ตอนที่ 165 แท้จริงใครกันทำร้ายเขา
เซี่ยหลานแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “พี่ยังเป็นพี่สามข้าไหม เห็นๆ ว่าข้าโดนรังแก พี่ไม่ปลอบใจสักคำ ยังทำกับข้าเช่นนี้”
ลู่เจียวเพิ่งส่งแขกกลับไป เดินเข้ามาก็ได้ยินคำพูดเซี่ยหลาน ยื่นมือไปลากนางออกไป “เจ้ารีบไปซะ อย่าทำให้พี่ชายเจ้าโมโหตาย”
เซี่ยหลานคิดจะพูดต่อ แต่กลัวว่าลู่เจียวจะตีนาง ได้แต่เดินสะอื้นร้องไห้จากไป
พอเดินออกมานอกบ้าน นางเพิ่งนึกได้เรื่องหนึ่ง นางยังไม่ได้กินอาหารกลางวัน อาหารทั้งโต๊ะนั่นนางไม่ได้กินไปเท่าไรเลย โฮ… เซี่ยหลานยิ่งร้องไห้หนัก เดินร้องไห้ไปตลอดทาง
ในเรือนนอนตะวันออกตระกูลเซี่ย ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นโมโหคุกรุ่น ก็กล่าวว่า “เอาละ อย่าโมโหคนไร้หนทางอบรมเช่นนั้นเลย โมโหไปทำไม รีบกินข้าว รังแกใครก็ได้แต่อย่ารังแกตัวเอง”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ไม่สนใจเซี่ยอวิ๋นจิ่น กวักมือเรียกเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขึ้นโต๊ะกินข้าว
“ลูกรัก พวกเขาไปกันหมดแล้ว พวกเรากินข้าวกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยิ้มรับคำเบิกบานใจ “ใช่ พวกเรากินกันเอง”
“อาหารอร่อยมากมายขนาดนี้ พวกเราตอนเที่ยงกินไม่หมด ตกค่ำกินต่อ”
“อาหารท่านแม่ทำหอมที่สุด พวกเขายังไม่ได้กินเลย”
“ท่านพ่อรีบกิน วันนี้ให้น่องไก่ท่านพ่อหนึ่งน่อง”
ซื่อเป่ากล่าวจบก็คีบน่องไก่ใส่ชาม ส่งให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองหนึ่งผู้ใหญ่สี่เด็กในห้องแล้ว ความโมโหในใจก็ราวกับถูกความอบอุ่นแห่งลมวสันต์พัดพาหายไป ไม่มีความรู้สึกโมโหหลงเหลือแม้แต่น้อย เขายิ้มมองคนในห้องกล่าวว่า “พวกเขาไม่กิน พวกเรากิน”
“ใช่”
ทั้งครอบครัวกินกันอย่างมีความสุข
หลังอาหาร ลู่เจียวก็ไล่ให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเลี้ยงหมา นางเก็บจานชาม
ตอนเก็บชาม นางพลันคิดถึงเรื่องเซี่ยอวิ๋นจิ่นถูกรถม้าชนขึ้นมา อดหยุดเก็บไม่ได้ เดินไปหยุดข้างเตียงเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองสีหน้านางก็รู้ว่านางมีเรื่องจะพูด มองนางถามว่า “อะไรหรือ”
ลู่เจียวกล่าวเบาๆ ว่า “เซี่ยอวิ๋นจิ่น สี่ปีก่อนเจ้าถูกคนวางยา สี่ปีต่อมาถูกรถม้าชน สองเรื่องนี้บังเอิญไปหน่อยไหม”
ลู่เจียวกล่าวจบ แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เข้มลง ความจริงระยะนี้เขาก็คิดเรื่องนี้อยู่
ก่อนหน้านี้เพราะอัมพาตนอนอยู่บนเตียง เป็นไม่สู้ตาย ไม่เคยคิดเรื่องนี้ให้ละเอียด ตอนนี้มาคิดดู ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
เขาเงยหน้ามองลู่เจียวกล่าวว่า “ความจริงสี่ปีก่อนคนวางยาข้า ข้าหาตัวเจอแล้ว เป็นสหายร่วมชั้นเรียนร่วมห้องนอนกับข้าชื่อว่าหลิ่วซื่อเหริน เพราะข้ามีเรื่องทะเลาะกับเขาครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาโมโหเลยวางยาข้า หลักๆ ก็เพื่อทำลายชื่อเสียงข้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “หลิ่วซื่อเหรินต่อมาก็ลาออกไป”
เดิมเขาคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงตรงนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าสี่ปีต่อมาเขาถึงกับถูกรถม้าชนบาดเจ็บ
ในห้องลู่เจียวกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ข้าตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ขาเจ้าถูกล้อรถม้าทับ ไม่เหมือนว่าชนอย่างไม่ตั้งใจ รอยแผลที่ชนไม่ตั้งใจจะค่อนข้างไม่เรียบร้อย แต่เจ้าดู อาการบาดเจ็บเจ้าครั้งนี้ มีขั้นตอนมาก รถม้าชนร่างเจ้าก่อนให้อวัยวะภายในเจ้าบาดเจ็บ ทำให้ร่างเจ้าล้มไปด้านข้าง จากนั้นล้อหลังก็ทับขาเจ้า”
ลู่เจียววิเคราะห์ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟัง เปรียบเทียบให้เห็นว่า “คนขับรถม้าคนนี้เป็นมือชำนาญการ รู้ว่ามุมไหนทำให้ขาหัก ทำให้คนเป็นอัมพาต”
ลู่เจียวกล่าวจบ ในห้องก็มีกระแสเย็นเยียบกดทับ
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่าได้เอ่ยว่าดำคล้ำเพียงใด แม้ว่าเขานิสัยเย็นชา ไม่ชอบสนใจคนอื่น แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครมาก่อนจริงๆ ตอนนี้ถึงกับอยู่ดีๆ มีคนคิดทำร้ายเขาโผล่ออกมา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนึกถึงหลิ่วซื่อเหรินขึ้นมา หลิ่วซื่อเหรินวางยาเขา วางยาเขาจริงหรือออกตัวแทนคนที่อยู่เบื้องหลัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็กล่าวเสียงเข้มว่า “รอให้ขาข้าหายก่อน ข้าจะต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง หากหาคนที่ทำร้ายข้าได้จริง ข้าย่อมไม่ปล่อยเขาไปแน่”
หากไม่ใช่ลู่เจียว ชีวิตนี้เขาก็ต้องราวกับติดอยู่ในคุกแล้ว คนผู้นั้นแท้จริงมีความแค้นยิ่งใหญ่อันใดกับเขา ถึงกับต้องทำร้ายเขา?
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า “ข้าคุยกับเจ้าเรื่องนี้ก็เพื่อเตือนเจ้าให้ระวังหน่อย คนผู้นั้นทำร้ายเจ้าได้ครั้งสองครั้ง ไม่แน่อาจลงมือทำร้ายเจ้าครั้งที่สาม อย่าลืมว่าปีหน้าใกล้จะสอบเซียงซื่อแล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบหันหลังคิดจะไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังกล่าวน้ำเสียงเข้มว่า “ข้าจะไม่ยอมให้เขาลงมือได้สำเร็จอีก”
ลู่เจียวเตือนเขา “ข้ารู้สึกว่าคนที่ทำร้ายเจ้าน่าจะเป็นคนในสำนักศึกษา คนผู้นั้นเป็นไปได้มากกว่ามีความสัมพันธ์กับเจ้าไม่เลว ไม่งั้นทำไมจึงรู้ว่าค่ำวันนั้นเจ้ากลับหมู่บ้านชีหลี่”
พอลู่เจียวกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ครุ่นคิดเรื่องในคืนวันนั้นทันที
คืนวันนั้นเขาอยู่ๆ คิดกลับบ้าน บอกกับเพื่อนสนิทไม่กี่คน และยังบอกอาจารย์สองคนด้วย ก็หมายความว่าคืนวันนั้นเขากลับบ้าน มีไม่กี่คนที่รู้ คนที่ทำร้ายเขาก็อยู่ในกลุ่มพวกเขาเหล่านี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงตรงนี้ คิ้วก็ขมวดแน่น แววตาดำมีกระแสเย็นเยียบไหลบ่าออกมา คนคนนี้เขาต้องหาตัวออกมาได้แน่ เขาจะดูซิว่าแท้จริงเขาทำอะไรคนผู้นั้น ถึงกลับมาทำร้ายเขาเช่นนี้
ลู่เจียวไม่สนใจคนข้างหลังอีก ยกจานชามเดินออกไป
