Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1742 ยอดเขากักเทพสวรรค์

ตอนที่ 1742 ยอดเขากักเทพสวรรค์
ศพคลั่งฝังวิญญาณนับร้อยพันทยอยแตกซ่าน กลายเป็นควันดำเข้าปกคลุมฟ้าดิน
โคมมหามรรคไร้มลทินลอยเด่น ไส้ตะเกียงพลิ้วไหว เงาโคมเหลืองสลัวพร่างพร้อย ส่องแสงสว่างขับไล่ศัตรูทั้งมวล!
เงาร่างหลินสวินอาบไล้ด้วยเงาตะเกียงเหลืองสลัว เสริมกลิ่นอายที่ดูลึกลับอยู่รางๆ
พวกเมิ่งอี้ต่างอึ้งงันอย่างสมบูรณ์
นับแต่โบราณมา ผู้แข็งแกร่งที่มาแดนผนึกแท่นสักการะไม่รู้เท่าไหร่ ได้แต่หยุดอยู่หน้าต้นมรณะฝังวิญญาณ
อันที่จริงก่อนหน้านี้พวกจีเฉียนและเจียงเหิงเองยังรู้สึกสิ้นหวัง จิตใจดับสิ้นดั่งเถ้าธุลี
แต่ใครจะคิดว่าหลินสวินที่เดิมถูกพวกเขามองข้าม จะใช้โคมสำริดดวงหนึ่งคลี่คลายหายนะแห่งการทำลายล้างนี้!
โดยเฉพาะตอนที่เห็นซากศพมากมายที่สามารถฆ่าบุคคลระดับอริยะได้อย่างง่ายดาย สลายกลายเป็นธุลีราวกับวัชพืช พวกเขาก็ถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว
ซ่า…
ควันดำม้วนซัด ไอมรณะทบเป็นชั้นๆ ปกฟ้าคลุมตะวัน ในที่นั้นไม่มีศพคลั่งฝังวิญญาณพุ่งเข้ามาอีกแล้ว
เมื่อกวาดสายตามองไปโดยรอบ ก็เต็มไปด้วยสีดำไร้ขอบเขต
หลินสวินและอาหูเก็บป้ายคำสั่งเซียนเหินลงไปพร้อมกัน
เกือบจะเวลาเดียวกัน ควันดำไอมรณะที่ปกคลุมฟ้าดินนั้น ถาโถมเข้าไปในโคมมหามรรคไร้มลทินราวเขื่อนแตก
มองจากไกลๆ เหมือนวาฬยักษ์กลืนวารี!
หลินสวินยังอดผิดคาดไม่ได้ ไม่นานก็สังเกตเห็นว่าไอมรณะที่เข้มข้นหาใดเปรียบพวกนี้ ถึงกับกลายเป็นน้ำมันตะเกียงสีดำสนิทแทรกเข้าไปในโคมไร้มลทินทีละน้อย
สมบัติเก่าแก่ที่อัศจรรย์เกินคาดเดาซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘เก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน’ ดวงนี้ ยามนี้ได้แผ่กลิ่นอายมหัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูกออกมา
ก็เหมือนมีพลังเจตะไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมา!
