ตอนที่ 164 ถกเรื่องความสำคัญของภรรยาดีมีปัญญา
ยามนี้สายตาเซี่ยหลานเอาแต่จับจ้องเจิ้งจื้อซิ่ง นางมองเจิ้งจื้อซิ่ง รู้สึกว่ากิริยาท่าทางของเขาทำให้นางชื่นชอบ เซี่ยหลานมองจนหน้าแดงเขินอาย จับจ้องเจิ้งจื้อซิ่งด้วยแววตาร้อนแรง
เจิ้งจื้อซิ่งไม่ได้สังเกตเห็นนางเลย นั่งลงกินข้าวกับทุกคน เซี่ยหลานใจกล้าคีบอาหารให้เจิ้งจื้อซิ่ง
เจิ้งจื้อซิ่งจึงได้สังเกตเห็นเซี่ยหลาน เขาหันไปมอง เห็นหญิงอายุน้อยข้างๆ มองเขาด้วยแววตาร้อนแรง แววตาเปิดเปลือยให้เห็นความในใจนางหมด
เจิ้งจื้อซิ่งรู้จักเซี่ยหลาน รู้ว่านางคือน้องสาวเซี่ยอวิ๋นจิ่น
แต่น้องสาวผู้นี้เปิดเผยไปหน่อยไหม ไม่เพียงแต่กล้าจ้องมองเขาที่เป็นชายแปลกหน้า ยังใช้ตะเกียบคีบอาหารให้เขา
เจิ้งจื้อซิ่งมองเซี่ยหลานแล้วก็มองอาหารในชาม
เซี่ยหลานไม่รู้ว่าเจิ้งจื้อซิ่งรังเกียจ เห็นเขาก้มหน้ามองอาหารในชามตนเอง นางก็รีบคีบให้เจิ้งจื้อซิ่งอีก
“คุณชายเจิ้ง ชิมอาหารนี้หน่อย อร่อยมาก”
นางกล่าวจบก็คีบมาชิมเองคำหนึ่ง อร่อยมากจริงๆ พี่สะใภ้นางไม่เป็นที่ชื่นชอบเท่าไร ทำอาหารกลับอร่อยมาก
ท่าทีเซี่ยหลานทำเอาคนบนโต๊ะอึดอัดกันไปในทันที เพราะเซี่ยหลานคีบให้เจิ้งจื้อซิ่ง จากนั้นก็คีบกินเอง เรื่องนี้มันดูอย่างไรก็ขัดๆ
เจิ้งจื้อซิ่งไม่รู้จะทำเช่นไรดี ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
ในห้อง สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นดำทะมึนอย่างที่สุด สองตามองเซี่ยหลานเย็นเยียบ หากไม่ใช่เห็นว่ามีแขก เขาคงไล่น้องสาวให้รีบไสหัวออกไปแล้ว ขายหน้ามาถึงเขาด้วย
ลู่เจียวรีบลุกขึ้น เอาชามตรงหน้าตนเองที่ยังไม่แตะต้องยกให้เจิ้งจื้อซิ่ง ยกชามเจิ้งจื้อซิ่งมาจะกินเอง
“คุณชายเจิ้งรีบกินเถอะ”
ความจริงลู่เจียวไม่ได้คิดเช็ดก้นให้เซี่ยหลานที่ทำขายหน้าไว้ แต่ทำไงได้ เจิ้งจื้อซิ่งตอนนี้เป็นแขกของนาง นางไม่อาจไม่เช็ด
หากเซี่ยหลานกลับยังไม่รู้ตัว เห็นลู่เจียวถึงกับยกชามที่นางคีบกับข้าวให้เจิ้งจื้อซิ่งมา เซี่ยหลานก็ไม่พอใจ เงยหน้ามองลู่เจียว
“พี่สะใภ้ พี่ยกชามข้าวคุณชายเจิ้งมาทำไม”
ลู่เจียวโมโหคิดฟาดนางสักที นางกล่าวเช่นนี้ แม้แต่นางก็ไม่มีทางกินชามนี้แล้ว
นางกินข้าวคุณชายเจิ้ง นี่มันจะกลายเป็นเรื่องอะไรกัน
สีหน้าลู่เจียวไม่เป็นมิตรอย่างมาก “หุบปาก กินข้าวเจ้าไป”
พวกเจิ้งจื้อซิ่งกับตู้อี้พากันมองไปยังเซี่ยหลานด้วยสีหน้าประหลาด นี่คือน้องสาวเซี่ยอวิ๋นจิ่น? ทำไมโง่เง่าอย่างนี้ พี่สะใภ้ออกหน้าจัดการให้นาง นางก็ยังไม่รู้จักดี
ลู่เจียวเรียกให้ทุกคนกินข้าว จากนั้นก็ยกชามข้าวขึ้น มองไปทางเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ที่โต๊ะเล็ก กล่าวว่า “พวกลูกทั้งสี่ข้าวไม่พอ แม่เติมให้อีกหน่อย”