พอล้างจานชามเสร็จ นางกำลังจะตามเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปบ้านท่านอาโหย่วไฉกับนางเพื่อดูเก้าอี้เข็นของเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไม่คิดว่านางยังไม่ทันได้ตามเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มา นอกรั้วบ้านก็มีคนมากันมากมาย
เป็นพวกผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างหมู่บ้านตระกูลเซี่ย นอกจากพวกเขายังมีชาวบ้านในวงศ์ตระกูลเดียวกันในหมู่บ้าน
พวกเขาพากันทักทายลู่เจียว “ภรรยาอวิ๋นจิ่น กินข้าวหรือยัง”
“ขาอวิ๋นจิ่นเป็นอย่างไรบ้าง ยิ่งดีขึ้นใช่ไหม”
ลู่เจียวเห็นพวกเขาก็รู้ว่าคนพวกนี้คิดคุยเรื่องเลี้ยงปลิง นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ พาพวกผู้ใหญ่บ้านเดินไปยังเรือนนอนตะวันออก
พวกผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างแสดงความห่วงใยขาเซี่ยอวิ๋นจิ่นก่อน รู้ว่าขาเขาดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างก็อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ว่าอย่างไรเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เป็นความหวังของหมู่บ้านตระกูลเซี่ย เขาก้าวออกจากหมู่บ้านสู่สังคมภายนอกได้ จึงจะนำมาลูกหลานข้างหลังให้เจริญรอยตามได้
ลู่เจียวรินน้ำหวานให้พวกเขา ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างเห็นนางยุ่งกับงาน ก็ให้นางนั่งลง
“ภรรยาอวิ๋นจิ่นนั่งลงเถอะ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พวกเรามาก็เพื่อคิดจะคุยเรื่องเลี้ยงปลิงกับเจ้า ทุกคนอยากรู้ว่าควรดำเนินขั้นตอนอย่างไร”
ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่าง แม้ว่าเป็นผู้ทรงอำนาจมากในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย แต่ในความเป็นจริงไม่เคยผ่านเรื่องใหญ่มาก่อน ไม่เคยเจองานใหญ่จริงๆ ก็ย่อมไม่รู้ว่าจะดำเนินการเช่นไร
ลู่เจียวนั่งลงข้างเตียงเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างมองนางกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวว่า “เมื่อวานพวกเราประชุมกัน หารือกันแล้ว คิดว่าเรื่องนี้ทำได้ แต่ไม่รู้ว่าดำเนินการเช่นไร เรื่องนี้คงต้องให้อวิ๋นจิ่นกับภรรยาเจ้าทุ่มเทมากหน่อยแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปยังลู่เจียว เลี้ยงปลิงเป็นข้อเสนอลู่เจียว วิธีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เขาเองก็ไม่กระจ่าง ดังนั้นเรื่องนี้ต้องให้ลู่เจียวจัดการ
ลู่เจียวมองพวกผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างแล้วก็กล่าวว่า “ตอนนี้ต้องกำหนดพื้นที่เลี้ยงปลิงให้แน่ชัดก่อนว่าเท่าไร”
ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างมองมา กล่าวว่า “เรื่องนี้พวกเราอยากฟังความคิดเห็นเจ้า เจ้าคิดว่าพวกเราเลื้ยงพื้นที่เท่าไรจึงจะได้”
พูดตามจริง เลี้ยงมากไป ชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นห่วง เลี้ยงน้อยไป ก็กลัวว่าสุดท้ายหาเงินมาได้แล้วรู้สึกขาดทุน ดังนั้นจึงลำบากใจไม่รู้เลือกอะไรดี