กระทั่งไอมรณะที่ปกคลุมทั่วพื้นที่แถบนั้นถูกรวบรวมมาจนหมด ในโคมมหามรรคไร้มลทินจึงปรากฏน้ำมันตะเกียงดำสนิทที่หนาราวข้อนิ้วชั้นหนึ่ง
เมื่อมองไปอีกครั้งก็ไม่เห็นร่องรอยของ ‘ต้นมรณะฝังวิญญาณ’ ต้นนั้นแล้ว มีเพียงจันทร์เพ็ญสีเลือดเก้าดวงบนเวิ้งฟ้าสาดแสงโลหิตมืดสลัวลงมา
พวกจีเฉียน เจียงเหิงต่างถอนหายใจยาวเหมือนรอดจากความตาย สีหน้าดูดีใจและตื่นเต้นอย่างยากปกปิด
เมิ่งอี้ก็ทำหน้าไม่ถูก เหมือนทอดถอนใจ คล้ายตกตะลึง ทั้งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
อาหูเม้มปากอมยิ้ม นัยน์ตาคู่งามใสกระจ่างดั่งวารี
หลินสวินกลับเหมือนไม่รับรู้ทุกอย่างนี้ ยืนนิ่งอยู่จุดเดิม
เมื่อโคมมหามรรคไร้มลทินดูดน้ำมันตะเกียงสีดำได้ชั้นหนึ่ง ในสมองของเขาก็เกิดการหยั่งรู้มรดกอย่างเงียบเชียบ ราวกับสัทครรลองมหามรรคดังก้องอยู่ในใจ
‘ไร้มลทินเป็นสื่อนำ แสงโคมส่องสว่างนิรันดร์ กลับไปถิ่นที่มาเถิด วิญญาณข้ามพ้นการหลงทาง…’
สุดท้ายการหยั่งรู้พวกนี้ก็กลายเป็นอักษรปริศนาบทหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘พาวิญญาณกลับ’ ประทับอยู่ในใจของหลินสวิน เมื่อลองสัมผัสดูเล็กน้อย นี่ถึงกับเป็นวิชาอย่างหนึ่งที่มีไว้ควบคุมโคมมหามรรคไร้มลทิน!
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกผิดคาด คิดไม่ถึงเลยว่าด้วยวาสนาบังเอิญจะทำให้ตนได้เคล็ดวิชาควบคุมโคมไร้มลทินมา
“พี่หลิน ครั้งนี้โชคดีเหลือเกินที่มีเจ้า”
จีเฉียนเผยสีหน้าละอายใจ “ข้าขอโทษสำหรับการกระทำที่มองเจ้าเป็นศัตรูก่อนหน้านี้ด้วย และจากนี้ไปจะชดเชยให้พี่หลินแน่”
เจียงเหิงที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า
ครั้งนี้หากหลินสวินไม่ลงมือ เกรงว่าพวกเขาคงประสบเคราะห์ตายไปแล้ว บุญคุณใหญ่หลวงที่ช่วยชีวิตนี้ พวกเขาจะไม่รับไว้ได้อย่างไร
“เรื่องชดเชยไม่จำเป็นแล้ว ถือว่าไม่ต่อยตีไม่รู้จักเถอะ”
หลินสวินพูดง่ายๆ
เมิ่งอี้ยิ้มกล่าว “ครั้งนี้พวกเราล้วนติดหนี้น้ำใจของพี่หลินอย่างใหญ่หลวง เอาอย่างนี้ รอเมื่อเข้าไปในแท่นสักการะแล้ว หากชิงวาสนาและศุภโชคอะไรได้จะให้พี่หลินเป็นคนแรก”
จีเฉียนและเจียงเหิงพยักหน้ารับปากพร้อมกัน
หลินสวินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
พวกเขาหยุดพักกันครู่หนึ่งก็เดินทางต่อ
บนทุ่งรกร้างจันทร์โลหิตอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว ฟ้าดินไร้ขอบเขต ความมืดเข้ากดดัน ก้าวเดินอยู่ในนั้นก็เหมือนเดินอยู่กลางนรกที่มืดมน พาให้ผู้คนอึดอัดใจ
ตลอดทางนี้ไม่สันติ ถึงขั้นอันตรายอย่างที่สุด ไอสังหารทบเป็นชั้นๆ
มีกระแสลมเย็นประหลาดที่กลายเป็นพายุหิมะน้ำแข็งโหมกระหน่ำ น้ำแข็งผนึกฟ้าดิน ลมหนาวเสียดกระดูก มีพลังทำลายล้างน่ากลัวต่อจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ
กระแสลมเย็นนี้ยังถูกมองเป็น ‘ลมเป่าวิญญาณ’ แค่พัดผ่านแผ่วเบาก็ทำให้บุคคลระดับอริยะขวัญหนีดีฝ่อ
มีธุลีทรายสีเงินลอยอยู่บนฟ้า แต่ละเม็ดล้วนละเอียดเป็นประกาย แจ่มจรัสลานตา ดูเหมือนเล็กจ้อย แต่กลับแหวกผ่านอากาศ ซัดสะเก็ดดาวให้แตกได้!
และมีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ซุ่มซ่อมอยู่กลางอากาศ ลักษณะคล้ายลิงขนดำ แต่กลับหน้าตาน่ากลัว ปากใหญ่มหึมาโดยกำเนิด
สัตว์ร้ายพวกนี้ถูกเรียกว่า ‘ลิงน้ำหน้าผี’ เคลื่อนแหวกห้วงอากาศ ไปมาไร้ร่องรอย ไม่อาจปัดป้องได้
เสียงร้องของมันก็สะเทือนสภาวะจิตของผู้ฝึกปราณจนพังทลายได้เช่นกัน ทำให้มรรควิถีทั้งร่างถูกทำลายด้วยสิ่งนี้ แปลกประหลาดและน่ากลัว
ตลอดทางหากไม่มีป้ายคำสั่งเซียนเหินอยู่ ก็ไม่รู้ว่าพวกหลินสวินจะประสบเคราะห์ไปกี่ครั้ง!
กระทั่งผ่านไปสองสามชั่วยาม
ยอดเขาที่สูงใหญ่เด่นตระหง่านลูกหนึ่งปรากฏอยู่บนเส้นขอบฟ้าอย่างไม่คาดฝัน
บนยอดเขานั้นมีโซ่ดำสนิทหลายสายทิ้งตัวลงมาดั่งพญามังกร มากมายแน่นขนัด พันรอบด้วยแสงโลหิตประหลาดหลายสาย
แค่มองจากไกลๆ พวกหลินสวินก็รู้สึกว่ามีไอเย็นถาโถมเข้าใส่ทันที ขนพองสยองเกล้า ทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง ความรู้สึกอันตรายรุนแรงแล่นปราดไปทั่วร่าง
“ยอดเขากักเทพสวรรค์!?”
จีเฉียนร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกับตัวสั่น คล้ายเห็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุดบนโลกด้วยตาตนเอง
เขาจีเฉียนเป็นถึงผู้สืบทอดแท้จริงอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์เสวียนจี ทายาทแกนหลักแห่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลจี มกุฎมหาอริยะที่โด่งดังคนหนึ่ง
แต่ตั้งแต่เข้ามาในแดนผนึกแท่นสักการะ ตลอดทางกลับเสียอาการไม่หยุด ถูกทำให้ตกใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
ไม่ใช่แค่เขา เจียงเหิงก็ไม่ต่างกัน
พวกเมิ่งอี้ หลินสวิน อาหูดีกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร ด้วยแดนผนึกนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ
อันตรายและสิ่งลี้ลับมากมายที่คงอยู่ ล้วนสามารถคร่าชีวิตของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย!
เดินทางอยู่ในนั้นก็เหมือนร่ายรำอยู่บนปลายดาบ วนเวียนอยู่บนเส้นความตาย ไม่เพียงวิตกหวาดกลัว ยังต้องรับแรงกดดันในการเอาตัวรอดอย่างมาก
แต่ตลอดทางมานี้จีเฉียนยังไม่เคยหวาดผวาเหมือนครั้งนี้เลยสักครั้ง
“นี่… ยอดเขาในตำนานลูกนี้… มีอยู่จริงหรือ” เจียงเหิงกัดฟันจนเกิดเสียง ใบหน้างามซีดเผือด
ตามตำนาน แดนผนึกแท่นสักการะมียอดเขาประหลาดอยู่ลูกหนึ่ง ราวกับปราการธรรมชาติขวางกั้น มีโซ่เทพที่อัศจรรย์หาใดเปรียบหนึ่งพันแปดร้อยสายทิ้งตัวลงมา โซ่เทพแต่ละสายล้วนมีพลังประหลาดที่พันธนาการเทพ สังหารอริยบุคคลได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือในช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอแค่เป็นผู้ที่เจอเขาลูกนี้ก็แทบไม่มีใครรอดกลับไป!
