ตอนที่ 170 สตรีเห็นเงินตาโต
ในห้องลู่เจียวกินข้าวเช้าอย่างรวดเร็ว เก็บจานชามบนโต๊ะเข้าไปล้างในครัวเสร็จแล้วก็กล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่บ้านเชื่อฟังท่านพ่อเจ้านะ อย่าทำให้ท่านพ่อโมโห รู้ไหม”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พยักหน้าหงึกๆ แสดงอาการว่าจะเชื่อฟังอย่างแน่นอน
“ท่านแม่ ท่านกลับมาเร็วหน่อยนะ”
“พวกเราอยู่บ้านรอท่านแม่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองลู่เจียวตาปริบๆ ลู่เจียวลูบหัวพวกเขา กล่าวว่า “แม่จะกลับมาเร็วๆ เอาลูกท้อกับองุ่นมาให้พวกเจ้าด้วย”
พอลู่เจียวพูด สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงก็ไม่ค่อยดีนัก ลูกท้อกับองุ่นน่าจะเป็นของผู้จัดการหอยาเป่าเหอที่ไปนำมาจากเมืองใหญ่อื่นกระมัง
ลู่เจียวพูดราวกับเป็นของของตนเอง นี่แสดงให้เห็นอะไร ก็แสดงให้เห็นว่าสายสัมพันธ์นางกับหอยาเป่าเหอดีมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอดคิดถึงหมอฉีไม่ได้ ยังมีเจ้าของร้านที่ตนแต่ไรไม่เคยพบหน้าผู้นั้นอีก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ่งคิดอารมณ์ก็ยิ่งขุ่นมัว สีหน้าก็เริ่มฉายแววเย็นเยียบเล็กน้อย
ลู่เจียวขี้เกียจสนใจเขา ยิ้มกำชับกล่าวว่า “เจ้าดูแลเจ้าแฝดสี่ดีๆ อย่าให้พวกเขาไปเล่นไกล ตอนเที่ยงข้าก็น่าจะกลับมาแล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ไม่รอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดต่อ หันเดินออกไปกับผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่าง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังมองบรรดาคนที่ออกไปอย่างอารมณ์ไม่ดี แสดงออกชัดเจนว่าข้าอารมณ์ไม่ดี
ในห้องเจ้าหนูน้อยทั้งสี่สังเกตเห็นทันที เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบไปที่หน้าเตียงแสดงความห่วงใยเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ท่านพ่อ ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือ หรือว่าขาเจ็บ”
“หากท่านพ่อขาเจ็บ ข้าช่วยนวดให้ท่านพ่อนะ ก่อนหน้านี้ข้านวดให้ท่านแม่ ท่านแม่ก็ยิ้ม”
“ข้าช่วยเป่าให้ท่านพ่อนะ เป่าๆ ก็ไม่เจ็บแล้ว”
ต้าเป่าเลิกคิ้วมองท่านพ่อตนเอง แล้วก็มองที่ประตู เขาพอรู้แล้วว่าที่ท่านพ่อไม่พอใจนั้นเกี่ยวกับท่านแม่
สมองต้าเป่าสว่างวาบขึ้นทันที หรือท่านพ่อเป็นเหมือนเขา เป็นห่วงว่าท่านแม่จะไม่กลับมา ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
ต้าเป่ารีบเดินไปข้างเตียง ดึงมือเซี่ยอวิ๋นจิ่นมากุม กล่าวว่า “ท่านพ่อ อย่าได้เป็นห่วง ท่านแม่ต้องกลับมาแน่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังลูกชายพูดก็รีบปฏิเสธทันที “เหลวไหลอะไรกัน พ่อไม่ได้เป็นห่วง นางจะไม่กลับมาได้อย่างไร”
