หันถงส่ายหน้ากล่าวว่า “แม้ว่าพี่สะใภ้หาเงินมา แต่เจ้าลงชื่อนางได้ก็เห็นได้ว่าเจ้าใจกว้างไม่ธรรมดา เจ้าไม่รู้ว่ามีคนเท่าไรที่คิดฮุบเงินสินเดิมออกเรือนภรรยาตน คนเท่าไรยังมุ่งสังหารฮุบทรัพย์ด้วยเหตุนี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถือสัญญากรรมสิทธิ์บ้านเดินออกไปไม่สนใจหันถง กล่าวว่า “ผู้ชายคิดฮุบเงินสินเดิมภรรยาเห็นได้ชัดว่าคือคนเลวชั่วร้าย ตนเองต้องการเงินทองหาเองไม่เป็นหรือ”
ทั้งสองคนเดินไปคุยกันจนออกจากที่ว่าการอำเภอ หันถงเดิมคิดส่งเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับตระกูลเซี่ย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับส่ายหน้า “ส่งข้าไปร้านจิ่นซิ่ว ข้าจะซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ลู่เจียวสักหน่อย”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าว หันถงก็พยักหน้าเห็นด้วย “นี่ก็ถูกต้องแล้ว ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ภรรยาตนสักหน่อย วันนี้ข้าเห็นเสื้อผ้าเก่าที่พี่สะใภ้สวม ที่ตัวยังไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเม้มปากไม่กล่าวอะไร ส่งสายตาเย็นเยียบมองหันถง หันถงมักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องนัก
นี่อวิ๋นจิ่นอิจฉาหรือ หันถงพลันรู้ตัว ก่อนหน้านี้เขาคุยกับลู่เจียวสนิทสนม สายตาที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเขาหมายความว่าไง นี่เขาหึงหวงหรือ
หันถงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ ยกมือผลักเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“อวิ๋นจิ่น ก่อนหน้านี้เจ้าหึงหวงหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดหันถง ก็พลันตัวเกร็งแน่น สีหน้าเย็นเยียบ ปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ “ไม่มีเรื่องเช่นนี้ เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล นางคือภรรยาข้า ควรรักษาระยะห่างจากชายอื่นให้เหมาะสมหน่อย”
หันถงมองอย่างสงสัยเซี่ยอวิ๋นจิ่น “แค่นี้?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง “เจ้าว่าไงล่ะ”
หันถงไม่กล้าเล่นต่อ คิดถึงนิสัยเซี่ยอวิ๋นจิ่น เกรงว่าคงไม่ใช่หึงหวงจริงๆ แต่ไรมาเจ้าหมอนี่เย็นชาและไว้ตัว ไหนเลยจะมาหึงหวงสตรีนางหนึ่ง
ในไม่ช้าหันถงก็เลิกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้หญิงเช่นพี่สะใภ้จะหึงหวงก็ไม่เสียหน้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ตวัดสายตามองหันถง หันถงรีบเงียบทันที
แต่ก็ครุ่นคิดอย่างสงสัย เช่นนี้ยังไม่เรียกว่าหึงหวง ทำไมเขารู้สึกว่าไม่อาจเชื่อได้นะ
ทั้งสองคนพูดไปก็เดินไปถึงร้านจิ่นซิ่ว ครั้งนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากซื้อเสื้อผ้าให้ลู่เจียว ดังนั้นจึงมาร้านจิ่นซิ่วที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอำเภอ
ร้านจิ่นซิ่วไม่เพียงแต่มีเสื้อผ้าสำเร็จรูป ยังมีเครื่องประดับที่เข้ากับเสื้อผ้า
เดิมหันถงคิดเข้าไปเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ลู่เจียวเป็นเพื่อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ปรากฏเซี่ยอวิ๋นจิ่นรั้งเขาไว้ ให้เขารออยู่ด้านนอก เขาเอาเงินจากหันถงสองร้อยตำลึงเข้าร้านจิ่นซิ่วไปลำพัง
หันถงยู่ปากอย่างไม่สบอารมณ์ เช่นนี้ยังว่าไม่หึงหวง ช้าเร็วสักวันจะทำให้เจ้าหนีความจริงไม่พ้น
ในช่วงระยะนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ใกล้ชิดกับลู่เจียว ก็รู้ว่าลู่เจียวชอบอะไร ดังนั้นเขาเข้าไปไม่นาน ก็เลือกเสื้อผ้าให้ลู่เจียวสามชุด เสื้อผ้าชุดละสิบกว่าตำลึง เนื้อผ้าลื่นเงางามอย่างมากและสีสันยังสดใส
เขาถือเสื้อผ้าครุ่นคิดว่าหากลู่เจียวสวมจะสวยขนาดไหน สองแก้มก็อดร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้
คนงานร้านชมไม่หยุดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่าสายตาไม่เลว “คุณชายท่านนี้สายตาดี เสื้อผ้านี้สวมแล้วงดงามมากอย่างแน่นอน คุณชายว่าจะเติมเครื่องประดับอีกสักหน่อยไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปเลือกเครื่องประดับให้ลู่เจียวอีก ล้วนเลือกตามความสวย ไม่เกี่ยงเรื่องราคา
เหมือนว่าหากใช้สองร้อยตำลึงไม่หมดจะไม่ยอมกลับ
คนงานในร้านรีบแนะนำเซี่ยอวิ๋นจิ่นอีกสองสามอย่าง เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดสีเสื้อผ้า แล้วก็คิดภาพลู่เจียวก่อนจะเลือกเครื่องประดับเงินชุดหนึ่ง แม้ว่าทำจากเงิน แต่งานฝีมือประณีต ชุดหนึ่งราคาหลายสิบตำลึง จากนั้นยังเลือกเครื่องประดับฉลุทองฝังหยกอีกชุด สุดท้ายยังซื้อปิ่นทองลายหงส์เมฆา พอดีสองร้อยตำลึง ใช้จนเกลี้ยง
เงินใช้หมดแล้ว เขาก็ถือของกองใหญ่ออกจากร้านจิ่นซิ่วมาอย่างพึงพอใจ คนงานร้านดีใจ ออกมาส่งเขาขึ้นรถม้าที่หน้าประตู
บนรถม้า หันถงเห็นสีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นมีรอยยิ้ม อดสัพยอกไม่ได้ว่า “ซื้ออะไรมา มีความสุขขนาดนี้ ให้ข้าดูหน่อย”
น่าเสียดายมือหันถงเพิ่งยื่นออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบยกมือกดห่อผ้าตนเองเอาไว้ทันที
สายตาเขาเยียบเย็นมองหันถง “ผู้ชายแท้ๆ มาดูเสื้อผ้าผู้หญิงทำไม”
สีหน้าหันถงไร้วาจาจะกล่าว กล่าวว่า “วันหน้าพี่สะใภ้สวมออกมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นเสียหน่อย”
“งั้นรอให้นางสวมแล้วค่อยดู”
อย่างน้อยที่สุดเขาก็เห็นเป็นคนแรก เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งหุบไม่ลง
หันถงยังจะพูดอะไรได้ ได้แต่ส่งเขากลับไปแต่โดยดี
ณ บ้านตระกูลเซี่ย ลู่เจียวกำลังพาลู่กุ้ยไปจัดห้องให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่
เรือนกลางในเรือนด้านหลังมีทั้งหมดสี่ห้อง ลู่เจียวตัดสินใจอยู่ห้องนอนหลักในเรือนตะวันออก ด้านนอกคือห้องรับแขก เรือนตะวันตกก็คือที่อยู่ของเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ข้างนอกจัดเป็นห้องหนังสือให้พวกเขา
ส่วนเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่กุ้ยอยู่เรือนด้านหน้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่เรือนกลางของเรือนด้านหน้า ข้างๆ มีห้องหนังสือห้องหนึ่ง
ลู่กุ้ยอยู่ห้องปีกตะวันออกของเรือนด้านหน้าก็พอ
ลู่เจียวจัดการได้เหมาะสม ไม่ได้คิดจัดให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่เรือนด้านหลังเลย เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่รู้ คิดว่าวันหน้าท่านพ่อกับท่านแม่จะได้อยู่ด้วยกัน เด็กทั้งสี่ก็อารมณ์ดีอย่างมาก จัดห้องกับลู่เจียวและลู่กุ้ยไปอย่างตื่นเต้นดีใจ
เรือนนอนตะวันตกเดิมมีเตียงตัวเดียว ลู่เจียวไปยกเตียงอีกตัวจากห้องอื่นเข้ามา ทำเช่นนี้ก็จะทำให้ในห้องมีสองเตียง
ดีที่ห้องใหญ่พอให้วางลง
“พวกเจ้าหารือกันเองว่าใครนอนกับใคร”
เพราะก่อนหน้านี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่แยกนอนกับท่านพ่อท่านแม่ ต้าเป่าอยู่กับเอ้อร์เป่า ซานเป่าอยู่กับซื่อเป่า
ครั้งนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยังคงแบ่งกันเช่นนี้ ซื่อเป่าพุ่งเข้าไปบนเตียงตัวด้านในห้อง กลิ้งไปมากล่าวว่า “ข้าเอาเตียงนี้ ข้าเอาเตียงนี้”
ลู่เจียวเห็นแล้วก็เข้าใจความคิดเขา เด็กน้อยขี้ขลาดจึงเลือกเตียงตัวใน
ดีที่พี่ชายสามคนไม่ตำหนิเขา ยิ้มเห็นด้วย
ลู่เจียวถามเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ “ดูว่าในห้องพวกเจ้ายังจะเติมอะไรอีกไหม”
เรือนนอนตะวันตกมีของครบทุกอย่าง แต่ขาดกลิ่นอายความเป็นเด็ก
ลู่เจียวเดินเข้าไปกล่าวว่า “ไว้แม่ให้คนไปซื้อแจกันดอกไม้มาคู่หนึ่ง วางไว้ตรงนี้หนึ่ง ตรงนี้หนึ่ง ไว้ปักดอกไม้ เช่นนี้ในห้องพวกเจ้าก็จะหอมอยู่ตลอด พวกเจ้าว่าอย่างไร”
ต้าเป่าเห็นด้วยก่อน พยักหน้าเต็มแรง “ขอรับ ท่านแม่”
ลู่เจียวชี้ไปที่กำแพงอีกด้านในห้อง “ตรงนี้น่าจะแขวนภาพวาดสักภาพน่าจะดี”
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ลูบหน้าผาก กล่าวว่า “ไว้แม่ช่วยพวกเจ้าซื้อภาพสักภาพ?”
ลู่เจียวเองก็พอวาดเป็น แต่ระยะนี้ยุ่งมาก เกรงว่าไม่มีเวลาวาด ดังนั้นจึงตัดสินใจซื้อภาพวาดสักภาพ
ผู้ใดจะรู้ว่า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พอได้ฟัง รีบปฏิเสธ ต้าเป่ากล่าวทันทีว่า “ท่านแม่ ให้ท่านพ่อวาด”
ลู่เจียวคิดเอ่ยด้วยสัญชาตญาณว่า ท่านพ่อเจ้าระยะนี้ยุ่งมาก เกรงว่าไม่มีเวลาวาดให้พวกเจ้า
ไม่คิดว่านางยังไม่ทันได้พูดอะไร นอกประตูเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เดินเข้ามา รับคำกล่าวว่า “ได้ ไว้พ่อวาดให้พวกเจ้าภาพหนึ่ง”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ดีใจหัวเราะขึ้นมาทันที มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านวาดภาพพวกเราสี่คน แล้วก็วาดเสี่ยวเฮยกับฮวาฮวาลงไปด้วย ใช่แล้ว ยังต้องวาดแพะกับกระต่ายบ้านเราด้วย”
ต้าเป่ารีบกล่าวว่า “ยังมีท่านพ่อกับท่านแม่”
ลู่เจียวสีหน้าไร้วาจาจะกล่าว นี่มันภาพครอบครัวหรือ
ซื่อเป่าสำทับอีกประโยคว่า “วาดน้าเล็กด้วย”
ที่เหลืออีกสามคนรีบพยักหน้าเต็มแรง แสดงอาการเห็นด้วย