เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวทั้งสองคนเดินกลับเรือนด้านหลังมาด้วยกัน เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กำลังยืนเขย่งชะเง้อมองอยู่บนขั้นบันได พอเห็นพวกเขามา เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็รีบวิ่งไปจูงมือพวกเขา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่เป็นไรก็วางใจ ยายเฒ่าชิวยิ้มกล่าวว่า “นายน้อยทั้งสี่ไม่เห็นพวกท่าน เป็นห่วงอย่างมาก นายน้อยทั้งสี่เหมือนผู้ใหญ่มาก”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ถูกยายเฒ่าชิวพูดจนเขิน บิดไปมาเขินอายกล่าวว่า “ผอผอ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวหัวเราะดัง ทั้งครอบครัวเดินเข้าไปกินอาหารเช้าในห้องโถง
หลังอาหารเช้าผ่านไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พาหลินตงไปข้างบ้านไม่ไกลนัก ชี้แนะทบทวนตำราเรียนให้นักเรียน
ลู่เจียวพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเรือนด้านหน้าดูช่างไม้ทำไม้ลื่น เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ถามลู่เจียวอยู่ตลอดเวลาว่า ของนี้เล่นอย่างไร ลู่เจียวอธิบายให้ลูกๆ ฟัง อย่าได้กล่าวว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตื่นเต้นเพียงใด แทบจะอยากให้ไม้ลื่นทำเสร็จไวๆ
ลู่เจียวกำลังคุยกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ตระกูลจ้าวข้างบ้านก็มีเสียงทะเลาะดังแว่วมา
แม้ว่าตระกูลจ้าวมีส่วนที่ติดกับบ้านตระกูลเซี่ยไม่มาก ตามหลักการควรไม่ได้ยินอะไร แต่จ้าวเหอ ฮวาไม่เพียงแต่ตะโกน ยังเสียงดังเหมือนว่าแทบจะสุดเสียง ทางนี้จึงได้ยิน
“เจ้าหลูต้าหนิวนั่นเป็นคนฆ่าหมู ไม่รู้หนังสือสักตัว พูดจาก็เสียงดังโวยวาย และยังโง่อีก วันๆ รู้แต่ฆ่าหมูขายหมู ข้าไม่แต่งกับเขาหรอก ข้าอยากแต่งกับคนบัณฑิตรู้หนังสือ”
……
“ก็แค่มีร้าน ข้าไม่เห็นจะเสียดาย ชีวิตนี้เป็นได้แค่คนฆ่าหมู ข้าจะแต่งกับบัณฑิตรู้หนังสือ วันหน้าจะเป็นฮูหยินขุนนาง”
ลู่เจียวฟังแล้วราวกับมีแสงสีดำพาดผ่านใบหน้า จิตใจแม่นางเหอฮวาผู้นี้คิดการใหญ่แท้ ถึงกับอยากเป็นฮูหยินขุนนาง ฮูหยินขุนนางเป็นกันง่ายอย่างนั้นหรือ
แต่ลู่เจียวขี้เกียจจะสนใจ เชื่อว่าตระกูลจ้าวจะจัดการเรื่องนี้ได้
ตอนเที่ยงเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับไปกินข้าว ลู่เจียวเล่าเรื่องนี้ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟัง เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าไร้วาจาจะกล่าว คนเช่นจ้าวเหอฮวาคิดเป็นฮูหยินขุนนาง ขุนนางนั้นเกรงว่าก็คงคิดหย่านางเสียให้ได้ ฮูหยินขุนนางไม่ได้เป็นกันง่ายๆ หากสมาคมไปมาหาสู่กันไม่ดี ก็อาจนำภัยมาสู่สามีตนเองได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็มองลู่เจียวเงียบๆ ผู้หญิงตนผู้นี้เหมาะกับเป็นฮูหยินขุนนาง
วันหน้าหากเขาได้เป็นขุนนาง เรื่องแรกที่จะทำก็คือขอตำแหน่งฮูหยินตราตั้งให้นาง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ลู่เจียวข้างๆ ไม่รู้สิ่งที่เขาคิด มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ คนผู้นี้หัวเราะอะไร