กล่าวจบนางก็ยกชามข้าวไปตรงหน้า ลุกเดินไปหาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่อย่างเป็นธรรมชาติ เอาข้าวในชามแบ่งให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา แววตาก็เต็มไปด้วยประกายอ่อนโยน ยามนี้เขารู้แล้วว่าการแต่งภรรยาดีที่มีสติปัญญาเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน หากแต่งหญิงโง่อย่างเซี่ยหลานมา เขายอมบีบคอนางตายดีกว่า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปก็มองลู่เจียวไป กล่าวว่า “เจ้าเองก็ไปกินเถอะ”
“ได้”
ลู่เจียวเข้าครัวตักข้าวมากินอีกชาม
ผู้ใดจะรู้ว่านางเพิ่งเดินออกไปได้ครู่เดียว บนโต๊ะอาหาร เซี่ยหลานก็ก่อเรื่องอีก นางคิดใช้ตะเกียบนางคีบอาหารให้เจิ้งจื้อซิ่งอีก
โชคดีลู่เจียวกลับมาเร็ว ชิงยื่นตะเกียบไปขวางไว้ทัน นางมองเตือนเซี่ยหลาน “คุณชายเจิ้งอยากกินอะไรก็คีบเองได้ ไม่ต้องให้เจ้าคีบให้แล้ว”
เจิ้งจื้อซิ่งรีบพยักหน้า เขาหวาดกลัวน้องสาวคนนี้ของเซี่ยอวิ๋นจิ่นจริงๆ
หากวันนี้อยู่บ้านอื่น เขาคงไม่ไว้หน้านางผู้นี้นานแล้ว นางผู้นี้เป็นน้องสาวเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขามาเป็นแขกตระกูลเซี่ย ยังไงก็ไม่อาจตีหน้าบึ้งใส่คนในครอบครัวเขา แต่อาหารมื้อนี้กินไม่รู้รสชาติแล้วจริงๆ
เซี่ยหลานกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เห็นลู่เจียวไม่ยอมให้นางคีบอาหารก็โมโหมาก
แต่ครู่หนึ่งนางก็เริ่มมองไปที่เจิ้งจื้อซิ่ง นางสีหน้าเอียงอาย มองเจิ้งจื้อซิ่งกล่าวว่า “คุณชายเจิ้งเป็น สหายร่วมชั้นเรียนกับพี่สามหรือ”
เจิ้งจื้อซิ่งไม่คิดสนใจนาง แต่ด้วยหน้าตาย่อมไม่อาจไม่สนใจได้
“ใช่ พวกเราเป็นสหายร่วมชั้นเรียนที่สนิทกัน”
“เมื่อก่อนทำไมไม่เห็นคุณชายเจิ้งมาเที่ยวบ้านข้า?”
เจิ้งจื้อซิ่งยิ้มกล่าวว่า “พวกเราต้องเรียนหนังสือ ไม่มีเวลาว่างเที่ยวเล่น”
เซี่ยหลานคิดพูดต่อ ครั้งนี้ลู่เจียวแย่งพูดก่อน “คุณชายเจิ้งครั้งหน้ามาเยี่ยมอวิ๋นจิ่นอีก พาน้องสะใภ้มาด้วยได้ไหม เจ้าสนิทกับอวิ๋นจิ่น ข้ากับน้องสะใภ้ก็ควรสานสัมพันธ์กันสักหน่อย”
ลู่เจียวกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ หลายคนบนโต๊ะก็มีความคิดแวบขึ้นมาพร้อมกันทันที
ภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นช่างงดงามและฉลาดเฉลียวจริงๆ
เจิ้งจื้อซิ่งย่อมเข้าใจความหมายลู่เจียว รีบยิ้มกล่าวว่า “ได้ ครั้งหน้าข้าพาภรรยาข้ามาสานสัมพันธ์กับพี่สะใภ้ให้มากๆ”
เจิ้งจื้อซิ่งกล่าวจบ เซี่ยหลานก็ราวกับสายฟ้าฟาดกลางกระหม่อม เบิ่งตาโตนิ่งตะลึง
จากนั้นนางก็ทำหน้าเศร้าเสียใจราวกับมีคนตายมองเจิ้งจื้อซิ่ง สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ร้อง
“คุณชายเจิ้ง ท่าน ท่านแต่งภรรยาแล้ว?”
