และจะเป็นแม่ทัพ