ตอนที่ 90 โง่หรือพิการ
เถียนซื่อยื่นมือไปบีบจมูกซื่อเป่า “เจ้าปีศาจตะกละนี่ ตอนนี้มีของอร่อยกินแล้วหรือ”
“มีของอร่อยมากินกับท่านพ่อท่านแม่แล้วก็ท่านยายด้วย” ซื่อเป่าตอบพร้อมรอยยิ้ม
ลู่กุ้ยเดินออกมาจากห้องแล้วถามว่า “ไม่มีส่วนของท่านน้าบ้างหรือ”
“ข้าลืมท่านน้าไปได้อย่างไร” ซื่อเป่าตอบด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
ลู่เจียวมองเขาอย่างขบขัน จากนั้นเดินเข้าไปในครัว เจ้าตัวน้อยทั้งสี่เดินตามนางไปติดๆ ส่วนเถียนซื่อก็เอ่ยถามอยู่ข้างหลังนาง
“การผ่าตัดพรุ่งนี้คงไม่มีปัญญาอะไรใช่หรือไม่”
ลู่เจียวส่ายหน้า “ท่านแม่วางใจได้ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก หมอฉีก็บอกไว้แล้ว ขอเพียงผ่าตัด เขาก็จะดีขึ้นแน่”
เถียนซื่อพยักหน้าอย่างดีอกดีใจ “ดีเหลือเกิน เดิมทีนึกว่าลูกเขยจะพิการไปชั่วชีวิตเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังมีหนทางรักษาให้หายได้ อย่างเจ้าเรียกว่าต้นร้ายปลายดี ดูสิ ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยจนผอมไปหมดแล้ว”
เถียนซื่อลูบศีรษะลู่เจียวด้วยความรักสุดหัวใจ ลู่เจียวสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร เถียนซื่อสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ ดังนั้นนางจึงลูบศีรษะลู่เจียวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เดิมทีลู่เจียวน้ำหนักประมาณแปดสิบกิโลกรัม ช่วงนี้ทำงานหลายอย่างต่อเนื่องกัน ทั้งยังควบคุมการกินของตัวเอง ทำให้น้ำหนักนางลดลงแล้วหลายกิโลกรัม ยามคนนอกมองเห็นนาง ความคิดแรกก็คือพบว่านางผอมลงไม่น้อยเลย
“ท่านแม่ ต้องผอมลงหน่อยถึงจะงาม”
เอ้อร์เป่ารีบแย้งเสียงดัง “ต่อให้ท่านแม่ไม่ผอมก็ยังงดงาม ผิวขาวหมดจด คิ้วโก่งตาโค้ง ยามยิ้มเป็นเหมือนพระจันทร์เสี้ยว”
ซานเป่าก็พูดบ้าง “ท่านแม่ยอดเยี่ยมที่สุด นำก้างปลาออกให้พี่เสี่ยวเป่า ทั้งยังรักษาอาการป่วยให้หลินเอ้อร์ตั้นได้ด้วย”
ซื่อเป่ามองเอ้อร์เป่าครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองซานเป่า ทำไมพูดแทนข้าหมดแล้วล่ะ เช่นนั้นข้าจะพูดอะไรดี
ซื่อเป่าพยายามคิด ข้าจะชมท่านแม่ว่าอย่างไรดีนะ
“ท่านแม่ ท่านเก่งมาก!”
