ตอนที่ 122 ให้โอกาสคนทำผิดสักครั้ง
โก่วเซิ่งจากบ้านฮูหยินเฒ่าสามวิ่งมากล่าวกับต้าเป่าว่า “ต้าเป่า ครั้งก่อนตอนเจ้าอุ้มลูกหมาบ้านข้า เจ้าบอกว่า หากอาสะใภ้สามทำของเล่นอีก ก็จะทำให้ข้าด้วย”
ต้าเป่ารีบหันไปมองลู่เจียว ลู่เจียวตกลง
“ได้ ข้าทำให้เจ้าอันหนึ่ง คนอื่นก็เล่นสามอันนี้นะ”
เด็กๆ ในลานบ้านพากันส่งเสียงร้องดีใจดังครึกครื้น
แม้ว่าเจ้าแฝดสี่ตัดใจจากของเล่นใหม่ไม่ได้ แต่เห็นทุกคนส่งเสียงดีอกดีใจกันอย่างมีความสุข ก็ทำให้เบิกบานใจไปด้วย เริ่มสอนเพื่อนๆ เล่นกระดานลื่น
โก่วเซิ่งตามลู่เจียวมา จ้องมองนางทำกระดานลื่น กล่าวอย่างดีใจว่า “นี่เป็นของข้า ของข้า”
นอกรั้วบ้านตระกูลเซี่ย ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ส่งลูกๆ มาเรียนคัมภีร์สามอักษรก็พากันยิ้มไม่หุบ
ตอนนี้ทุกครอบครัวยินดีให้ลูกๆ ได้เล่นกับลูกๆ ของครอบครัวอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นเป็นซิ่วไฉ วันหน้าหากสอบติดจอหงวนเป็นขุนนางใหญ่ได้ ยังมีลู่เจียวที่เป็นหมอเทวดาอีก
ลูกที่ทั้งสองคนอบรมสั่งสอนมาย่อมไม่ด้อย ลูกๆ พวกเขาได้เล่นกับลูกๆ ของทั้งสอง ก็ย่อมฉลาดน่ารักเหมือนพวกเขา
มีชาวบ้านในหมู่บ้านทักทายลู่เจียว “ภรรยาอวิ๋นจิ่น รบกวนเจ้าแล้ว”
“หากลูกข้าไม่เชื่อฟัง เจ้าบอกพวกเรา พวกเรากลับไปจะจัดการเขาเอง”
ลู่เจียวยิ้มโบกมือให้ชาวบ้านในหมู่บ้านบอกเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
ชาวบ้านในหมู่บ้านพากันกลับไปแล้ว ลู่เจียวก็ทำกระดานลื่นให้โก่วเซิ่งต่อ
มีผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกรั้ว
ทั้งสองคนเดินมายืนนิ่งข้างกายลู่เจียว
ลู่เจียวไม่ทันรู้ตัว แต่เสียงตะโกนโก่วเซิ่งทำเอานางตกใจ
“เจ้าคนเลว กระดานลื่นนี่เป็นของข้า เจ้าอย่าได้คิดแย่งกระดานลื่นข้า”
หลัววั่งไฉเป็นคนที่เด็กๆ ในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยไม่ชอบอย่างมาก เพราะผู้ใหญ่ทุกครอบครัวกำชับลูกๆ บ้านตนไว้ นี่คือเจ้าคนเลวที่ลักเล็กขโมยน้อย วันหน้าให้อยู่ห่างๆ เขาไว้
ดังนั้นโก่วเซิ่งพอเห็นหลัววั่งไฉก็เรียกเขาว่าเจ้าคนเลว และกังวลว่าหลัววั่งไฉจะแย่งกระดานลื่นเขา
ร่างเล็กผอมและดำยืนอยู่ตรงหน้าหน้าลู่เจียว
ลู่เจียวมองโก่วเซิ่ง เลิกคิ้วอย่างไร้วาจา เจ้าเด็กผอมกะหร่อง หากคนเขาคิดแย่งชิงจริง หมัดเดียวก็เอาเจ้าหมอบไปแล้วไหม
ลู่เจียวไม่ได้สนใจโก่วเซิ่ง เงยหน้ามองหลัววั่งไฉ และเด็กผู้หญิงตัวน้อยร่างผอมข้างกายเขา
ลู่เจียวจำเด็กผู้หญิงตัวน้อยได้ แม่หนูซูลูกสาวเสิ่นซิ่ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลัววั่งไฉพาแม่หนูซูมาทำไม หรือว่าคิดถามว่าเสิ่นซิ่วอยู่ที่ไหน