ภูเขานี้ก็คือ ‘ยอดเขากักเทพสวรรค์’!
แม้แต่จีเฉียนและเจียงเหิงก็ยังคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะโชคร้ายเช่นนี้ ระหว่างทางถึงกับเจอภูเขาที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้!
ชั่วขณะเดียวทั้งสองคนก็เหมือนสูญเสียเรี่ยวแรงไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด
“จบกัน ครั้งนี้ไม่มีทางรอดแล้ว… ป้ายคำสั่งเซียนเหินล้วนไร้ประโยชน์ ยอดเขากักเทพสวรรค์นั่นก็คือเค้าลางของความตาย ขอแค่เจอมัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต่างถูกลิขิตให้หนีความตายไม่พ้น…”
จีเฉียนสีหน้าเศร้าหมอง พึมพำเสียงหลง
“ตลอดทางมานี้โชคของพวกเราจะแย่เกินไปแล้ว เท่าที่ข้ารู้ ในอดีตที่ผ่านมาผู้แข็งแกร่งที่มายังแดนผนึกแท่นสักการะ ส่วนใหญ่ภายในสามชั่วยามก็ไปถึงหน้าแท่นสักการะได้อย่างปลอดภัยแล้ว”
เจียงเหิงดูไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง “ทั้งอันตรายที่พวกเขาเจอตลอดทางก็ไม่ได้มาบ่อยๆ เหมือนพวกเรา นี่… นี่สวรรค์จงใจแกล้งพวกเราเล่น ให้พวกเราเดินไปหาความตายรึ”
เมิ่งอี้สีหน้าคร่ำเคร่ง
หลินสวินและอาหูสบตากันวูบหนึ่ง สีหน้าล้วนอึมครึมขึ้นมา
เมื่อคิดดูอย่างละเอียด อันตรายและเคราะห์สังหารที่พวกเขาเจอตลอดทางนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งไปหน่อยจริงๆ
ทันทีที่เข้ามาก็เจอ ‘กระแสน้ำหลากแห่งกาลเวลา’ จากนั้นไม่ทันไรก็เจอ ‘ต้นมรณะฝังวิญญาณ’ ทั้งยังถูกศพคลั่งฝังวิญญาณนับไม่ถ้วนปิดล้อมด้วย
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีเคราะห์สังหารมาได้ ตลอดทางมานี้ยังทยอยเจอ ‘ลมเป่าวิญญาณ’ ‘ทรายแสงเงิน’ ‘ลิงน้ำหน้าผี’ และภัยพิบัติประหลาดอันโหดร้ายอื่นอีก
เดิมทีนี่ก็ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง ทำให้คนกดดันและใจสั่นระรัว เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไป เกรงว่าคงพังทลายไปนานแล้ว ไม่อาจยืนหยัดมาได้ถึงตอนนี้แน่
แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ยังมาเจอ ‘ยอดเขากักเทพสวรรค์’ ในตำนานอีก!
‘พี่หลิน เจ้าสังเกตไหมว่าตลอดทางมานี้พวกเรายังไม่เจอผู้ฝึกปราณสักคน ที่เจอทั้งหมดล้วนเป็นเคราะห์สังหารและภัยพิบัตินานัปการ’
อาหูสื่อจิตอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางของนางดูแปลกไปอยู่บ้าง ‘นี่ได้แต่พิสูจน์ว่า หากไม่ใช่โชคของพวกเราแย่เกินไปจริงๆ เช่นนั้นเส้นทางที่พวกเราเดินมาก็ผิดแล้ว!’
‘เจ้าสงสัยว่า…’
หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ตูม!
