เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้สติทันที มองสตรีงดงามกระจ่างตรงหน้า นาทีนั้นเขาคิดเข้าไปกุมมือนางมากล่าวอย่างอ่อนโยนว่า เจียวเจียว พวกเราใช้ชีวิตกันให้ดีๆ เถอะนะ วันหน้าข้าจะดีต่อเจ้า แต่สติสัมปชัญญะเตือนเขาไว้ว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “สายแล้ว เจ้าเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เข้านอนเร็วหน่อยเถอะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันหลังก้าวออกไป ลู่เจียวคิดถึงสีหน้าไม่ค่อยดีนักของเขาก่อนหน้านี้ขึ้นมา น่าแปลก นี่เกิดอะไรขึ้นอีก
แต่นางก็เหนื่อยจริงๆ นางหันหลังเดินไปอาบน้ำก่อนจะเข้าห้องนอนไปอย่างสบายใจ
แต่ก่อนนอน นางยังเข้าไปในห้วงอากาศรอบหนึ่ง ในห้วงอากาศมีสมุนไพรที่ก่อนหน้านี้นางปลูกไว้โตแล้ว นางจึงเก็บออกมา ที่เอามาทำเมล็ดพันธุ์ได้ก็เก็บไว้ ที่ไม่อาจเอามาเพาะพันธุ์ได้นางก็นำไปทำเป็นสมุนไพรเก็บไว้ นอกจากนี้นางยังนำที่ดินมาเพาะปลูกสมุนไพรใหม่หมด สภาพการเติบโตงดงามดีมาก
ไม่รู้ว่าจ้าวหลิงเฟิงซื้อที่ดินให้นางเสร็จแล้วหรือยัง หากเสร็จแล้ว นางก็จะหาเวลาไปดูที่ผืนนั้นสักหน่อยว่าเหมาะจะปลูกอะไร
สามโรงผลิตต้องการวัตถุดิบจำนวนมากถึงตอนนั้นนางก็จะดูความต้องการว่าควรปลูกอะไร แต่ลู่เจียวคิดถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ว่า เหมือนนางควรหาคนมาดูแลที่ดินหนึ่งพันหมู่นี้แทนนาง คนผู้นี้จะไปหาจากที่ไหน
เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เจียวบอกเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่าตอนเช้าจะพาพวกเขาไปเลือกของที่จำเป็นสำหรับการเรียน เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ดีใจมาก พูดคุยกันอย่างมีความสุขไม่หยุดว่าอีกสักครู่จะซื้ออะไรบ้าง
ตอนเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาถึง พวกลูกๆ ยังหารือเรื่องนี้กันอยู่
“ท่านแม่จะซื้อหนังสือมากมายวางไว้บนชั้นหนังสือ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ผลัดกันอ่านได้”
“ข้าอยากให้ท่านแม่เขียนนิทานเรื่องแม่ทัพ พวกเจ้ารู้ไหม แม่ทัพนั่นก็คือข้า ข้าจะให้ท่านแม่เขียนเรื่องข้า เขียนว่าข้าร้ายกาจอย่างไร ปราบปรามคนชั่วอย่างไร”
เอ้อร์เป่าพูดจนตื่นเต้นไปหมด มือเท้าก็สะบัดออกท่าออกทางเหมือนว่าตนเองคือแม่ทัพ
ซานเป่ากับซื่อเป่ามองแล้วก็เตือนเขาว่า “ท่านแม่บอกว่าหากเจ้าไม่เรียนหนังสือ วันหน้าเป็นได้แค่พลทหารจูงม้าให้แม่ทัพ ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้เรียนหนังสือ ดังนั้นตอนนี้เจ้ายังไม่อาจเป็นแม่ทัพ ตอนนี้เจ้าเล่นเป็นได้แค่พลทหารจูงม้าให้แม่ทัพ”
“ใช่ รอให้เจ้าสอบซิ่วไฉได้ก่อน เจ้าจึงจะไปเป็นแม่ทัพได้ ตอนนี้เจ้าเป็นไม่ได้”
เอ้อร์เป่าถูกน้องสองคนรื้อเวที ก็ไม่พอใจมาก ฮึดฮัดจ้องมองน้องทั้งสองคนกล่าวว่า “งั้นถ้าข้าไม่เล่นเป็นแม่ทัพ แล้วใครเล่น พวกเจ้าหรือ พวกเรามาสู้กันดูว่าใครจะได้เป็นแม่ทัพ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนำหลินตงเดินเข้ามาพอดี ได้ฟังบทสนทนาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นมาทันที “พูดอะไรกันแต่เช้า”
เอ้อร์เป่าวิ่งไปตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่น ฟ้องบิดาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากแสดงเป็นแม่ทัพ พวกเขาเอาแต่ว่าข้าเล่นเป็นได้แค่พลทหารจูงม้าให้แม่ทัพ ข้าไม่เอา”
นอกห้อง ลู่เจียวนำเฝิงจือกับยายเฒ่าชิวยกอาหารเช้าเข้ามา ได้ยินคำพูดเอ้อร์เป่าก็นึกขำ รับคำกล่าวว่า “เจ้านี่อยากเป็นแม่ทัพจริงๆ เลยนะ เจ้าลูกชาย”
นางกล่าวจบมองไปทางต้าเป่า ซานเป่าและซื่อเป่า “พวกเราให้เขาเล่นเป็นแม่ทัพให้หนำใจก่อนได้ จากนั้นเขาก็จะพยายามเรียนหนังสือเอง”
ต้าเป่า ซานเป่าและซื่อเป่าคิดแล้วก็เห็นด้วย “ได้ งั้นก็ให้เจ้าเป็นแม่ทัพ”
เอ้อร์เป่าดีใจขึ้นมาทันที เงยหน้ามองลู่เจียวพลางถามว่า “ท่านแม่ พวกเราจะได้เล่นเป็นแม่ทัพกันตอนไหน”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “รอแม่จัดห้องเรียนเสร็จก่อน ซื้อของเสร็จ พวกเราก็เล่นเป็นแม่ทัพกัน”
เอ้อร์เป่ายิ้มอย่างดีใจทันที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟังพวกเขาพูดกันแล้วก็ถามลู่เจียวอย่างห่วงใย “วันนี้เจ้าจะพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปซื้อของหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า “เดิมอยากไปซื้อเมื่อวาน ทว่าเมื่อวานเสียเวลาไป วันนี้ว่าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จะไปซื้อของกับลูกๆ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบกล่าวว่า “ข้าไปกับพวกเจ้าด้วย”
ลู่เจียวกลับห้ามเขาไว้ การสอบย่วนซื่อใกล้จะมาถึงแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นรับเงินคนเขามาแล้ว ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจชี้แนะทบทวนตำราให้พวกเขา
“เอาละ เจ้าทบทวนตำราให้นักเรียนดีกว่า รับเงินเขามาแล้ว อย่างไรก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ จะได้ไม่ถูกคนเอาไปนินทา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย ได้แต่กล่าวกับลู่เจียวว่า “ก็ได้ เจ้าพาคนไปช่วยเจ้าดูแลเพิ่มอีกสองคน พาลู่กุ้ยกับเฝิงจือไปด้วย หลินตงก็ควรพาไป ส่วนหลินซีป่วยยังไม่ค่อยหายดี ไม่อาจให้ติดตามไปได้”
ลู่เจียวเองก็ไม่วางใจเรื่องเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เท่าไร จึงรับปาก ”ได้”
หลังอาหารเช้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำชับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่าต้องเชื่อฟังลู่เจียว อย่าได้วิ่งซนไปทั่ว เพราะพวกเขามีกันสี่คน หากวิ่งซนไปทั่ว ท่านแม่ดูแลพวกเขาไม่ไหว อาจเกิดเรื่องได้ง่าย