ลู่เจียวคิดแล้วก็มองหลัววั่งไฉสีหน้านิ่ง หลัววั่งไฉมองท่าทางลู่เจียว ในใจก็แอบนึกกลัว
แต่พอเขามองไปยังแม่หนูซูข้างๆ ไม่สิ แม่หนูน้อยไม่ใช่แม่หนูซูแล้ว นางคือหลัวเสี่ยวเฉ่าบุตรสาวหลัววั่งไฉแล้ว
“ภรรยาอวิ๋นจิ่น ท่านให้เสี่ยวเฉ่าของข้าเรียนหนังสือกับอวิ๋นจิ่นได้ไหม”
ลู่เจียวหรี่ตาอย่างแปลกใจ หลัววั่งไฉรีบดึงหลัวเสี่ยวเฉ่ามากล่าวว่า “นางเป็นบุตรสาวข้า หลัวเสี่ยวเฉ่า”
ลู่เจียวแปลกใจมาก นางมองสีหน้าหลัววั่งไฉเหมือนว่ารักและเอ็นดูหลัวเสี่ยวเฉ่าอย่างมาก แม้แต่ชื่อนางก็เปลี่ยนให้ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาถึงกับส่งหลัวเสี่ยวเฉ่ามาเรียนหนังสือกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ความรู้สึกแรกของลู่เจียวก็คือหลัววั่งไฉกำลังเล่นอุบายอะไร แต่พอมองไปยังหลัวเสี่ยวเฉ่าก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว
หลัวเสี่ยวเฉ่าอายุน้อยกว่าแฝดสี่บ้านนางนิดหน่อย แววตาใสซื่อไร้จุดหมาย ไหนเลยจะรู้ความ
ดังนั้นหลัววั่งไฉจึงอยากส่งหลัวเสี่ยวเฉ่ามาเรียนหนังสือ?
ยุคสมัยนี้คนที่ให้เด็กผู้หญิงเรียนหนังสือมีน้อยมาก เช่นวันนี้ เด็กๆ ที่มาให้แฝดสี่สอนคัมภีร์สามอักษร ล้วนเป็นเด็กผู้ชาย ไม่มีเด็กผู้หญิงสักคน เด็กผู้หญิงต้องอยู่บ้านช่วยผู้ใหญ่ทำงาน
ด้วยเหตุนี้ลู่เจียวก็มองหลัววั่งไฉดีขึ้นมาหน่อย
แต่ลู่เจียวก็ยังไม่ได้ตัดสินใจให้หลัวเสี่ยวเฉ่าอยู่เรียนหนังสือ
“เจ้าคิดว่าข้าจะเห็นด้วยที่จะให้หลัวเสี่ยวเฉ่าอยู่เรียนหนังสือ?”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาคิดล่อลวงนาง แค่เรื่องที่มารดาหลัวเสี่ยวเฉ่าทำกับนาง นางก็ไม่อยากให้อยู่แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าลูกสาวเสิ่นซิ่ววันหน้าจะทำตัวเหมือนแม่นางหรือไม่
พอหลัววั่งไฉได้ยินคำพูดลู่เจียว สีหน้าก็หม่นหมองลงทันที
ลู่เจียวมองออกว่าเขาเสียใจมาก แต่ก็ไม่ได้ดึงดันไม่เลิก ดึงหลัวเสี่ยวเฉ่าหันหลังจะจากไป
ลู่เจียวมองตามหลังผู้ใหญ่และเด็กสองคนนี้เดินจากไป ในใจก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา คนเราไม่ใช่ว่าทำผิดแล้วจะไม่มีทางกลับตัว ไม่ใช่ว่าควรให้โอกาสคนทำผิดได้สำนึกผิดสักหนครึ่งหนหรือ
ลู่เจียวคิดตกก็พลันตะโกนเรียกหลัววั่งไฉ
“หลัววั่งไฉ”
หลัววั่งไฉชะงักหันกลับมามองลู่เจียว ลู่เจียวกล่าวไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจ้าคิดจะเลี้ยงหลัวเสี่ยวเฉ่า เจ้าเลี้ยงนางไหวหรือ”
นางจำได้ว่าบ้านหลัววั่งไฉมีมารดาแก่ชรา เขาดูเหมือนว่าแม้แต่มารดาตนเองก็ยังเลี้ยงดูไม่ไหว ตอนนี้ยังมีหลัวเสี่ยวเฉ่ามาอีกคน เขาจะเลี้ยงดูไหวหรือ
หลัววั่งไฉได้ฟังคำพูดลู่เจียว สีหน้าก็จริงจัง กล่าวว่า “ข้าจะพยายามเลี้ยงดูนางอย่างเต็มที่”
