กล่าวจบเขาก็คิดถึงเรื่องลู่เจียวแต่งกายเป็นชาย รีบแก้คำกล่าวว่า “ก็คือคุณชายลู่ผู้นี้ ช่วยผ่าตัดต่อแขนให้ท่าน”
หวังขุยหันไปมองลู่เจียวอย่างรู้สึกแปลกใจมาก เดิมเขาได้ยินม่อเป่ยเล่า ยังคิดว่าคนที่ทำการผ่าตัดให้เขาน่าจะเป็นผู้สูงวัย คิดไม่ถึงว่าถึงกับเป็นคุณชายอายุน้อยเพียงนี้
“ขอบคุณคุณชายลู่ที่ผ่าตัดต่อแขนให้ข้า”
ตอนนี้ที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือแขนที่ต่อเสร็จวันหน้าจะน้าวธนูได้ไหม หากไม่ได้ ชีวิตเขานี้เขาก็คงจบสิ้นแล้ว
หวังขุยครุ่นคิดแล้วอารมณ์ก็พลันสลดลง เดิมสีหน้าอิดโรยอยู่แล้ว ก็ยิ่งหม่นหมอง ไม่มีชีวิตชีวาสักเท่าไร
ลู่เจียวย่อมเห็น นางถามอย่างห่วงใยกล่าวว่า “ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ”
ตอนนี้ฤทธิ์ยาชาหมดแล้ว คิดว่าตรงแขนที่ขาดของเขาต้องปวดมาก
หวังขุยกลับส่ายหน้า “ไม่มีตรงไหนไม่สบาย แม้ว่าปวดอยู่บ้าง แต่พวกเราคนออกศึกก็มักได้รับบาดเจ็บ เจ็บแค่นี้เรื่องเล็ก เพียงแต่ข้าเป็นห่วงแขนข้าวันหน้าจะไม่มีกำลัง จับธนูไม่ได้อีก”
ลู่เจียวได้ฟังหวังขุยก็หัวเราะขึ้น “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร รอให้แขนหายดีก่อน ท่านก็จะแข็งแรงดังเดิม น่าจะค่อยๆ ฟื้นคืนเหมือนเมื่อก่อน แม้ไม่อาจฟื้นคืนทั้งหมด เจ็ดแปดส่วนก็น่าจะได้”
พอลู่เจียวกล่าว หวังขุยบนเตียงก็ดีใจมาก เขาหันไปจ้องมองลู่เจียวถามว่า “คุณชายลู่พูดจริงหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า “จริง วางใจเถอะ”
หวังขุยตื่นเต้นดีใจอย่างมาก ขยับร่างกายคิดลงจากเตียง ม่อเป่ยรีบเข้าไปกดเขาไว้ “ท่านทำอะไร”
เขาเอ่ยอย่างตื้นตันว่า “ข้าจะลงไปโขกศีรษะขอบคุณคุณชายลู่ ขอบคุณบุญคุณเขาที่ต่อแขนให้”
ลู่เจียวสีหน้าแอบละอายใจ นางรับเงินคนเขา ไม่กล้ารับบุญคุณใหญ่จากคนเขาเช่นนี้
ลู่เจียวมองหวังขุยกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าทำงานรับเงิน”
น่าเสียดายนางกล่าวเช่นนี้ หวังขุยยังคงยืนยัน มองลู่เจียวกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเงิน เจ้าไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตข้า ยังมีบุญคุณต่อข้า วันหน้าหากคุณชายลู่มีสิ่งใดต้องการใช้ข้า ก็ขอให้กล่าวมาได้เลย ข้าหากทำได้ ย่อมทุ่มเทกำลังทำให้คุณชายอย่างเต็มที่”
ลู่เจียวได้ฟังก็ดีใจมาก ยิ้มมองหวังขุยกล่าวว่า “ท่านอาหวังเกรงใจไปแล้ว”
