ในห้องรับรอง จ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ย และยังมีอีกคนที่ไม่รู้จักนั่งคุยกันอยู่
พวกลู่เจียวเข้ามา จ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ยก็เงยหน้าทักทาย และแนะนำคนข้างกายพวกเขาให้ลู่เจียวรู้จัก
“ท่านนี้ก็คือท่านอวี้กว่างเฉวียน พ่อค้าใหญ่ในอำเภอชิงเหอ ทำการค้าสมุนไพร”
พอจ้าวหลิงเฟิงแนะนำ ลู่เจียวก็เข้าใจว่าทำไมจ้าวหลิงเฟิงเชิญคนผู้นี้มา วันหน้าพวกเขาเปิดโรงผลิตยา ต้องใช้สมุนไพรจำนวนมาก คนผู้นี้อาจจะกลายเป็นพ่อค้าจัดหาสมุนไพรในวันหน้า
ลู่เจียวพยักหน้าให้อวี้กว่างเฉวียน จากนั้นก็แนะนำอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังให้ทุกคนรู้จัก
อาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังอำเภอชิงเหอได้รับความเคารพจากผู้คนอย่างมาก ดังนั้นพวกจ้าวหลิงเฟิงก็รีบคารวะอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังอย่างกระตือรือร้นในทันที เชิญให้พวกเขานั่ง
ในห้องรับรอง ทุกคนพูดจากันอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเหล่ยก็เอ่ยว่า “วันนี้เชิญทุกท่านมาก็เพื่อขอให้ทุกท่านได้เป็นสักขีพยานในพิธีคารวะอาจารย์ของข้า ข้านามฉีเหล่ย มาจากเมืองหลวง ตระกูลฉีเราเป็นหมอมาทุกรุ่นอายุคน แต่ละรุ่นล้วนมีคนเข้าวังเป็นหมอหลวง ตอนนี้ผู้ที่เข้าวังเป็นหมอหลวงก็คือบิดาข้า”
“แม้ฟังแล้วตระกูลข้าเองก็ไม่เลว แต่วิชาการแพทย์ข้ากลับไม่ได้ร้ายกาจ วิชาการแพทย์อาจารย์ข้าจึงจะเรียกได้ว่าร้ายกาจแท้จริง แม้ไม่อาจกล่าวว่าสุดยอดไร้เทียมทาน แต่ก็ร้ายกาจอย่างที่สุด ดังนั้นวันนี้ข้าขอคารวะนางเป็นอาจารย์”
ฉีเหล่ยกล่าวจบก็คุกเข่าคำนับลู่เจียวอย่างนอบน้อม “อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากศิษย์”
ในเมื่อลู่เจียวตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์ นอกจากอายุแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าตระกูลฉีเหล่ยถึงกับไม่เลวเช่นนี้ แต่ละรุ่นล้วนเป็นหมอ ยังเข้าวังเป็นหมอหลวง
นางสานสัมพันธ์ตระกูลฉี ก็นับว่าได้เส้นสายคอยช่วยเหลือตนแล้ว แม้ว่าตำแหน่งหมอหลวงในวังหลวงไม่ค่อยสูงมาก แต่สถานะก็มีชื่อเสียงไม่เบา
“ในเมื่อข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ก็จะทุ่มเทสอนวิชาการแพทย์ที่ข้ามีแก่เจ้าในฐานะอาจารย์ ข้ามีวาจาสองสามประโยคกำชับเจ้า พวกเราเป็นหมอ ไม่ว่าทำอะไร ขอเพียงไม่ผิดศีลธรรมในใจ ก็ทำไป พวกเราไม่ใช่เทวดา ไม่จำเป็นต้องวางตนสูงส่งเกินไป พวกเรามีความสามารถ ก็พยายามทุ่มเทความสามารถไปรักษาและช่วยเหลือผู้อื่น หากไม่อาจช่วยได้ก็อย่าได้ฝืน”
ลู่เจียวกล่าวจบ คนในห้องรับรองก็พากันมองนาง เพราะคำพูดนางเห็นชัดว่าไม่เหมือนที่เคยได้ยินมา หมอหลายคนมักว่าตนเองสูงส่งไร้ความเห็นแก่ตัว กลับกัน ลู่เจียวกลับไม่เหมือน