พลังที่น่ากลัวพุ่งสังหารมาจากด้านหลังของหลินสวินและอาหู
เร็วเกินไปแล้ว!
ด้วยไม่ทันตั้งตัว หลินสวินและอาหูจึงได้แต่หลีกหลบตามสัญชาตญาณ
ท่ามกลางเสียงปะทะอึกทึกสนั่นหู เงาร่างหลินสวินซวนเซ ถอยหลังกลางอากาศไปหลายก้าว แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับถูกกระเทือนจนเสื้อผ้าด้านหลังขาดวิ่น ผิวหนังปวดแสบปวดร้อน
บ่าของอาหูก็ถูกโจมตีโดนถากๆ ส่งเสียงอึดอัดในคอ ใบหน้างามพลันซีดขาว
“เป็นเจ้า!?”
เกือบจะเวลาเดียวกัน หลินสวินและอาหูมองไปทางเมิ่งอี้พร้อมกัน แววตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง คนที่ลอบโจมตีกะทันหันเมื่อครู่ก็คือเมิ่งอี้
หากไม่เป็นเช่นนี้ มีหรือจะทำให้ทั้งสองคนไม่ทันแม้แต่จะตั้งรับ
“ขออภัยที่ตลอดทางมานี้ต้องหลอกท่านทั้งสอง ข้าผู้แซ่เมิ่งปวดใจจริงๆ แต่กลับไม่อาจไม่ทำเช่นนี้”
เมิ่งอี้เอ่ยปาก คำพูดแม้กล่าวเช่นนั้น แต่บนใบหน้างามสุขุมลุ่มลึกของเขากลับไม่มีความรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย กลับเป็นว่ามีรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
ยามนี้มือซ้ายของเขาหิ้วจีเฉียน มือขวาคว้าเจียงเหิง ยืนห่างออกไปพันจั้ง
“เพราะอะไร”
อาหูกล่าวเย็นชา
จีเฉียนและเจียงเหิงก็เบิกตากว้าง หน้าตาตื่นตะลึง ล้วนคิดไม่ถึงว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ในเวลานี้
ทั้งสองคนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพบว่าพลังถูกพันธนาการ แม้แต่จะส่งเสียงสักแอะก็ยังไม่ได้ นี่ทำให้ทั้งสองคนทั้งตกใจทั้งงุนงง
เมิ่งอี้เขา… คิดจะทำอะไรกันแน่
“เพราะข้าทำการแลกเปลี่ยนกับคนผู้หนึ่งไว้”
เมิ่งอี้ถอนหายใจเบาๆ “การแลกเปลี่ยนนี้ล่อใจข้ามากเกินไป ทำให้ข้าได้แต่ละทิ้งความร่วมมือกับพวกเจ้าสองคน มาจัดการพวกเจ้าอย่างไร้น้ำใจ”
“แต่ดูท่าว่าเจ้าจะทำไม่สำเร็จ”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น ไอสังหารห้อมล้อม
เมิ่งอี้ยิ้มแล้ว น้ำเสียงเจือความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่ยอมให้กังขา “ไม่ ครั้งนี้พวกเจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
สายตาของเขามองไปยังยอดเขากักเทพสวรรค์ที่อยู่ห่างออกไป “เห็นไหม ภายในเวลาไม่กี่นาน โซ่เทพประหลาดบนเขาลูกนี้จะมัดตัวพวกเจ้าสองคนไปขังใต้ภูเขา จากนั้นก็จะกำจัดเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของพวกเจ้าไปทีละน้อย กระทั่งพวกเจ้าจิตสิ้นวิญญาณสลาย…”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาเหลือบสายตามองไปยังหลินสวินและอาหูอย่างเจือความเวทนา “จะบอกพวกเจ้าให้ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ใต้ภูเขาลูกนี้เคยกำจัดบุคคลระดับจักรพรรดิแท้มาก่อน พวกเจ้าคิดว่ายังจะหนีพ้นเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ไหม”
……..
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท