นอกห้องทุกคนล้วนคิดกันไปต่างๆ นานา แม่สามีสวีเหนียงจื่อส่งเสียงร้องไห้ขึ้นก่อน “สวีโต้ว ลูกสะใภ้ผู้น่าสงสารของข้า ทำไมเจ้าคิดไม่ตกฆ่าตัวตาย ชีวิตดีๆ เช่นนี้ เจ้าถึงกับคิดไม่ตกจนต้องฆ่าตัวตาย นี่น่าจะสติไม่ค่อยดี”
เฉินเจาตี้กลอกลูกตาแล้วก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวว่า “พี่สะใภ้ เกรงว่าคงเพราะหลิวเซียงตั้งครรภ์จึงได้คิดไม่ตก พี่สะใภ้ที่น่าสงสารของข้า ทนลำบากมามากมายเท่าไร สุดท้ายถึงกับฆ่าตัวตาย”
คำพูดเฉินเจาตี้เข้าหูซูต้าไห่ ในใจเขาก็ยิ่งเศร้าเสียใจ แม้แต่หลิวเซียงที่กำลังร้องไห้ก็ไม่คิดสนใจแล้ว
นอกห้องไม่ว่าร้องไห้จริงหรือปลอม ต่างผสานเสียงปะปนรวมกันไปหมด
ในห้อง พลันมีเสียงร้องไห้ราวกับจะขาดใจดังแว่วออกมา “ซิ่วเอ๋อร์”
“ท่านแม่”
สวีเหนียงจื่อฟื้นขึ้นมาเห็นบุตรสาวร่ำไห้หนัก ในใจก็ปวดร้าว ยกมือกอดบุตรสาวร่ำไห้ด้วยกัน
สองแม่ลูกอย่าได้เอ่ยว่าเศร้ารันทดใจเพียงใด
นอกห้อง ทุกคนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้องก็พากันหยุดร้องไห้พร้อมกัน
ในนั้นมีหลิวเซียงที่มีสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ ผลักมือปราบจ้าวออก ตนเองพุ่งเข้าไปในห้อง
ซูต้าไห่เองก็ตามไปติดๆ
ในห้องเดิมสวีเหนียงจื่อถูกพวกเขาวางไว้ที่พื้นไร้ลมหายใจไปแล้ว ตอนนี้ถึงกับกอดบุตรสาวตนเองร่ำไห้อย่างไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย หากไม่ใช่ที่คอนางยังมีรอยสีม่วงคล้ำ ทุกคนคงสงสัยว่าพวกเขาตาฝาด
แม่สามีสวีเหนียงจื่อเอ่ยอย่างหวาดกลัวขึ้นมาทันที “นางไม่ได้ตายแล้วหรือ ทำไมยังมีชีวิตอยู่ได้”
สวีเหนียงจื่อได้ยินวาจาแม่สามีตนเองก็หันไปมอง ก่อนหน้านี้นางผูกคอตายก็เพราะกระทบกระเทือนจิตใจ ตอนนี้คิดดูแล้วนางช่างโง่เขลาเสียจริง ฆ่าตัวตายเพราะครอบครัวแล้งน้ำใจดังสุนัขเช่นนี้ วันหน้าบุตรสาวนางจะทำเช่นไร บิดามารดานางที่แก่ชราจะทำเช่นไร
สวีเหนียงจื่อคิดตกแล้ว นางผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้พลันได้สติรู้ ตายไม่กลัว แล้วจะยังต้องกลัวคนเลวพวกนี้อีกหรือ
สวีเหนียงจื่อมองไปยังแม่สามีตน กล่าวเสียดสีว่า “ไม่ทำเรื่องผิดบาป ไม่กลัวผีสางเรียกหายามค่ำคืน ท่านแม่ไม่ได้ทำเรื่องผิดบาป ไยต้องกลัวข้า”
ในห้องซูต้าไห่กลับไม่กลัวสวีเหนียงจื่อ เขาเดินไปข้างกายสวีเหนียงจื่อ ยองตัวลงมองนาง “สวีโต้ว เจ้าอยู่ดีๆ ฆ่าตัวตายทำไม หากเจ้าไม่เห็นด้วยที่ข้ายกหลิวเซียงเป็นภรรยาเอกคนที่สอง ข้าก็จะไม่ให้นางเป็น”
ซูต้าไห่เองก็นึกเสียใจภายหลังแล้ว
หลิวเซียงคิดไม่ถึงว่าสวีเหนียงจื่อฆ่าตัวตายที ตำแหน่งภรรยาเอกคนที่สองตนเองก็หายวับไป ก็ร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ แต่เห็นคนในห้องมากมาย นางไม่กล้าพูดอะไรมาก
สวีเหนียงจื่อบนพื้นเงยหน้าขึ้นมาก็ตบหน้าซูต้าไห่อย่างไม่ไว้หน้า
พอซูต้าไห่ถูกตบ สองผู้เฒ่าบ้านตระกูลซูต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน แม่สามีสวีเหนียงจื่อก้าวออกมาด่าทอเสียงดัง “นังชั้นต่ำ เจ้ากล้าตบบุตรชายข้า เจ้ามันตัวอะไร ถึงกับกล้าลงมือตบผู้ชาย ลูกไห่รีบหย่ากับนางเร็ว รีบให้นางไสหัวออกจากบ้านตระกูลซูไป”
สวีเหนียงจื่อได้ฟังแม่สามี ก็ดิ้นรนลุกขึ้นตบซูต้าไห่อีกที
