ตอนที่ 175 นี่เห็นผีหรือ
เซี่ยเหล่าเกินถลึงตามองลู่เจียวอย่างโมโห ก่อนจะหันหลังจากไป คนข้างหลังก็รีบเข้ามาลงลายนิ้วมือ
เรื่องเลี้ยงปลิงก็กำหนดกันขึ้นเช่นนี้ ลู่เจียวรีบให้ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างไปนับจำนวนคนที่ร่วมเลี้ยงปลิง จากนั้นจะได้แบ่งหน้าที่กัน ออกจับตัวอ่อนปลิง ทำสระเพาะเลี้ยงชั่วคราว ที่สำคัญที่สุดก็คือสระเลี้ยงปลิง
สระเลี้ยงปลิงเป็นปัญหาใหญ่มาก หากมีพลาสติกแผ่นบางก็นำมารองก้นสระได้ น่าเสียดายสมัยนี้ไม่มีของเช่นนี้ เดิมใช้ก้นสระเป็นปูนซีเมนต์สำเร็จรูปก็ได้ ประเด็นคือไม่มีปูน
ลู่เจียวคิดใช้อิฐสีเขียวปูก้นบ่อ สุดท้ายพอลองคิดดู อิฐสีเขียวราคาสูงมาก จ่ายไม่ไหว สุดท้ายนางคิดแล้วก็ได้แต่ให้คนขุดหินบนเขามาปูเป็นก้นบ่อ เช่นนี้ ประการแรกก็เสียแค่แรงงานคนเท่านั้น
อย่างไรทำสระเลี้ยงปลิงเสร็จ ก็ไม่ใช่ใช้แค่ปีสองปี ต้องยังชีพยาวนาน เริ่มแรกยุ่งยากสักหน่อย ภายหลังก็จะไม่ยุ่งยากแล้ว
คนหมู่บ้านตระกูลเซี่ยก็ยุ่งกับงานกันขึ้นมา แต่ละครอบครัวให้ผู้หญิงไปขึ้นเขาเก็บสมุนไพร ผู้ชายไปจับตัวอ่อนปลิง ขนย้ายหินบนเขามาปูสระเลี้ยงปลิง ผู้ใหญ่บ้านกับจู๋จ่างยังจัดคนไปเนินเขาถางพื้นที่ปลูกจินอิ๋นฮวา
แม้ว่าตอนนี้งานพวกนี้ยังหาเงินไม่ได้ แต่ทั้งหมู่บ้านก็คึกคักกันไปหมด
ทางตระกูลเซี่ย ขาเซี่ยอวิ๋นจิ่นหายดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าไม่อาจลงเดินได้ แต่นั่งเก้าอี้เข็นไปไหนได้อิสระ
เขาเริ่มสอนเด็กๆ ในหมู่บ้านเรียนหนังสือร้อยสกุลแซ่และพันอักษร
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เองก็ตามมาเรียนหนังสือร้อยสกุลแซ่และพันอักษรกับเขาด้วย
หลังอาหารเช้าทุกวัน ลู่เจียวเรียนหนังสือร้อยสกุลแซ่และพันอักษรกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นรอบหนึ่งก่อน ตัวอักษรที่นางจำได้เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ตัวอักษรที่เขียนก็สวยกว่าก่อนหน้านี้ ตัวยาง่ายๆ ก็พอเขียนเทียบยาได้แล้ว
แม้ว่าเรียนได้ก้าวหน้าไม่เลว แต่ลู่เจียวก็พบว่าเหมือนเซี่ยอวิ๋นจิ่นนับวันก็เริ่มไม่เห็นนางเป็นคนนอก นางสงสัยว่าคนผู้นี้ลืมไปไหมว่านางและเขาจะหย่ากัน นางต้องเตือนเขาสักหน่อยไหม
ลู่เจียวกำลังคิด เซี่ยอวิ๋นจิ่นข้างๆ ก็ยกมือมาหยิบไข่ต้มไปเคาะ จากนั้นก็ค่อยๆ ปอกเปลือกไข่ สุดท้ายก็เอาไข่ที่ปอกแล้ววางลงในชามลู่เจียว
“คิดอะไรจนเหม่อลอยกัน กินไข่สิ”
ลู่เจียวหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นทันที เห็นแต่แววตาอ่อนโยนอบอุ่นของเซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนาง
สายตาคู่นั้นราวกับสายน้ำอ่อนโยนนุ่มละมุน เหมือนกับคนที่มองของรักน่าทะนุถนอม
ลู่เจียวขนลุกขึ้นมาทันที ไม่นะ ต้องเป็นนางมองผิดแน่เลย
นางหลับตาลงอย่างแรงแล้วลืมพรึ่บขึ้นมองใหม่ กลับเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นขำยื่นมือออกมาลูบหน้าผากนาง “นี่เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผี”
ลู่เจียวอดบ่นงึมไม่ได้ ก็ไม่ใช่เห็นผีหรอกหรือ อยู่ดีๆ เจ้ามาทำดีกับข้าอย่างนี้ทำไม
หรือว่าเพราะข้าดีกับแฝดสี่ ดีกับชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย แต่เจ้าก็ไม่ต้องทำท่าเกินไปอย่างนี้ได้ไหม ควรรู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้ทำให้ข้าสงสัย สงสัยว่าเจ้าไม่อยากหย่าแล้ว
พอคิดได้เช่นนี้ ลู่เจียวรีบปฏิเสธตนเองทันที เป็นไปไม่ได้ ว่าที่ใต้เท้าโส่วฝู่เป็นใครกัน อยู่ดีๆ จะไม่ยอมหย่าได้อย่างไร ต้องเป็นนางที่คิดมากไป
บนโต๊ะอาหาร เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองท่านพ่อกับท่านแม่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ก้มหน้าหัวเราะกันราวกับกระรอกน้อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นลูบหน้าผากลู่เจียว เห็นหน้าผากนางไม่ร้อน ก็ไม่ได้สนใจนางอีก เขาหันไปค่อยๆ ปอกไข่ให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อย่างบรรจง แต่ตอนปอกไข่ก็เอ่ยกับลู่เจียวไปด้วยว่า “เที่ยงนี้พวกเรากินเกี๊ยวกันไหม”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นเสนอ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ร้องดีใจขึ้นมา “ท่านแม่ วันนี้ตอนเที่ยงกินเกี๊ยวหรือ”
“ข้าชอบกินเกี๊ยว”
“ข้าเองก็ชอบ ข้าจะกินเกี๊ยวตัวใหญ่ห้าตัว”
ลู่เจียวเงยหน้ามองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสี่รวมห้าคน เตือนพวกเขาว่า “อาหารเช้ายังไม่ทันกิน ก็คิดถึงอาหารกลางวันแล้ว?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าอมยิ้ม กล่าวว่า “เหตุพราะเจ้าทำอาหารอร่อย ข้าเลยคิดห่อเกี๊ยว ต้องอร่อยแน่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวรับคำบิดาอย่างดีใจ เยินยอลู่เจียวทันที “ท่านแม่ทำอาหารอร่อยที่สุด ไม่ว่าอะไรก็หอม”
ต้าเป่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่าพยักหน้าเต็มแรง “ใช่”
ซื่อเป่าพยักหน้าเสร็จก็รีบออดอ้อนกล่าวว่า “ท่านแม่ วันนี้ตอนเที่ยงห่อเกี๊ยวกิน?”