ลู่เจียวกับเถียนซื่อมองเด็กทั้งสามอย่างนึกขัน จากนั้นสองแม่ลูกก็มองต้าเป่าพร้อมกัน
ต้าเป่าเม้มปาก แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านดีมาก”
เถียนซื่อหลุดขำ “เจ้าเด็กคนนี้”
ลู่เจียวนำลูกท้อและองุ่นออกมาล้างแล้ววางไว้ในจาน
นางปอกเปลือกองุ่นแล้วป้อนเข้าปากเจ้าตัวน้อยทั้งสี่
“เป็นอย่างไรบ้าง อร่อยไหม”
เด็กน้อยสี่คนกินจนเริ่มหรี่ตาแล้ว ศีรษะเล็กๆ พยักหน้าไม่หยุด “อร่อย”
ลู่เจียวปอกเปลือกองุ่นยัดใส่ปากเถียนซื่ออีกคน
เถียนซื่อปฏิเสธไม่ได้จึงจำต้องกิน หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างตื่นเต้น “องุ่นนี่หวานเหลือเกิน”
“รีบนำไปให้ท่านพ่อกินเถอะ” ต้าเป่ารีบบอก
เถียนซื่อมองดูต้าเป่า เด็กคนนี้ช่างกตัญญู เดี๋ยวต่อไปต้องคุยกับลูกสาวให้ดีสักหน่อย ว่าต่อไปนี้ให้เลี้ยงดูเด็กสี่คนนี้เป็นอย่างดี
หลายวันมานี้นางได้เห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น เด็กสี่คนนี้ไม่เพียงแต่หน้าตาดี ยังมีจิตใจบริสุทธิ์งดงาม หากอบรมเลี้ยงดูให้ดี ภายภาคหน้าเมื่อเติบใหญ่แล้วจะต้องเป็นเด็กที่ทั้งเชื่อฟังทั้งกตัญญูแน่นอน
ลู่เจียวไม่ได้คิดเยอะเท่าเถียนซื่อ เมื่อได้ยินคำพูดของต้าเป่าก็ยกจานขึ้นจะไปเรือนตะวันออก แต่ก่อนไป นางยังให้เถียนซื่อกับลู่กุ้ยหยิบไปอีกนิดหน่อย จากนั้นค่อยถือจานเดินเข้าเรือนไป
“กินลูกท้อกับองุ่นสิ หวานมากเลย”
เมื่อลู่เจียวพูดจบ เด็กแฝดทั้งสี่ก็วิ่งไปพูดกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นตรงข้างเตียงทันที
“ท่านพ่อ ลูกท้ออร่อย องุ่นก็อร่อยเช่นกัน หวานเป็นพิเศษ”
ต้าเป่าพูดจบก็วิ่งกลับไปข้างกายลู่เจียว หยิบองุ่นผลหนึ่ง คิดเลียนแบบวิธีปอกเปลือกองุ่นอย่างลู่เจียว แต่น่าเสียดายที่เขายังทำไม่เป็น จึงคว้านเอาเนื้อองุ่นทิ้งไปด้วยนิดหน่อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังยืนหยัดที่จะส่งองุ่นจ่อไปตรงข้างปากของเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ท่านพ่อ ท่านรีบกินสิ หวานมากเลย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ไม่ได้รังเกียจที่บุตรชายปอกเปลือกไม่สวย เขากินองุ่นนั้นเข้าไป
แค่คำเดียวก็รู้สึกได้ว่าองุ่นนี้ไม่ใช่องุ่นธรรมดา คงจะเป็นของดีจากแผ่นดินใหญ่
ของดีเช่นดี ไม่น่าเชื่อว่าหมอฉีจะมอบให้ลู่เจียว เหตุใดเขาจึงให้ของลู่เจียวอยู่เรื่อย
ในดวงตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นปกคลุมไปด้วยความระแวง เขามองลู่เจียวพลางเอ่ยปากถาม “เหตุใดหมอฉีจึงเอาแต่มอบของให้เจ้า”
ลู่เจียวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่หอยาเป่าเหอเชิญนางไปตรวจรักษาโรคให้เขาฟัง
“แต่ข้าบอกหมอฉีไว้แล้ว เพราะในเรือนมีเด็กน้อยทั้งสี่กับเจ้าให้ข้าต้องดูแล ไม่อาจไปตรวจรักษาโรคที่หอยาเป่าเหอทุกวันได้ หากพวกเขามีผู้ป่วยหนักค่อยเรียกข้าไป”
ความรู้สึกแรกของเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็คือไม่อนุญาต ในบ้านมีเด็กสี่คนรวมเขาด้วยอีกคนหนึ่ง หากลู่เจียวไปช่วยรักษาคนไข้ในตัวเมืองเช่นนั้น แล้วคนที่บ้านจะอยู่กันอย่างไร
แต่หลังจากเขานึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ลู่เจียวคนเดิม นางทำเพื่อพวกเขาพ่อลูกมาจนถึงตอนนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว ไม่มีเหตุผลให้เขาแย่งเวลาทั้งหมดของนางไป
