ตอนที่ 167 พยาธิ
ลู่เจียวยิ้มเดินออกไป นางยังเดินออกไปไม่ถึงห้องโถง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายผสมกับเสียงปลอบใจดังขึ้นนอกรั้วบ้าน ลู่เจียวเพิ่งเดินออกไป ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งตรงมายังบ้านนาง คนที่นำมาก็คือฮูหยินผู้เฒ่าสามในหมู่บ้าน ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าสามยังมีหญิงร่างเล็กคนหนึ่ง
หญิงผู้นี้อายุสามสิบกว่า หน้าตาเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าสามอยู่ไม่น้อย รูปร่างผอมและเตี้ย ดูแล้วซูบผอมมาก ดวงตาบวมแดง มองออกว่าร้องไห้มานาน
ด้านหลังหญิงผู้นี้มีคนตามมากันไม่น้อย พอลู่เจียวเห็นก็รู้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน แน่นอนว่าด้านหลังย่อมมีบรรดาอาวุโสสูงวัยในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยตามมาด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าสามเห็นลู่เจียวก็รีบพุ่งเข้ามาคว้ามือนาง “เจียวเจียว รีบไปดูเสี่ยวอวี๋หน่อยว่าเป็นอะไร”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็รู้ว่าเด็กคนนี้น่าจะล้มป่วย แสดงท่าทางให้คนด้านหลังอุ้มเด็กเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่าสามรีบเดินตามเข้ามา เดินไปก็ปลอบใจหญิงร่างผอมเซียวข้างๆ นางไปพลาง “ต้าหง ไม่ต้องห่วง เจียวเจียวเป็นหมอเทวดาเก่งกาจมาก ก่อนหน้านี้สะใภ้แม่หม้ายหลี่ไร้ลมหายใจแล้ว นางยังรักษาหายได้ โรคของเสี่ยวอวี๋ นางก็ย่อมรักษาได้ เจ้าวางใจ”
เซี่ยต้าหงได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าสาม ก็ร้องไห้โฮดังลั่น “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ พวกเราไปรักษาในเมือง ไปรักษาในเมืองใหญ่ แต่เสี่ยวอวี๋ก็ไม่หาย ไปๆ มาๆ ท่านแม่ดูเสี่ยวอวี๋ผอมจนเป็นอย่างไรไปแล้ว”
ลู่เจียวได้ฟังเสียงคุยกันด้านหลัง ก็พอเข้าใจแล้วว่าหญิงผู้นี้ที่หน้าตาคล้ายฮูหยินผู้เฒ่าสามเป็นใคร เซี่ยต้าหงบุตรสาวคนโตฮูหยินผู้เฒ่าสาม
ส่วนเด็กน้อยที่ชื่อถงเสี่ยวอวี๋ น่าจะเป็นหลานชายเซี่ยต้าหง
“พาเด็กไปนอนบนเตียงข้าเถอะ”
พอเด็กๆ ในห้องโถงเห็นสถานการณ์นี้กันก็ไม่ไปเรียนต่อ พากันเบียดตัวมุงดูอยู่หน้าประตูห้องเรือนนอนตะวันตกมุงดู แม้แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็วิ่งมาข้างเตียงดูอย่างตื่นเต้น
ลู่เจียวเห็นพวกเขาเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไร เกิดเรื่องเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจสงบใจเรียนหนังสือกันต่อแล้ว
ลู่เจียวแสดงท่าทางให้เซี่ยต้าหงพาเสี่ยวอวี๋ไปวางบนเตียง เสี่ยวอวี๋ขมวดคิ้วร้องเจ็บปวด น้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนแมวตัวน้อย
