เฝิงจือแอบหรี่ตามองเหนียงจื่อ เห็นอยู่ว่าคนเขาอยากแต่งเข้ามาเป็นอนุบ้านตระกูลเซี่ย คุณชายไม่เอาเขา คนเขาถึงได้เสียใจไปแต่งกับผู้อื่นไหม
แต่นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
ยามนี้หลินต้าลากรถม้ามาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ลู่เจียวพาเฝิงจือเตรียมขึ้นรถม้าไปหอยาเป่าเหอ ให้จ้าวหลิงเฟิงส่งคนมาพาไปสามโรงผลิต
ไม่คิดว่านางเพิ่งเดินถึงข้างรถม้า ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงเรียก “ลู่เจียว”
ลู่เจียวหันไปเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นพาหลินตงเดินมา
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยถามว่า “มีอะไรหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่ายหน้า ถามอย่างห่วงใยกล่าวว่า “พวกเจ้าไปไหนกัน”
ลู่เจียวกล่าวออกไปอย่างไม่สนใจนักว่า “ไปหอยาเป่าเหอ ให้จ้าวหลิงเฟิงส่งคนมาพาข้าไปดูที่ก่อสร้างสามโรงผลิตหน่อย”
พอลู่เจียวกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เลิกคิ้วทันที กล่าวตามจริง แม้ว่าเขารู้ว่าลู่เจียวใกล้ชิดกับจ้าวหลิงเฟิงเพื่อการค้า แต่เขามักรู้สึกว่าสายตาจ้าวหลิงเฟิงมองลู่เจียวอย่างไรก็มีความหมายอื่นอยู่ไม่น้อย ดังนั้นสัญชาตญาณเขาจึงรู้สึกไม่วางใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิด มองไปยังลู่เจียวกล่าวว่า “ข้าไปดูกับเจ้า”
ลู่เจียวแปลกใจเลิกคิ้ว “เจ้าไม่ไปชี้แนะทบทวนตำราให้พวกนักเรียนแล้วหรือ”
“ตอนเที่ยงกลับมาค่อยแวะไปดู เจ้าคงไม่ใช่ไม่ต้อนรับข้าใช่ไหม ข้าอยากช่วยเจ้าดูการก่อสร้างสามโรงผลิตหน่อย ไม่แน่อาจให้ความเห็นอะไรเจ้าได้”
ลู่เจียวพอได้ฟัง รู้สึกว่าความคิดนี้ก็ไม่เลว
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นแค่ซิ่วไฉ แต่เขามักออกไปท่องเที่ยวหาความรู้ ได้พบเห็นอะไรมาไม่น้อย ไม่แน่อาจให้ความเห็นพวกนางได้
“ได้ ขึ้นรถ”
ลู่เจียวยิ้มตาหยีรับคำ เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังรีบตามนางขึ้นรถ
พอเขาขึ้นรถม้าก็หันไปสั่งเฝิงจือว่า “วันนี้ข้าดูแลเหนียงจื่อเอง เจ้าอยู่บ้านดูแลคุณหนูทั้งสี่ละกัน”
เฝิงจือดีใจรับคำทันที แม้ว่าเหนียงจื่อไม่ค่อยอยากพบหน้าคุณชาย แต่นางก็ยังรู้สึกว่าเหนียงจื่อควรอยู่ข้างกายคุณชาย หากคุณชายไม่ดีกับนาง เฝิงจืออาจจะสนับสนุนเหนียงจื่อ แต่เห็นกันอยู่ว่าคุณชายดีกับเหนียงจื่อมาก ทำไมเหนียงจือไม่อาจยอมรับคุณชายได้กัน
ในรถม้า ลู่เจียวเห็นเฝิงจือเดินตัวปลิวไปอย่างรวดเร็วก็ไร้วาจาจะกล่าว มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นบ่นว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่านางฟังคำสั่งเจ้ามากกว่าข้านะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบยิ้มกล่าวว่า “อาจเพราะนางรู้สึกว่ารถม้านั่งไม่สะดวก ดังนั้นจึงได้รู้ตัวกลับเข้าบ้านไปเอง”