ไม่กลับมาแล้วจะไปไหน นางเป็นภรรยาเขา นับประสาอันใดกับยังชอบเขาด้วย
เขาเพียงแค่คิดว่านางมีสายสัมพันธ์ดีกับคนอื่นขนาดนั้น อารมณ์ก็เลยไม่ค่อยดีเท่านั้น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดมองไปยังขาตนเอง ใกล้แล้ว ขาเขาใกล้หายแล้ว วันหน้านางออกนอกบ้านอีก เขาก็จะไปเป็นเพื่อนนาง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดเช่นนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย
ลู่เจียวไม่รู้ความคิดเขา นั่งรถเกวียนวัวไปกับผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างตรงไปยังหอยาเป่าเหอ
ฉีเหล่ยเห็นนางมา ก็รีบลุกขึ้นเข้าไปรอรับนางเข้าไปในร้านอย่างดีใจ “ลู่เหนียงจื่อ มาได้อย่างไร”
ลู่เจียวชี้ไปที่ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างด้านหลังถามว่า “เจ้าของร้านเจ้าล่ะ ข้าพาผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างมาคุยธุระกับเขาหน่อย”
ครั้งนี้ฉีเหล่ยไม่ได้พาพวกลู่เจียวไปรอที่หอหลังเล็กในเรือนด้านหลัง ลู่เจียวเห็นก็รู้ คนที่นางช่วยไว้ก่อนหน้านี้เกรงว่ายังพักรักษาตัวอยู่ที่หอหลังเล็กด้านหลัง ดังนั้นฉีเหล่ยจึงไม่อาจพานางไปเรือนด้านหลัง
ฉีเหล่ยมองลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารอสักครู่ ข้าไปเชิญเจ้าของร้านเรามา”
“ได้”
ฉีเหล่ยเชิญจ้าวหลิงเฟิงมาอย่างรวดเร็ว ทุกคนไปคุยกันในห้องส่วนตัวในหอยา
ลู่เจียวแนะนำให้จ้าวหลิงเฟิงรู้จักผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่าง จากนั้นกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านจ้าวคิดจะเปิดโรงผลิตยา หมู่บ้านเราคิดเลี้ยงปลิง ไม่รู้ว่าท่านจ้าวรับซื้อหรือไม่”
จ้าวหลิงเฟิงเลิกคิ้วมองลู่เจียว สีหน้าท่าทางสูงศักดิ์งามสง่า
ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างรู้สึกว่าคนตรงหน้าเหมือนพระพุทธรูปที่ประทับอยู่ที่สูง พวกเขาสองคนไม่กล้าสบตาตรงๆ
ลู่เจียวกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ก็แค่ชาติกำเนิดต่างกันเท่านั้น หากให้นางกล่าว จ้าวหลิงเฟิง คุณชายสามที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากภรรยาเอกในจวนหย่งหนิงโหว ชีวิตยังสู้ชาวบ้านธรรมดาไม่ได้
จ้าวหลิงเฟิงไม่ได้คิดมากอะไร เขาแค่แปลกใจที่ลู่เจียวพามาพบเขาที่นี่ เปิดโรงผลิตยาเป็นเรื่องที่พวกเขาร่วมกันทำ ขอเพียงนางเห็นชอบก็พอ ตอนนี้ลู่เจียวถึงกับพาคนมาพบเขาถึงที่
แสดงให้เห็นว่าลู่เจียวไม่อยากให้คนรู้ว่านางเปิดโรงผลิตยา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวหลิงเฟิงก็ไม่คิดเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป
เขาหันไปมองผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างสีหน้านิ่งเรียบ กล่าวว่า “พวกเจ้าคิดเลี้ยงปลิง?”
“ใช่ ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านจ้าวรับซื้อหรือไม่”
จ้าวหลิงเฟิงไม่ได้ทำให้ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างลำบากใจ กล่าวทันทีว่า “รับ พวกเจ้าตั้งใจจะเลี้ยงพื้นที่กี่หมู่”
ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างได้ฟังจ้าวหลิงเฟิงก็ดีใจมาก ขอเพียงหอยาเป่าเหอรับ พวกเขาก็มีทางหนีที่ไล่ ก็ไม่กลัวแล้ว
“กะจะลองเลี้ยงสักสิบหมู่ หลักๆ ก็เพราะไม่มีตัวอ่อน ต้องอาศัยชาวบ้านในหมู่บ้านหาตัวอ่อน จากนั้นค่อยเอามาเลี้ยง”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวจบด้วยท่าทางระแวดระวังมองไปยังลู่เจียว เขากล่าวเช่นนี้ไม่ผิดกระมัง
ลู่เจียวพยักหน้า มองจ้าวหลิงเฟิงกล่าวว่า “วันนี้พวกเรามาก็คิดลงนามสัญญารับเงินมัดจำ ท่านจ้าวเห็นว่าได้หรือไม่”
จ้าวหลิงเฟิงย่อมไม่คิดล่วงเกินเทพเจ้าเงินตราผู้นี้ รีบรับคำกล่าวว่า “ได้ ข้ามอบให้พวกเจ้ายี่สิบตำลึงก่อนเป็นไง”
แม้ว่าเขากล่าวกับผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างเช่นนี้ แต่สายตากลับเหล่มองไปยังลู่เจียวแบบไม่เป็นที่สังเกต
ลู่เจียวรีบเห็นด้วย ลุกขึ้นกล่าวว่า “งั้นท่านก็ลงนามสัญญากับผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างละกัน ข้ายังมีของที่ต้องซื้ออีก”
เนื้อสัตว์ที่ที่บ้านซื้อไว้ก่อนหน้านี้กินหมดแล้ว วันนี้นางเข้าเมืองมา นอกจากลงนามเรื่องปลิงกับหอยาเป่าเหอยังต้องไปซื้อของกินอีก
ลู่เจียวลุกขึ้นคิดไปซื้อของ นอกประตูก็มีคนผลักเข้ามา คนที่เข้ามาถึงกลับเป็นเจ้าหนุ่มที่ชื่อม่อเป่ย คนที่ลู่เจียวเคยพบก่อนหน้านี้
เจ้าหมอนี่พอเห็นลู่เจียว ใบหน้าหล่อเหลาองอาจก็พลันเย็นเยียบ แววตาดำก็เต็มไปด้วยไฟโทสะ สตรีนางนี้ช่างเห็นแก่เงินจริง ก่อนหน้านี้ดึงธนูหัวแฉกให้เจ้านายเขา ถึงกับเรียกตั๋วเงินห้าพันตำลึงเงิน
พอจ้าวหลิงเฟิงเห็นสีหน้าม่อเป่ย ก็แอบครางถึงบรรพชนในใจ เจ้าไม่มีอะไรก็เอาแต่หาเรื่องลู่เหนียงจื่อทำไม
จ้าวหลิงเฟิงคิดแล้วก็หันไปมองลู่เจียวทันที ดีที่สีหน้าลู่เจียวยังนิ่ง สีหน้านิ่งเรียบเหมือนมองไม่เห็นสีหน้าม่อเป่ย
นางหันจะเดินออกจากห้องไป ไม่คิดว่าม่อเป่ยยื่นมือมาขวางทางนางไว้
“นายข้าอยากพบเจ้า”
ลู่เจียวตอบทันทีอย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่พบ”
แม้ว่าคนพวกนี้มองดูก็รู้ว่าสูงศักดิ์ แต่นางไม่ได้ทำผิด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขา อีกอย่างนางยังเป็นคนช่วยเจ้านายพวกเขาไว้ คนพวกนี้ย่อมไม่สร้างความลำบากใจให้นาง ดังนั้นลู่เจียวไม่รู้สึกกลัว ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวคนผู้นี้แม้แต่น้อย
นางกล่าวจบก็ยกมือขึ้นปัดมือม่อเป่ยทิ้ง แต่พอแตะโดน ม่อเป่ยก็กล่าวอีกว่า “นายข้าต้องการพบเจ้าสักครั้ง”
ลู่เจียวไม่ทันกล่าวอะไร จ้าวหลิงเฟิงก็ลุกขึ้นเดินมามองลู่เจียวกล่าวว่า “คุณชายเขากคือคนที่เจ้าช่วยชีวิตไว้ก่อนหน้านี้ เขาอยากพบเจ้า น่าจะคิดขอบคุณเจ้าต่อหน้า”
ความจริงลู่เจียวไม่คิดพบคุณชายผู้นี้จริงๆ ไม่คิดสมาคมกับคนพวกนี้ แต่เห็นท่าทางม่อเป่ย เกรงว่านางไม่ไป คนผู้นี้ก็คงไม่ปล่อยนางไป
ลู่เจียวแตะโดนก่อนหน้านี้ก็รู้ว่าชายผู้นี้น่าจะมีพลังภายใน และยังลึกล้ำมาก เขาไม่ยอมให้นางไป เกรงว่านางก็คงไปไม่ได้
ลู่เจียวจะรีบไปซื้อของ ไม่คิดว่าจะถูกคนผู้นี้ตามตอแย ดังนั้นจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เชิญนำทาง”