ลู่เจียวมองแล้วก็แทบทนไม่ไหว เด็กคนนี้อายุพอๆ กับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ไม่เพียงแต่ผอมเซียวจนไร้เนื้อหนัง ตัวก็ยังสูงไม่เท่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ใบหน้าเล็กเหลืองซีด
ตอนลู่เจียวตรวจดูอาการให้ถงเสี่ยวอวี๋ ก็ตรวจไปปลอบใจเขาไปว่า “ไม่ต้องกลัว ท่านน้าจะตรวจให้เจ้า ไม่นานก็จะหายแล้ว หายแล้วก็กินได้แล้ว ไม่ต้องกลัว”
ลู่เจียวตรวจให้ถงเสี่ยวอวี๋ไปก็ถามเซี่ยต้าหงข้างๆ ไปด้วย “เขาปวดท้องหรือ”
เซี่ยต้าหงพยักหน้า “ใช่ พวกเราไปหาหมอในเมือง หมอให้เทียบยามา กินแล้วก็ดีขึ้นหน่อย แต่อีกสองสามวันก็ปวดอีก”
“เป็นอย่างนี้ซ้ำไปมาหลายรอบ พวกเราก็ไปรักษาในเมืองใหญ่ไม่ไหวแล้ว รักษามาสองครั้งก็เป็นเช่นนี้”
เด็กคนนี้ทำเอาครอบครัวยากจนไปหมด แต่นี่เป็นหลานชายคนโตนาง นางไม่อาจไม่ช่วยเขา
นางได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันไม่ตั้งใจว่าที่หมู่บ้านตระกูลเซี่ยมีหมอเทวดาเก่งกาจมาก แม้แต่คนตายก็ช่วยให้ฟื้นคืนชีพได้ จึงกลับมาดูหน่อย
ปรากฏว่าพอถามท่านแม่นางท่านแม่นางก็รีบพานางมาหาภรรยาอวิ๋นจิ่น
เซี่ยต้าหงหอบความหวังสุดท้ายจ้องมองลู่เจียว หวังว่าลู่เจียวจะรักษาหลานชายตนเองได้
ลู่เจียวกดท้องเสี่ยวอวี๋ เสี่ยวอวี๋ร้องเจ็บ นางจึงได้ปล่อย จากนั้นก็ตรวจที่อื่นๆ สุดท้ายนางจับชีพจรให้เสี่ยวอวี๋ เด็กคนนี้แม้แต่ชีพจรก็อ่อนมากจนคลำแทบไม่เจอ
“เขาไม่ค่อยอยากอาหาร ปกติไม่อยากกินอะไร ตอนนอนก็หนาวง่าย หลับก็ไม่สนิท ใช่หรือไม่”
เซี่ยต้าหงพยักหน้าหงึกๆ หญิงที่อายุน้อยข้างกายนางร้องไห้กล่าวว่า “เขาโมโหง่ายมาก เอะอะก็โมโห พวกเรากล่อมให้เขากิน เขาก็ขว้างทิ้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่เป็นเช่นนี้”
ลู่เจียวมองไปยังหญิงที่อายุน้อย เดาไม่ผิดน่าจะเป็นสะใภ้เซี่ยต้าหง แม่ของถงเสี่ยวอวี๋
ลู่เจียวปลอบใจนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เขาแค่ป่วย รักษาอาการป่วยเสร็จก็หายแล้ว”
ลู่เจียวเปลี่ยนมาตรวจชีพจรอีกมือ จากนั้นนางก็มั่นใจในอาการป่วยของเสี่ยวอวี๋ ตัดสินได้ว่าเสี่ยวอวี๋ป่วยด้วยโรคอะไร
ลู่เจียวเงยหน้ามองไปยังเด็กๆ ในห้อง เด็กบ้านนอกไม่รักษาสุขอนามัย ทำให้เป็นพยาธิได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเด็กๆ จึงต้องถ่ายพยาธิ แม้แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่บ้านนางเองก็ต้องถ่ายพยาธิ
ลู่เจียวคิดแล้วก็มองไปยังเซี่ยต้าหงกล่าวว่า “ในท้องเขามีหนอน ดังนั้นต้องกำจัดหนอนทิ้ง”
คนในห้องตกใจสะดุ้ง เด็กๆ พากันผงะถอยหลัง “หนอน ในท้องเขามีหนอน?”