ฉีเหล่ยเองก็คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก เพราะคำสอนในตระกูลพวกเขาก็คือไม่อาจนำวิชาแพทย์ทำร้ายผู้อื่น ไม่อาจนำวิชาแพทย์ทำเพื่อส่วนตัว ไม่อาจนำวิชาแพทย์ไปช่วยคนก่อกรรม เป็นหมอต้องพยายามทุ่มเทกำลังช่วยรักษาผู้ป่วย ไม่เสียดายแม้ชีวิตตน
ฉีเหล่ยคิดถึงนิสัยลู่เจียว ในใจก็เข้าใจ อาจารย์ก็เป็นคนเช่นนี้ แต่จากที่อยู่ด้วยกันมานาน เขารู้สึกว่านางเช่นนี้ดีมาก
ในห้องรับรอง จ้าวหลิงเฟิงเตือนฉีเหล่ย “เจ้าไม่ได้เตรียมของขวัญมอบให้อาจารย์เจ้าหรือ”
ฉีเหล่ยได้สติทันที เอื้อมมือไปหยิบกล่องแพรสวยหรูหกใบบนโต๊ะข้างๆ มาน้อมส่งให้
“อาจารย์ นี่คือของขวัญที่ศิษย์มอบแด่อาจารย์ ขออาจารย์โปรดรับไว้”
ลู่เจียวมองกล่องแพรสวยหรูหกใบ ไม่เพียงแต่มีของนาง ยังมีของเจ้าหนูน้อยทั้งสี่และของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ฉีเหล่ยมีน้ำใจแท้
รับศิษย์เช่นนี้ ในใจลู่เจียวก็ดีใจมาก แม้ว่าฉีเหล่ยอายุมากกว่านาง แต่ระยะนี้เอาแต่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกอาจารย์ นางเองก็จริงใจที่จะรับเขาเป็นศิษย์ ดังนั้นระยะนี้นางก็เขียนหนังสือเรียบเรียงการรักษาของนางมาตลอด ตอนนี้อักษรตัวเต็มก็เขียนได้ส่วนหนึ่งแล้ว
“เจ้ามอบของขวัญให้อาจารย์ ข้าเองจะไม่มอบของขวัญให้เจ้าได้อย่างไร”
ลู่เจียวกล่าวจบก็หยิบหนังสือที่เขียนด้วยลายมือตนเองเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้ฉีเหล่ย กล่าวว่า “นี่คือหนังสือที่เขียนด้วยลายมือที่อาจารย์ข้าสืบทอดให้กับข้า ข้าคัดลอกส่วนหนึ่งให้เจ้า ก็พอจะผ่าตัดได้แล้ว วันหน้าอ่านหนังสือนี้ให้มาก ครุ่นคิดไตร่ตรองให้มาก หากมีตรงไหนไม่เข้าใจก็มาขอคำชี้แนะจากข้าได้”
ลู่เจียวกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อเป็นคำตอบให้กับทุกคนในที่นี้ ไม่งั้นอาศัยอายุนางแค่นี้ จะทำการผ่าตัดมากมายเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน
ทุกคนยกเว้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่รู้แก่ใจ หนังสือลู่เจียวน่าจะเป็นนางเขียนจากการผ่าตัดที่เคยทำมา คิดถึงประสบการณ์มากมายเช่นนี้ ก็รู้ว่านางเคยผ่าตัดให้คนมามากมายเท่าไรแล้ว
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นมีประกายแห่งความเลื่อมใสเปล่งออกมา พร้อมกับความรู้สึกยินดีอย่างที่สุด นี่คือผู้หญิงที่เขาชอบ นางเช่นนี้คู่ควรแก่การทุ่มเท ไล่ตามและรอคอยของเขา
ในห้องรับรอง ฉีเหล่ยรับหนังสือมาอย่างตื้นตัน โขกศีรษะให้ลู่เจียวอีกครั้ง
ของขวัญที่อาจารย์มอบให้นี้ สูงค่ายิ่งกว่าของขวัญเขามากนัก
“ศิษย์ขอบคุณอาจารย์”
จ้าวหลิงเฟิงรีบยกน้ำชาเข้ามาส่งให้ “รีบคารวะน้ำชาอาจารย์เจ้า”