ทั้งครอบครัวกำลังกินข้าว ก็ได้ยินเสียงอาเหวินรายงานดังมา “คุณชายหูซ่านมาขอรับ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินว่าหูซ่านมา ในใจก็ไม่พอใจ เดิมก็ไม่อยากพบ แต่คิดถึงสถานะหูซ่านก็ได้แต่ยืนขึ้น
“ข้าออกไปต้อนรับเขาด้านหน้า เจ้ากินอีกหน่อย”
“อืม”
ลู่เจียวไม่คิดพบหูซ่าน ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอีก กินข้าวกลางวันกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ต่อ
เพียงแต่พอกินข้าวกลางวันเสร็จ ลู่กุ้ยก็เดินมาจากเรือนด้านหน้าอย่างรวดเร็ว “พี่เจียว คุณชายหูซ่านนำเทียบเชิญมามอบให้พี่ เขาว่าคิดจะมอบให้พี่กับมือ”
“อยู่ดีๆ ส่งเทียบเชิญให้ข้าทำไม”
“บอกว่าภรรยาเขาให้นำมามอบให้พี่ด้วยตนเอง อีกสองวันเป็นวันครบเดือนบุตรชายเขา จะจัดงานเลี้ยงครบเดือน ภรรยาเขาให้เขานำเทียบเชิญมามอบให้พี่เจียว”
ลู่เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน คนเขามาดี มามอบเทียบเชิญให้นาง ไม่มีเหตุผลที่จะไม่พบ
“ได้”
ลู่เจียวแสดงท่าทางบอกลู่กุ้ยให้เล่นเป็นเพื่อนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่สักครู่ นางพาเฝิงจือไปเรือนด้านหน้าพบหูซ่าน
ในห้องโถงเรือนด้านหน้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองหูซ่านด้วยสีหน้าเย็นชา เดิมเขาไม่ได้อยากให้หูซ่านพบ ทว่าเขายังกล้ามาถามเขาเรื่องอาการบาดเจ็บของเหลียงจื่อเหวินว่าเกี่ยวข้องกับเขาไหม
หูซ่านเห็นท่าทางเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “ข้าก็แค่ถามเจ้านิดหน่อยไหม ถึงกับต้องโมโหขนาดนี้ด้วยหรือ”
ก่อนหน้านี้หูซ่านเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ถามเขาเรื่องอาการบาดเจ็บของเหลียงจื่อเหวินว่าเกี่ยวข้องกับเขาไหม เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที จะขับไล่เขาออกไป
เดิมหูซ่านโมโหคิดจะจากไป แต่คิดถึงว่าวันนี้เขามาบ้านตระกูลเซี่ยก็เพราะมีธุระเป็นการเป็นงาน
อีกสองวันเป็นงานเลี้ยงครบเดือนของบุตรชายเขา ภรรยาเขาให้เขาเอาเทียบเชิญมามอบให้ลู่เจียวด้วยตนเอง เพื่อแสดงความจริงใจของครอบครัวพวกเขา
ในห้องโถง เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองหูซ่านด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก “วันหน้าเจ้าพูดจาให้มันผ่านสมองหน่อยได้ไหม ก่อนหน้านี้เจ้าพาเหลียงจื่อเหวินมาก็ทำความเดือดร้อนให้พวกเราแล้ว ตอนนี้ยังพูดจาเช่นนี้อีก หากคำพูดเจ้าแพร่ออกไป ครอบครัวข้าจะเจอกับอะไรบ้าง เจ้าเคยคิดบ้างไหม”
หูซ่านรู้สึกกินปูนร้อนท้องขึ้นมาทันที ไม่กล้าพูดจาเสียงดังอีก งึมงำกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่แค่ถามเจ้านิดเดียวหรือ เจ้าว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นโมโหมองหูซ่านกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่บิดามารดาเจ้า ไม่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนเจ้า วันหน้าเจ้าพูดจาหรือทำอะไรต้องผ่านสมองหน่อย”