กล่าวจบก็เตรียมจะจากไป ลู่เจียวเรียกเขาไว้
“หลัววั่งไฉ ความจริงก็ไม่ใช่ว่าไม่อาจให้หลัวเสี่ยวเฉ่าอยู่เรียนหนังสือ”
หลัววั่งไฉได้ฟังคำพูดลู่เจียว แววตาก็เปล่งประกาย ราวกับมีเรี่ยวแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เขาดึงหลัวเสี่ยวเฉ่าหันเดินกลับมา
“ท่านว่ามา ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร ขอเพียงข้าทำได้ ข้าย่อมทำแน่ ขอเพียงให้เสี่ยวเฉ่าได้เรียนหนังสือกับอวิ๋นจิ่น”
ลู่เจียวถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่า “ทำไมเจ้าต้องให้หลัวเสี่ยวเฉ่าเรียนหนังสือให้ได้”
หลัววั่งไฉยิ้มกล่าวว่า “เรียนหนังสือจะทำให้เป็นคนฉลาด ข้าอยากให้วันหน้าเสี่ยวเฉาเป็นหญิงสาวฉลาดเฉลียวว่านอนสอนง่าย”
อย่าได้โง่เง่าเหมือนมารดานาง
ลู่เจียวได้ฟังคำพูดหลัววั่งไฉก็พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “หากเจ้ารับปากข้าสองข้อ ข้าก็จะให้นางอยู่ต่อ”
“ท่านว่ามา”
“ข้อแรก วันหน้าเจ้าอย่าได้ลักเล็กขโมยน้อยอย่างเมื่อก่อนอีก ข้อสอง เจ้าต้องตั้งใจสั่งสอนหลัวเสี่ยวเฉ่าให้ดี อย่าได้ให้นางกลายเป็นคนเช่นแม่ของนาง”
หลัววั่งไฉรับปากทันที “ได้ วันหน้าข้าหลัววั่งไฉจะไม่ทำตัวเหลวแหลกแบบเมื่อก่อนอีก ข้าจะเรียนรู้การล่าสัตว์จากท่านอาเซียวจริงจัง ไว้เลี้ยงดูท่านแม่ข้าและเสี่ยวเฉ่า”
ลู่เจียวพยักหน้าอย่างพอใจ “จดจำคำเจ้าไว้ หากวันหน้านิสัยเก่ากำเริบอีก ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
หลัววั่งไฉแอบนึกกลัวขึ้นมา แต่ในใจกลับผ่อนคลายลง
เสี่ยวเฉ่าได้อยู่เรียนหนังสือต่อ แม้เขาถูกตี เขาก็ดีใจ
ลู่เจียวมองไปยังผู้ใหญ่และเด็กทั้งสองคนตรงหน้าก็ถอนหายใจเบาๆ หลัววั่งไฉคิดเลี้ยงดูทั้งมารดาแก่ชราและหลัวเสี่ยวเฉ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตระกูลหลัวไม่มีที่ดิน อาศัยแค่การล่าสัตว์ เลี้ยงดูสามชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย
สวี่ตัวจินผู้นั้นเป็นนายพรานที่ร้ายกาจมากและมักจะล่าสัตว์ได้ แต่เลี้ยงดูครอบครัวก็ยังไม่ได้ง่ายๆ นับประสาอันใดกับหลัววั่งไฉ
แต่ลู่เจียวเห็นเขาตั้งใจกลับตัว ก็มีใจคิดช่วยเขาสักหน่อย
“เจ้ารอข้าสักครู่”
ลู่เจียวหันเดินเข้าไปในห้องครัว หยิบยาสมุนไพรหลายอย่างออกจากห้วงอากาศ นางถือยาสมุนไพรเดินออกมา เอายาสมุนไพรส่งให้หลัววั่งไฉกล่าวว่า
“นี่คือยาสมุนไพรสองสามอย่าง เจ้าเอากลับไปดู ไว้ขึ้นเขาไปเก็บยาสมุนไพรพวกนี้ เก็บได้ก็เอาไปขายที่หอยาเป่าเหอ หากได้เงินมา ก็พยายามเก็บออม วันหน้าไว้ซื้อที่สักสองหมู่ เช่นนี้ก็จะได้เลี้ยงดูท่านแม่แก่ชราของเจ้าและเสี่ยวเฉ่าแล้ว”