ฉีเหล่ยรีบวางหนังสือไว้อีกทาง ยกน้ำชาอย่างนอบน้อมให้ลู่เจียว “เป็นอาจารย์หนึ่งวันดังบิดาชั่วชีวิต แม้ว่าอาจารย์อายุน้อย แต่ในเมื่อข้าคารวะอาจารย์แล้ว ก็คือศิษย์ของอาจารย์ วันหน้าอาจารย์ก็คือผู้ใหญ่ที่ข้าจะให้ความเคารพดังบิดา ศิษย์ชีวิตนี้จะจดจำคำสั่งสอนอาจารย์ไว้”
ลู่เจียวยื่นมือรับน้ำชามาดื่มไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “คุณธรรมเจ้า ข้ารู้ เชื่อว่าเจ้าจะทำได้ดีกว่าอาจารย์ ดังนั้นข้าก็ไม่ขอกล่าวมาก ลุกขึ้นเถอะ วันหน้าข้าจะทุ่มเทสอนเจ้าผ่าตัด”
ฉีเหล่ยรับคำเสียงดังกังวาน ค่อยๆ ลุกขึ้น
ในห้องจ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ยได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็สบตากันทันที ส่งสายตาให้กันและกันว่า ลู่เหนียงจื่อก็รู้ตัวเองเหมือนกันนี่ ถึงกับรู้ว่าฉีเหล่ยทำได้ดีกว่านาง ไม่ต้องพูดถึงในสถานะหมอ ฉีเหล่ยก็เหมือนหมอยิ่งกว่าจริงๆ ลู่เหนียงจื่อไม่เหมือนเท่าไร บางทีก็เหมือนทำอะไรตามใจตนเองมากไป
แต่วิชาการแพทย์นางก็สูงส่งจริง พวกเขาไม่กล้าแสดงออกนอกหน้าแม้แต่น้อย
ในห้องรับรอง งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นทันที ทุกคนคุยกันครึกครื้นถึงวิชาการแพทย์ของลู่เจียวขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่าลู่เหนียงจื่ออายุน้อยๆ วิชาการแพทย์ถึงกับร้ายกาจเช่นนี้”
อาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังความจริงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการรักษาของลู่เจียวมานานแล้ว แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า วิชาการแพทย์ลู่เจียวจะสูงส่งเช่นนี้
ทั้งสองคนแปลกใจมาก มองใบหน้าลู่เจียวอายุยังน้อย ยังคงมีสีหน้ายากจะเชื่อ
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “วิชาแพทย์ไร้ที่สิ้นสุด ก็ไม่นับว่าร้ายกาจอะไร ก็แค่พวกเขายกย่องกันไปเท่านั้น”
นางเพิ่งกล่าวจบ ในห้องเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เห็นด้วย พากันกล่าวว่า “ท่านลุงอาจารย์ใหญ่ วิชาการแพทย์ท่านแม่ข้าร้ายกาจมาก คนในหมู่บ้านพวกเราต่างเรียกนางว่าหมอเทวดา”
“นางไม่เพียงแต่รักษาอาการป่วยได้ ยังล่าสัตว์ ปีนต้นไม้ได้ด้วย”
เอ้อร์เป่ากล่าวจบ คนในห้องก็มองไปยังลู่เจียวทันที ที่แท้เจ้ายังเป็นลู่เหนียงจื่อเช่นนี้ด้วย ใบหน้าลู่เจียวราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดจะส่งเสียงดุเอ้อร์เป่าว่าอย่าได้พูดจาเหลวไหล
ไม่คิดว่า ลู่เจียวส่งสายตาปรามเขา แม้ว่าอายุน้อย แต่ไม่อาจตำหนิต่อหน้าคนอื่นข้างนอก จะทำให้เขาเสียหน้า มีอะไรไว้ค่อยคุยกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหยุดทันที ซานเป่ากล่าวต่ออีกว่า “ข้าโตขึ้น ก็จะเรียนวิชาการแพทย์กับท่านแม่ จะเป็นหมอเทวดาร้ายกาจเหมือนท่านแม่”