ทว่าแม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่บนใบหน้าก็ยังแสดงความไม่พอใจอยู่บ้าง เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “เช่นนั้นเวลาไปที่นั่น เจ้าก็ต้องระวังหน่อย”
ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ แต่นางก็คร้านจะสนใจเขา รอขาเขาหายดี ทั้งสองก็จะแยกทางกันแล้ว นางย่อมต้องเตรียมตัวเพื่อวันข้างหน้าไว้บ้าง
ลู่เจียวไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนเรื่องไปถามเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเอาใจใส่ “วันนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นขยับร่างกายเล็กน้อย
“เจ้าดูสิ ไม่เวียนศีรษะ ไม่อาเจียนแล้ว การผ่าตัดพรุ่งนี้คงจะไม่มีปัญหาอะไร”
“อืม เช่นนั้นก็ดี คืนนี้ข้าจะทำอาหารอ่อนๆ ให้เจ้ากินสักหน่อย”
พอพูดจบ ลู่เจียวก็นำลูกท้อกับองุ่นวางไว้บนตู้ไม้ข้างเตียงเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“เจ้ากับพวกต้าเป่ากินผลไม้กันก่อนเถอะ”
ลู่เจียวพูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป แต่เสียงแหลมเล็กของหร่วนซื่อกลับดังมาจากด้านนอกประตูแล้ว
“เจ้าสาม ได้ยินว่าพรุ่งนี้เจ้าจะผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือ”
ในห้อง ใบหน้าของเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยเหยียดหยัน ในดวงตาฉายแววเยียบเย็นอย่างไม่คิดปิดบัง
ลู่เจียวก็ไม่ชอบหน้าหร่วนซื่อเช่นเดียวกัน แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นมารดาของเซี่ยอวิ๋นจิ่น จะให้ไล่นางออกไปคงไม่ได้
นางอยู่ในฐานะภรรยาของอวิ๋นจิ่น หากขับไล่แม่สามีออกไป ชื่อเสียงของนางจะเสียหาย ทำเช่นนั้นไม่คุ้มค่า
หร่วนซื่อกับเซี่ยเหล่าเกินเดินเข้ามาแล้ว ลู่เจียวยกเก้าอี้สองตัวมาให้พวกเขานั่ง
พอหร่วนซื่อนั่งลงก็เห็นแฝดสี่คนกำลังกินลูกท้อกับองุ่น นางตาเป็นประกายทันที “ต้าเป่า รีบนำมาให้ท่านย่าเร็ว องุ่นเป็นของดี อาสี่ของเจ้าเอง อายุปูนนี้แล้วก็ยังไม่เคยกินองุ่นเช่นนี้มาก่อนเลย”
เด็กทั้งสี่ปกป้องจานผลไม้ด้วยท่าทีไม่พอใจ เพราะนี่คือของอร่อยที่ท่านแม่ซื้อให้พวกเขากับท่านพ่อ เขาไม่ให้อาสี่กินหรอก
พอหร่วนซื่อเห็นการกระทำของเด็กทั้งสี่ก็โมโหจนอยากด่าคน
เซี่ยเหล่าเกินยื่นมือผลักนางเบาๆ หร่วนซื่อค่อยได้สติกลับมา วันนี้นางมาเพื่อคลายความขัดแย้งกับเจ้าสาม ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกัน ดังนั้นจึงปล่อยผ่านเรื่ององุ่นไป ก็แค่องุ่น ทำราวกับว่าไม่เคยกิน
หร่วนซื่อพยายามฉีกยิ้ม “ได้ ได้ พวกเจ้ากินกันไปเถอะ”
พูดจบแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ บอกอีกว่า “ต้าเป่าเอ๊ย พวกเจ้าไม่รู้จักกตัญญูตั้งแต่ยังเด็ก เติบใหญ่ไปจะไม่แย่เอาหรือ”
พอหร่วนซื่อพูดจบ สีหน้าของลู่เจียวก็เย็นเยียบขึ้นทันที หากคำพูดของหร่วนซื่อแพร่งพรายออกไป ก็จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของเด็กๆ
“ท่านแม่กล่าวเช่นนี้ช่างน่าขำเสียจริง ไม่กตัญญูอะไรกัน พวกเขาเป็นลูกของบ้านเรา ขอเพียงกตัญญูต่อบิดามารดาของตัวเองก็พอแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าต้องกตัญญูต่ออาด้วย นี่ท่านอาของพวกเขาโง่งมไม่ก็พิการไปแล้วหรือ ถึงต้องการจะให้พวกหลานๆ มาแสดงความกตัญญูต่อตัวเอง”