ลู่เจียวยังจะพูดอะไรได้ ห่อก็ห่อ
“พวกเจ้าอยากกินไส้กุยช่ายผัดไข่ หรือกินไส้หมูสับกุยช่าย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตัดสินใจทันที กล่าวว่า “ห่ออย่างละหน่อย ได้กินทั้งสองไส้”
ลู่เจียวทำหน้านิ่งมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้าห่อ?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย “ได้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็คิดห่อเกี๊ยวกันอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ข้าก็ห่อ”
“พวกเราก็ห่อ”
ทั้งครอบครัวคุยกันอย่างเบิกบานใจ นอกประตูพลันมีเสียงแหลมดังขึ้น “โอโฮ กินอาหารเช้าอยู่”
พอได้ฟังเสียงนี้ ทุกคนในห้องก็สีหน้าเย็นเยียบกันหมด
ลู่เจียวขมวดคิ้วมองไปยังหน้าประตู แม่สามีนางสงบไปได้หลายวัน ตอนนี้นั่งไม่ติดแล้วหรือ
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองหร่วนซื่อเดินเข้าประตูมาอย่างระแวดระวัง แม้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองสายตาก็เย็นเยียบ แต่สีหน้ากลับปกติ เห็นหร่วนซื่อก็เอ่ยทักทายว่า “ท่านแม่ ท่านกินอาหารเช้าแล้วหรือยัง”
หร่วนซื่อกวาดตามองกับข้าวบนโต๊ะ หย่อนก้นลงนั่งก็สั่งลู่เจียวว่า “พอดีข้ายังไม่ได้กิน ตักโจ๊กให้ข้าชาม”
แม้ลู่เจียวไม่ชอบหร่วนซื่อ แต่ใครให้นางเป็นแม่สามีนางเล่า นางไม่ได้ชักสีหน้าใส่ เพียงลุกเดินเข้าไปตักโจ๊กในครัว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เงียบลงทันที ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าไม่พูดไม่จา
บนโต๊ะอาหารไม่ได้รื่นเริงเหมือนก่อนหน้านี้ น่าเสียดายหร่วนซื่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย นางมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลางถามด้วยสีหน้าห่วงใย
“เจ้าสาม ขาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เดินได้หรือยัง”
แม้ขาเซี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งบนเก้าอี้เข็นไปมาอิสระ บางครั้งก็ยืนขึ้นออกกำลังกายง่ายๆ สักหน่อยได้ แต่ยังเดินไม่ได้ อย่างไรก็บาดเจ็บที่กระดูก พวกเอ็นกับกระดูกต้องร้อยวันจึงจะหายดี แต่นี่เพราะลู่เจียวแอบใส่น้ำพุจิตวิญญาณปรับสมดุล ดังนั้นจึงได้หายดีได้เร็วเช่นนี้
“ยังเดินไม่ได้”
หร่วนซื่อได้ฟังก็รีบยิ้มกล่าวว่า “งั้นก็พักรักษาตัวดีๆ”
กล่าวจบ ลู่เจียวก็ตักโจ๊กเดินเข้ามาพอดี หร่วนซื่อมองลู่เจียวกล่าวว่า “เจ้าสามบาดเจ็บที่ขา ต้องดื่มน้ำแกงซี่โครงหมูมากๆ เจ้าได้ซื้อซี่โครงหมูมาต้มให้เขาดื่มไหม”
สีหน้าดังมารดาผู้อารี น่าเสียดาย เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้แต่คิดรังเกียจ
ลู่เจียวกลับมีสีหน้าปกติ ขาเซี่ยอวิ๋นจิ่นดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อีกเดือนเดียว นางก็จะหย่าแล้ว ดังนั้นยายเฒ่าผู้นี้ทำอะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับนาง
“ระยะนี้เขาดื่มน้ำแกงซี่โครงหมูประจำ ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วง”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ส่งโจ๊กไปวางตรงหน้าหร่วนซื่อ
หร่วนซื่อยกขึ้นก็กิน มือหนึ่งก็คว้าไข่บนโต๊ะมาเคาะอย่างเป็นธรรมชาติ ปอกไข่กิน กินหมดก็กินอีกฟอง กินไปทีเดียวสามฟอง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่บนโต๊ะมองจนอัดอั้น สีหน้าบึ้งตึง ไข่นี่ครอบครัวพวกเขาคนละฟอง หกคนก็หกฟอง ท่านย่ากินไปทีเดียวสามฟอง แล้วพวกเขาจะกินอะไร