หูซ่านได้ยินเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวเช่นนี้ ก็อดโต้กลับไม่ได้ว่า “เจ้าไม่ใช่บิดาข้า แต่เจ้าอบรมข้าทีท่าทางเหมือนบิดาข้าไม่มีผิด”
ลู่เจียวเดินเข้ามาพอดีได้ยินคำพูดหูซ่านก็มีสีหน้าไร้วาจาจะกล่าว คุณชายหูผู้นี้ทำเอาคนพูดไม่ออกจริงๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวมา สีหน้าเย็นเยียบก็อบอุ่นอ่อนโยนลง ถามอย่างห่วงใยกล่าวว่า “เจ้ากินข้าวเสร็จแล้วหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย เดินไปนั่งลงข้างเซี่ยอวิ๋นจิ่น มองหูซ่านกล่าวว่า “คุณชายหูจะมอบเทียบเชิญให้ข้าหรือ”
หูซ่านคิดแค่รีบทำงานที่ภรรยามอบหมายเขามาให้เสร็จ รีบพยักหน้ากล่าวว่า “ภรรยาข้ากำชับมาเป็นพิเศษ ให้ข้ามอบให้เจ้ากับมือ ดังนั้นข้าจึงได้มาเชิญลู่เหนียงจื่อด้วยตนเองสักครา”
หูซ่านกล่าวจบก็ประคองเทียบเชิญให้ ลู่เจียวส่งสายตาบอกให้เฝิงจือเข้าไปรับมา
“ตกลง มะรืนนี้ข้าจะไป”
หูซ่านได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็วางใจ เขาลุกขึ้นเตรียมกลับ ก่อนกลับยังรู้จักมารยาท
“พี่อวิ๋นจิ่น มะรืนนี้ไปกับลู่เหนียงจื่อได้ไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างไม่เกรงใจทันที “แน่นอน ภรรยาข้าไม่คุ้นเคยกับอำเภอชิงเหอ ผู้ใดจะรู้ว่ามะรืนนี้บ้านเจ้าจะเชิญใครบ้าง ข้าไม่วางใจ ย่อมต้องไปเป็นเพื่อนนาง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่วางใจจริงๆ แม้ว่านายอำเภอหูเป็นแค่นายอำเภอตำแหน่งขุนนางระดับเจ็ด แต่ก็เป็นขุนนางปกครองอำเภอชิงเหอ นอกจากลูกน้องที่ว่าการอำเภอ พ่อค้าในอำเภอชิงเหอล้วนต้องไป แขกในจวนตระกูลหูต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่วางใจ ย่อมต้องตามไปด้วย
หูซ่านได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็แอบบ่นในใจ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยได้ยินว่าเจ้าให้ความสำคัญกับภรรยาตนเองขนาดนี้นี่
แต่ยามนี้หูซ่านยังไม่กล้าทำเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่พอใจ รีบกล่าวอำลากลับ
ในห้องโถง ลู่เจียวเห็นหูซ่านไปแล้ว ลุกขึ้นเตรียมกลับเรือนด้านหลัง หันไปเห็นสีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเหมือนไม่พอใจ ก็ถามขึ้น “เจ้าเหมือนไม่พอใจ เป็นอะไรหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้คิดปิดบังลู่เจียว เล่าเรื่องที่หูซ่านสงสัยเขาก่อนหน้านี้ให้นางฟัง
“เจ้ารู้ไหม ก่อนหน้านี้หูซ่านถามอะไรข้า”
ลู่เจียวไม่ได้พูดอะไร เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดต่อว่า “เขาถึงกับถามข้าว่า เหลียงจื่อเหวินบาดเจ็บเกี่ยวกับข้าไหม เจ้าว่าวาจานี้หากพูดออกไป จะนำหายนะอะไรมาให้พวกเรา ตระกูลเหลียงตอนนี้กลายเป็นหมาบ้าไปแล้ว”
สีหน้าลู่เจียวไม่ดีแล้ว กุมมือกล่าวว่า “วันหน้าห่างไกลเจ้าหูซ่านสักหน่อยดีกว่า รู้สึกว่าพฤติกรรมวาจาล้วนไม่ผ่านสมอง”