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบรับรองอย่างว่านอนสอนง่าย “ท่านพ่อวางใจ พวกเราไม่วิ่งซุกซน”
ต้าเป่าสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าจะคอยดูพวกเขาไว้”
ท่าทางเหมือนเด็กที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่
ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นจิ่นวางใจ ลู่เจียวกลัวเขากำชับต่ออีก จึงรีบพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดินออกไป พร้อมกับเรียกพวกลู่กุ้ยและเฝิงจือไปด้วยกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นนางอยากไปจนทนไม่ไหวแล้ว ก็อดขำไม่ได้ เดินตามหลังพวกเขาออกจากบ้านตระกูลเซี่ยไปเช่นกัน
หลินต้าลากรถม้ามารอแล้ว ลู่เจียวกับลู่กุ้ยและเฝิงจือพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขึ้นรถม้า หลินตงนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังมองคนบนรถม้าที่ดูเบียดกันจริงๆ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ ครุ่นคิดว่าบ้านพวกเขาควรเพิ่มรถม้าอีกคัน ไม่งั้นวันหน้าออกไปไหนมาไหนจะไม่สะดวก
แต่เรื่องซื้อรถม้านั้นง่าย ทว่าการซื้อคนขับต้องหารือกับลู่เจียวสักหน่อย
ขณะเซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าเหมือนครุ่นคิด ประตูบ้านตระกูลซูก็เปิดออก เฉินเจาตี้น้องสะใภ้สวีเหนียงจื่อยืนพิงอยู่หน้าประตูใหญ่มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยสายตาโกรธแค้น ท่าทางเหมือนหญิงอาฆาตมาดร้าย
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นอดเย็นเยียบลงไม่ได้ ก้าวเท้าเดินผ่านประตูใหญ่บ้านตระกูลซูไปยังบ้านเช่าอย่างไม่สนใจเฉินเจาตี้สักนิด เฉินเจาตี้อดตะโกนเรียกไม่ได้ “นี่ เซี่ยซิ่วไฉ อย่างไรพวกเราก็เพื่อนบ้านกัน ทำไมพบหน้ากันไม่ทักทายสักคำ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่แม้แต่จะเหลือบมองนาง สาวเท้าก้าวเดินต่อไปทันที
เฉินเจาตี้โมโห ปิดประตูส่งเสียงด่าทอก่อนจะเดินเข้าบ้าน พอเงยหน้ามาเจอสามีตนเองสีหน้าดำทะมึนกำลังมองนางอยู่ ด้านหลังเขายังมีสวีเหนียงจื่อพี่สะใภ้ใหญ่มองนางด้วยสีหน้าสะใจ
เฉินเจาตี้กำลังโมโห อ้าปากก็คิดด่าทอสวีเหนียงจื่อ แต่สามีนางก้าวเข้ามาลงมือก่อน
“นังชั้นต่ำ ข้าก็ว่าสองวันนี้ทำไมเจ้าเอาแต่แล่นมาที่นอกประตู ที่แท้คิดล่อลวงซิ่วไฉข้างบ้าน เจ้าคิดว่าสามีเจ้าตายไปแล้วหรือไร”
ซูหวาน้องชายซูต้าไห่เดิมก็เป็นอันธพาล แม้ว่าตนเองชอบให้ท่าสตรี แต่กลับไม่ยอมให้คนของตนไปให้ท่าชายอื่น เดิมเขาไม่ทันสังเกตพฤติกรรมภรรยา ผู้ใดจะรู้ว่าสวีเหนียงจื่อมาบอกเขา
ตอนแรกซูหวายังไม่ค่อยเชื่อ พอวิ่งออกมาดู ก็เห็นภรรยาตนเองกำลังส่งสายตาล่อลวงซิ่วไฉข้างบ้านอยู่
ซูหวาโมโหจนขาดสติ วิ่งไปกระชากเฉินเจาตี้มาตบตี “คิดสวมเขาให้ข้าหรือ เฉินเจาตี้ เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก นังชั้นต่ำ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”