“น่ากลัวจริง”
เซี่ยต้าหงสีหน้าแปรเปลี่ยน มองลู่เจียวกล่าวว่า “ในท้องเสี่ยวอวี๋จะมีหนอนได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ในท้องคนดีๆ จะมีหนอนได้อย่างไร”
ลู่เจียวมองนางกล่าวว่า “คนไม่รักษาสุขอนามัย ก็เกิดโรคหนอนพยาธิได้ง่าย ไม่เพียงแต่เสี่ยวอวี๋ ในท้องเด็กๆ ในห้องนี้ทุกคนส่วนใหญ่ก็ล้วนมีหนอน”
ลู่เจียวกล่าวจบ เด็กๆ ในห้องก็ตกใจกันไปหมด ที่อายุมากหน่อยยังดี อายุน้อยหน่อยแผดเสียงร้องไห้ดังลั่นทันที ร้องกันระงมไปหมด
“ในท้องข้ามีหนอน ในท้องข้ามีหนอน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็วิ่งไปตรงหน้าลู่เจียวถามว่า “ท่านแม่ ในท้องพวกเราก็มีหนอนหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน ใบหน้าเล็กซีดขาว
ลู่เจียวยกมือไปลูบหัวพวกเขา กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว แม่กำจัดหนอนให้พวกเจ้า แต่วันหน้าจำไว้ว่าต้องรักษาความสะอาด ก่อนกินข้าวหลังกินข้าวให้ล้างมือ เล่นอะไรแล้วก็ต้องล้างมือ กินอะไรก็ต้องล้างให้สะอาดค่อยกิน ของไม่สุกห้ามกิน”
ลู่เจียวกล่าวเสียงดังเพื่อให้เด็กๆ ในห้องได้ยินกันด้วย
พวกลูกทั้งสี่ในเรือนนอนตะวันตกได้ยินก็อึ้งไป พวกเขาล้างมือกันน้อยมาก
ในห้องฮูหยินผู้เฒ่าสามรีบมองไปยังลู่เจียวกล่าวว่า “เสี่ยวอวี๋มีโรคหนอนจึงเป็นเช่นนี้ใช่ไหม”
ลู่เจียวพยักหน้ากล่าวว่า “เพราะหนอนพยาธิ เขาจึงเป็นโรคขาดสารอาหาร ท่านดู สภาพเขาอิดโรย ผมก็เหลือง แขนขาเย็น ลายนิ้วมือบาง โรคขาดสารอาหารเป็นโรคเรื้อรัง ต้องค่อยๆ รักษาปรับสมดุลไป แต่ก่อนจะรักษา ต้องกำจัดหนอนทิ้งก่อนจึงจะได้ ไม่งั้นรักษาไปก็ไร้ประโยชน์”
ลู่เจียวกล่าวจบ มองไปยังเซี่ยต้าหงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ท่านเข้าเมืองไปจัดยาให้เสี่ยวอวี๋ เพราะฤทธิ์ยา เขาดื่มไปหนอนก็หลับชั่วคราว เสี่ยวอวี๋ก็ดีขึ้นหน่อย แต่ในความเป็นจริงหนอนในร่างกายยังไม่ถูกขับออกมา หมดฤทธิ์ยา หนอนก็ตื่นขึ้นมาต่อ ด้วยเหตุนี้สุขภาพเขาก็เลยไม่ดี”
เซี่ยต้าหงได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็ร้องไห้โฮ คิดถึงความทุกข์ทรมานที่เสี่ยวอวี๋ได้รับแล้วก็รู้สึกปวดใจ
นางมองลู่เจียวกล่าวว่า “ภรรยาอวิ๋นจิ่น เจ้าต้องช่วยเสี่ยวอวี๋เรานะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร ข้าเขียนเทียบยายาให้เขา ท่านเอากลับไปต้มให้เขาดื่ม คืนนี้ก็ขับหนอนครั้งหนึ่ง จากนั้นขับอีกสองสามวันก็หายแล้ว ส่วนโรคขาดสารอาหาร รอให้หนอนในร่างกายออกไปหมดก่อนค่อยจ่ายยาไปปรับสมดุลอีกชุดหนึ่ง”
ความจริงเซี่ยต้าหงเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าในท้องหลานชายมีหนอน แต่ตอนนี้ได้แต่รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น รีบเร่งให้ลู่เจียวเขียนใบสั่งยา
ลู่เจียวลุกเดินเข้าครัว หยิบยาที่ใช้ได้ออกจากห้วงอากาศ มีต้าหวง หวงเฉิน เทียนหนานซิง ปั้นเซี่ย โท่วกู่เฉ่า
“เอาละ ท่านเอากลับไปต้มให้เขาดื่มติดกันสองชาม คืนนี้ก็จะขับหนอนได้ครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้ มะรืนนี้ค่อยดื่มอีกวันละชามก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าสามรีบรับไป กล่าวขอบคุณลู่เจียวไม่หยุด
“ขอบคุณเจียวเจียว”
“ไม่เป็นไร”
———————————————-
[1] รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น หมายถึง แม้จะสิ้นหวังแต่ก็พยายามทำทุกวิถีทาง เหมือนที่รู้ว่าไม่มีทางรักษาแต่อย่างน้อยยังมีความหวัง