นางกล่าวจบก็ประเมินมองผู้ป่วยสองสามที เห็นสีหน้าหม่นหมองของเขาก่อนหน้านี้ ยามนี้เปล่งประกายเข้มแข็ง และแอบมีกลิ่นอายสังหารเผยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
ลู่เจียวรู้สถานะคนผู้นี้ได้ทันที คนผู้นี้เกรงว่าเป็นขุนพลในราชสำนัก
เห็นเขา ลู่เจียวพลันคิดถึงเอ้อร์เป่าขึ้นมา เอ้อร์เป่าเอาแค่คิดจะเป็นแม่ทัพ
หากมีวันหนึ่ง เขาต้องบาดเจ็บหนักเช่นนี้เพราะต่อสู้กับศัตรู คิดว่านางคงเสียใจมาก แต่แม้ว่าเสียใจ นางก็ไม่อาจขัดขวางเขาได้
ลู่เจียวครุ่นคิดไปมาพลันพบว่าตนเองคิดไปไกลไปแล้ว ตอนนั้นนางคงไม่ได้รู้ความเป็นไปของเขาแล้ว
ในใจลู่เจียวแอบรู้สึกตัดใจไม่ได้ แต่ก็สลัดความคิดวุ่นวายทิ้งอย่างรวดเร็ว มองผู้ป่วยบนเตียง กำชับว่า “ระยะนี้ท่านก็วางใจรักษาตัวไป ไม่มีปัญหาใหญ่อันใดแน่นอน อารมณ์ก็มีผลต่อการฟื้นตัวเช่นกัน”
“ท่านอย่าได้เป็นห่วง การผ่าตัดต่อแขนแม้ว่ามีความยาก แต่สำหรับข้าแล้ว ไม่นับว่ายากอะไร ข้ามั่นใจ หากไม่เชื่อ ท่านก็ลองถามวิชาการแพทย์ของข้าจากหมอฉีว่าเป็นอย่างไร”
ฉีเหล่ยรีบก้าวเข้ามากล่าวกับหวังขุยว่า “ก่อนหน้านี้อาจารย์ข้าเคยดึงลูกธนูหัวแฉกให้กับคุณชายห้า นางยังผ่าตัดให้ผู้ป่วยอัมพาตบนเตียง ตอนนี้ขาคนผู้นั้นหายดีแล้ว เวลาเดินก็ไม่ติดขัดแม้แต่น้อย”
คำพูดฉีเหล่ยทำให้จิตใจหวังขุยสงบลง และเขาสังเกตคำพูดฉีเหล่ยที่มีคำว่าอาจารย์ ก็อดเลิกคิ้วอย่างแปลกใจไม่ได้
“เขาเป็นอาจารย์เจ้า”
ฉีเหล่ยมาจากตระกูลฉีที่เป็นตระกูลหมอ ตระกูลเขาแต่ละรุ่นล้วนเข้าวังเป็นหมอหลวง วิชาการแพทย์เช่นฉีเหล่ย ถึงกับคารวะคุณชายลู่เป็นอาจารย์ วิชาการแพทย์คนผู้นี้น่าจะร้ายกาจมาก
หวังขุยอดหันไปจ้องมองคุณชายลู่ผู้นี้ไม่ได้ พอมองก็พบว่าใบหน้าคุณชายลู่แม้ว่าธรรมดา แต่ดวงตาคู่นี้งามมาก
ฉีเหล่ยพลันหัวเราะกล่าวว่า “ใช่ เขาคืออาจารย์ข้า วิชาการแพทย์ร้ายกาจมาก”
น้ำเสียงแอบภาคภูมิใจอย่างไม่อาจบรรยาย
ในห้องม่อเป่ยค้อนใส่เขาทันที พูดยังกับวิชาการแพทย์ตนเองร้ายกาจมากอย่างนั้น ไม่รู้สึกขายหน้าหรือไร ควรรู้ว่าตระกูลฉีเจ้าเป็นตระกูลหมอ หากให้ท่านปู่เจ้า ท่านพ่อเจ้ารู้ว่าเจ้าถึงกับคารวะอาจารย์อายุน้อยอย่างนี้ ไม่แน่คงได้คว้าแส้ฟาดเจ้า
น่าเสียดายฉีเหล่ยไม่ได้รู้ตัวสักนิด รู้สึกเพียงแค่ดีใจ ยังคุยกับหวังขุยเรื่องลู่เจียว
“วิชาการแพทย์อาจารย์ข้าร้ายกาจมาก รักษาคนโดนพิษงูหายแล้วไม่มีอาการแทรกซ้อนภายหลังสักนิด ยังรักษาสมองให้คนไข้จนหาย ท่านคงไม่รู้ว่าคนป่วยเช่นนี้ ได้แต่รอความตาย แต่อาจารย์ข้ารักษาพวกเขาได้ สรุปคือ โรคที่หลายคนรักษาไม่ได้ นางรักษาได้หมด”