ลู่เจียวคิดแล้วก็เห็นตามนี้จริง ก็ไม่ได้พูดมากต่อ
หลินตงนั่งอยู่ข้างหลินต้าบิดาเขา ทั้งสองคนขับรถม้าไปยังหอยาเป่าเหอ
ลู่เจียวถึงหอยาเป่าเหอ คิดถึงขุนพลหวังในหอยาเป่าเหอ ก็แอบคิดได้ว่าตนเองจำเป็นต้องพาเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปเดินผ่านหน้าขุนพลหวังสักหน่อย วันหน้าก็จะได้มีเส้นสายเพิ่มอีกช่องทาง
“มา ข้าพาเจ้าไปดูคนที่ก่อนหน้านี้ข้าผ่าตัดต่อแขนให้ผู้นั้น”
พอลู่เจียวกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พอเดาออกว่าสถานะคนแขนขาดนั่นน่าจะไม่ธรรมดา พร้อมกับเข้าใจความคิดลู่เจียวว่าอยากให้เขามีเส้นสายช่องทางเพิ่ม ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก รับคำทันที
“อืม”
ทั้งสองคนเดินไปยังห้องที่ท่านอาหวังพักรักษาตัว ในห้องจ้าวหลิงเฟิงกับฉีเหล่ยและพวกม่อเป่ยนั่งอยู่
ขุนพลหวังบนเตียงมองดูแล้วกระปรี้กระเปร่ามาก พอเห็นลู่เจียวมาก็ส่งเสียงเรียกอย่างดีใจ “คุณชายลู่ เจ้ามาแล้วหรือ”
ลู่เจียวยิ้มเข้าไปด้านหน้าขุนพลหวัง ตรวจอาการดูรอบหนึ่ง จากนั้นก็ยืนยันว่า “ท่านฟื้นฟูได้ดีมาก เช่นนี้หากดูแลรักษาดีๆ ไม่เหนือความคาดหมาย แขนนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร อีกสองเดือนก็จะทำกายภาพเองได้”
ขุนพลหวังร้อนใจถามทันที “ทำอย่างไร”
“ออกกำลังกาย ฝึกยกของ ถือของ น้ำหนักจากเบาไปหนัก ค่อยๆ ฟื้นฟู”
“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยมมากจริงๆ ขอบคุณคุณชายลู่จริงๆ หากไม่มีคุณชายลู่ แขนข้างนี้ของข้าก็คงพิการไปแล้ว คุณชายลู่มีพระคุณต่อข้า วันหน้าข้าจะต้องตอบแทนอย่างดี”
ขุนพลหวังได้รู้จากฉีเหล่ยแล้วว่า อาจารย์เขาผู้นี้วิชาการแพทย์ร้ายกาจมาก เขาเป็นขุนพล วันหน้ายากจะไม่ประสบเหตุบาดเจ็บแต่ละอย่าง หมอคนนี้เขาต้องคบหาสมาคมดีๆ หากประสบเหตุอีก ไม่แน่ยังต้องขอให้เขาลงมือช่วยเหลือ
ขุนพลหวังยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ สายตาที่มองลู่เจียวก็ยิ่งเป็นมิตรอย่างที่สุด
แน่นอนว่าเขาเองก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นข้างกายลู่เจียว
หน้าตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นโดดเด่นยิ่ง ทำให้คนคิดมองข้ามก็ไม่อาจทำได้
ขุนพลหวังอดชี้ไปที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ ถามว่า “ท่านนี้คือ?”
เพื่อช่วยเหลือเซี่ยอวิ๋นจิ่น ลู่เจียวเองก็ไม่ถือสาที่จะเปิดเผยสถานะหญิงของตนเอง ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เขาคือสามีข้า เซี่ยอวิ๋นจิ่น ซิ่วไฉอำเภอชิงเหอ ปีหน้าจะเข้าร่วมสอบเซียงซื่อ”
คำพูดลู่เจียวทำเอาขุนพลหวังบนเตียงฟังแล้วถึงกับอึ้งไปทันที สามี?