เจิ้งจื้อซิ่งมองท่าทางของนาง กินต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ สุดท้ายเขามองไปยังคนข้างๆ สามคน กล่าวว่า “กินข้าวแล้ว พวกเราก็ควรกลับสำนักศึกษากันได้แล้ว ไม่ควรทำให้หันถงเสียเวลาเตรียมสอบย่วนซื่อ”
หันถงรีบรับคำ “ได้”
ในใจหันถงหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก เขายังไม่ได้กินอะไรเลย น้องสาวพี่อวิ๋นจิ่นคนนี้เป็นหายนะแท้ๆ ไม่สิ ควรเรียกว่าตัวโง่เง่า
ตู้อี้กับหลี่เหวินปินก็ไม่อาจกินอย่างสบายใจกันต่อไปได้แล้ว สุดท้ายทุกคนก็ได้แต่ลุกขึ้นอำลาเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“พี่อวิ๋นจิ่น อีกไม่นานพวกเราก็จะได้พบกันในสำนักศึกษาแล้ว วันนี้พวกเรากลับก่อน พี่หันเดือนเก้าต้องสอบย่วนซื่อ ไม่อาจทำให้เขาเสียเวลาอ่านหนังสือ”
“ใช่ ปีหน้าพวกเราต้องร่วมการสอบเซียงซื่อแล้ว ดังนั้นยังต้องกลับไปขยันให้มาก”
“พี่อวิ๋นจิ่นพักรักษาขาดีๆ พวกเราจะรอพี่ที่สำนักศึกษา”
ทุกคนพูดไปก็กล่าวอำลาไป ในเรือนนอนตะวันออกเซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้านิ่งเรียบกล่าวอำลากับสหายร่วมชั้นเรียน รอจนสหายร่วมชั้นเรียนไปกันแล้ว แววตาเขาก็เย็นเยียบทันที สองตาราวกับมีน้ำแข็งเย็นเยียบแผ่ซ่าน
“เซี่ยหลาน เจ้าไม่เคยเห็นผู้ชายหรือ เห็นผู้ชายสักคนก็แทบจะเกาะติดหนึบ”
เซี่ยหลานได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็ร้องไห้อย่างคับแค้น
“ข้าอายุสิบเจ็ดแล้ว จนถึงตอนนี้แม้แต่หมั้นหมายก็ไม่มี พี่เป็นพี่ชายข้า ไม่คิดเพื่อข้าสักหน่อยหรือ ข้าก็ได้แต่หาทางเอาเองแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากพูดกับนางต่อ อย่างไรก็ไม่เข้าหัว
เมื่อก่อนเขาเคยบอกท่านแม่เขากับเซี่ยหลานแล้ว เซี่ยหลานไม่รู้หนังสือ ไม่เพียงหน้าตาธรรมดา ใจคอยังคับแคบ หญิงเช่นนี้ได้แต่เหมาะสมกับชายบ้านนอกธรรมดา แต่นางกลับไม่รู้ตัวเอง คิดว่าตัวเองหน้าตาไม่ธรรมดา ควรได้แต่งไปอยู่ในเมืองเสวยวาสนาสุข ปรากฏเลือกไปเลือกมา ถึงตอนนี้งานแต่งก็ไม่เห็นแม้เงา
นี่จะโทษใครได้ จะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่ตาสูงเกินไป
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไม่ถึงว่าเซี่ยหลานถึงกับเมียงมองสหายร่วมชั้นเรียนเขา สหายร่วมชั้นเรียนเขาอายุมากแล้ว ไหนเลยจะยังไม่แต่ง ที่บ้านก็มีลูกกันแล้ว นางก็ช่างคิดได้
“เจ้าไสหัวออกไป วันหน้าไม่ต้องมาบ้านข้าอีก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าดุดันให้เซี่ยหลานไสหัวออกไป