ลู่เจียวถูกฉีเหล่ยโม้จนหน้าแดงไปหมด อดถลึงตาใส่เจ้าหมอนี่ไม่ได้
“ฉีเหล่ย เจ้าคอแห้งไหม”
ฉีเหล่ยพูดอย่างยินดีปรีดา ส่ายหน้าว่า “ไม่แห้ง ข้าบอกท่านนะ อาจารย์ข้ายังเคยรักษาคนจมน้ำตาย คนนั้นตายไปแล้ว อาจารย์ข้าถึงกับช่วยนางกลับมาได้”
ลู่เจียวได้ยินก็คิดจัดฉีเหล่ยสักที เรื่องพวกนี้มีอะไรควรแก่การเอาออกมาพูดกัน
“ฉีเหล่ย ผู้ป่วยต้องการพักผ่อน เจ้าออกไปเลย”
หวังขุยบนเตียงดูอ่อนแรงจริง ก่อนหน้านี้เขาสูญเสียเลือดไปมาก ยังได้รับการผ่าตัดต่อแขนมาอีก สุขภาพร่างกายอ่อนแอยิ่ง ก่อนหน้านี้เพราะเป็นห่วงว่าแขนจะไม่มีแรง อัดอั้นในใจ ตอนนี้รู้ว่าแขนตนไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นจึงง่วงมาก
พอฉีเหล่ยเห็นท่าทางหวังขุยบนเตียง ก็ยิ้มเก้อกล่าวว่า “ท่านพักผ่อนก่อน วันหน้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง”
ใบหน้าลู่เจียวราวกับมีแสงดำพาดผ่าน ดูท่าเขาคงได้พูดเรื่องนางอีกกระมัง
ในห้องม่อเป่ยส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไปเพื่อให้หวังขุยพักผ่อน หวังขุยเห็นลู่เจียวจะออกไป ก็ขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบคุณคุณชายลู่ บุญคุณคุณชายลู่ วันหน้าข้าย่อมตอบแทน”
ลู่เจียวรีบกล่าวว่า “ท่านอาหวังตอนนี้รักษาตัวก่อนเถอะ”
นางกล่าวจบก็หันไปกำชับฉีเหล่ยกล่าวว่า “เดี๋ยวเจ้าเอาโสมคนกับเห็ดหลินจือให้เขากินหน่อย เขาขาดเลือด ระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่อาจฟื้นตัวได้ ต้องบำรุงสักหน่อย”
“ข้าทราบแล้ว อาจารย์”
สองคนคุยกันไปก็เดินออกไป ม่อเป่ยกับจ้าวหลิงเฟิงก็ตามออกมา
ทุกคนคุยกันไปก็เดินมาถึงห้องโถงในเรือนด้านหลัง ตลอดทางมาฉีเหล่ยมองลู่เจียวกล่าวว่า “อาจารย์ ข้าอยากทำพิธีคารวะอาจารย์ ท่านคิดอย่างไร”
แม้ว่าเขาเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์ แต่ไม่ได้เคยคารวะอาจารย์อย่างเป็นทางการ มักรู้สึกติดค้างในทางพิธี ในใจก็รู้สึกผิดกับอาจารย์ ดังนั้นเขาคิดเป็นทางการสักหน่อย พร้อมกับให้คนเป็นสักขีพยานสักหน่อย พอผ่านพิธีคารวะอาจารย์ เขาก็นับว่าได้ชื่อว่ามีลู่เจียวเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว
ก่อนหน้านี้อาจารย์ไม่อยากให้เซี่ยซิ่วไฉรู้เรื่องนี้ ตอนนี้เซี่ยซิ่วไฉก็รู้แล้ว งั้นเขาคารวะอาจารย์ เซี่ยซิ่วไฉน่าจะไม่ว่าอะไร