เขาอึ้งตะลึงมองลู่เจียว จากนั้นก็มองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ราวกับถูกสายฟ้าฟาด ตกใจฟ้าผ่า
ในห้อง ม่อเป่ยรู้ว่าขุนพลหวังคิดมากไปแล้ว อดหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาไม่ได้
จ้าวหลิงเฟิงถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย รีบอธิบายขุนพลหวังว่า “ความจริงคุณชายลู่เป็นสตรี เพื่อป้องกันคำครหาและความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น จึงแต่งกายเป็นชาย เซี่ยซิ่วไฉท่านนี้ก็คือสามีของนาง”
ขุนพลหวังตั้งสติได้แล้ว หันไปจ้องมองลู่เจียว มองรูปโฉมอ่อนโยนของลู่เจียวออกจริงด้วย เป็นผู้หญิงจริงๆ
ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่เป็นห่วงอาการตนเอง ไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก
ขุนพลหวังคิดเข้าใจแล้วก็มีสีหน้าเป็นปกติ เขายิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “เจ้านี่ ทำเอาตกใจหมด”
กล่าวจบก็หันไปทักทายเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เซี่ยซิ่วไฉ ลู่เหนียงจื่อคือผู้มีพระคุณของข้า วันหน้าเจ้าต้องดีกับนางหน่อย หากข้ารู้ว่าเจ้าทำให้นางทุกข์ใจ ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
ลู่เจียวราวกับมีแสงสีดำพาดผ่านใบหน้า นางมาหาเส้นสายให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ไม่ได้คิดให้เขามาคอยหนุนหลังนาง
น่าเสียดายขุนพลหวังไม่สนใจเรื่องนี้ มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้วก็เตือนอีกว่า “อย่าคิดว่านางไม่มีคนหนุนหลัง พวกเราจะหนุนหลังให้นางเอง ไม่เพียงแต่ข้า ยังมีตระกูลฉีเองก็จะคอยให้การหนุนหลังนาง”
ในห้องจ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ยฉวยโอกาสก่อกวน “ยังมีข้าด้วย”
“ข้าด้วย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นราวกับมีแสงสีดำพาดผ่านใบหน้า มองทุกคนในห้อง
ลู่เจียวกลัวเขาโมโห จะทำเอาทุกคนไม่มีความสุขกัน รีบกล่าวว่า “ท่านอาหวัง สามีข้าดีกับข้ามาก ท่านวางใจได้ เขาไม่มีทางไม่ดีกับข้า”
ก็หย่าแล้ว ไม่ดีก็ให้เขาไสหัวไปสิ
ในห้องขุนพลหวังได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็หัวเราะนาง “ดูท่าลู่เหนียงจื่อปวดใจแทนสามีตนเข้าแล้ว ข้าเพิ่งพูดไม่กี่คำ ก็ออกมาปกป้องแล้ว เอาละ ข้าไม่พูดแล้วๆ”
ขุนพลหวังกล่าวจบก็จ้องมองลู่เจียว ก่อนจะแปลกใจอีกครั้ง “หญิงคนหนึ่ง วิชาการแพทย์ร้ายกาจเช่นนี้ เป็นหญิงแปลกหาได้ยากจริง”
การผ่าตัดต่อแขนแม้แต่หมอทหารในกองทัพ ก็ไม่อาจทำได้ดีกว่านาง เขาเคยเห็นหมอทหารผ่าตัด
นั่นมันเรียกได้ว่าน่ากลัวมาก คนที่ได้เห็นต่างตกใจเก็บไปฝันร้าย ต่อมาบาดแผลยังเน่าและบวม การผ่าตัดน่ากลัวมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือมีบางคนหลังผ่าตัดก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ บอกว่าติดเชื้อหลังผ่าตัดตาย
เขาช่างโชคดีจริงที่ได้มาพบคนเช่นนี้