ซูต้าไห่ได้สติ ยื่นมือคว้ามือสวีเหนียงจื่อไว้ โมโหตวาดดังว่า “สวีโต้ว เจ้าทำอะไร”
สวีเหนียงจื่อหัวเราะดังลั่น มองซูต้าไห่ด่าทอว่า “ข้าตบเจ้าคนเนรคุณ จิตใจดังสุนัข เจ้าน่าจะลืมไปว่าตอนนั้นที่แต่งกับข้า เจ้าเป็นอย่างไร แม้แต่เสื้อผ้าที่พอดูได้ก็ไม่มี ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ท่านพ่อเจ้าท่านแม่เจ้าก็ไม่สนใจเจ้า เรื่องพวกนี้เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ”
“ตอนข้าแต่งกับเจ้า เจ้ารับรองกับท่านพ่อท่านแม่ข้าอย่างไร เจ้าซูต้าไห่ชีวิตนี้จะไม่ผิดต่อข้า หากผิดต่อข้าสวีโต้ว ชีวิตนี้ไม่ตายดี”
“ซูต้าไห่ ข้าจะรอดูกรรมตามสนองเจ้า คนเราไม่อาจสาบานเรื่อยเปื่อย สาบานแล้วก็ต้องรับ”
ซูต้าไห่สีหน้าแปรเปลี่ยน พร้อมกับนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาได้มากมาย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายเขายื่นมือไปคว้ามือสวีเหนียงจื่อไว้
“ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรขอให้ยกหลิวเซียงเป็นภรรยาเอกคนที่สอง วางใจ วันหน้าข้าจะไม่ยกหลิวเซียงเป็นภรรยาเอกคนที่สองแน่”
“สวีโต้ว วันหน้าข้าจะดีกับเจ้า เมื่อก่อนข้าผิดไปแล้ว เจ้าไม่ชอบน้องรองกับน้องสะใภ้ให้อยู่บ้านเราใช่ไหม ข้าจะรีบให้พวกเขากลับบ้านนอกไป อีกอย่าง เรื่องในบ้านก็มอบให้เจ้าจัดการ”
คนในห้องบ้านตระกูลซูต่างพากันสีหน้าแปรเปลี่ยน
ลู่เจียวเงยหน้ามองซูต้าไห่ พบว่าสีหน้าเขามีแววสำนึกผิด เพียงแต่สวีเหนียงจื่อจะยอมอยู่กับเขาต่อไหม
ลู่เจียวเพิ่งคิดจบ สวีเหนียงจื่อก็เอ่ยว่า “ซูต้าไห่ ข้าจะหย่ากับเจ้า เจ้าไม่ได้อยากจะยกหลิวเซียงเป็นภรรยาเอกคนที่สองหรือ ไม่จำเป็นต้องให้นางเป็นภรรยาเอกคนที่สอง ข้ายกตำแหน่งข้าให้นางไปเลยก็ได้”
ซูต้าไห่มองสวีเหนียงจื่ออย่างตกใจ
แม้ว่าซูต้าไห่รับอนุ ทำให้สวีเหนียงจื่ออัดอั้นตันใจ แต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยอมรับสวีเหนียงจื่อเป็นภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียว และเขามักรู้สึกว่าตนเองจากลูกชาวนามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะดวงสวีเหนียงจื่อเกื้อกูลสามี ดังนั้นซูต้าไห่ไม่อยากแยกจากสวีเหนียงจื่อ
“สวีโต้ว ทำไมต้องมีเรื่องถึงขั้นหย่าด้วย เจ้าว่ามา เจ้าต้องการอะไร เอ่ยมาได้เลย”
วาจานี้กล่าวได้ใหญ่โต ขอเพียงสวีเหนียงจื่อเสนอมา เขาก็จะรับปาก แม้สวีเหนียงจื่อเสนอให้ท่านพ่อท่านแม่เขากลับบ้านนอกไป เขาก็เห็นด้วย
คำพูดนี้หากกล่าวตอนสวีเหนียงจื่อยังไม่ผูกคอตาย สวีเหนียงจื่อย่อมซาบซึ้งใจ และอยู่กับเขาต่อ แต่น่าเสียดายนางตายไปแล้วครั้งหนึ่ง นางหมดหวังกับผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ
“ซูต้าไห่ หากข้าถูกเฉินเจาตี้ตบตี เจ้าออกมายืนข้างข้า ไม่แน่ข้ายังอาจซึ้งใจเจ้า หากเจ้าไม่ปล่อยให้หลิวเซียงตั้งครรภ์ ข้าไม่แน่ยังอาจไม่คิดมาก เจ้ามักจะเข้าข้างนาง นางก็แค่ของเล่นไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกเราหย่ากันเถอะ ข้าไม่เอาอะไรทั้งนั้น ต้องการแค่ซิ่วเอ๋อร์คนเดียว”
ส่วนบุตรชายเป็นพวกบ้านตระกูลซู ก็ทิ้งไว้ที่บ้านตระกูลซูละกัน
แต่บุตรสาวนางไม่อาจทิ้งไว้บ้านตระกูลซูได้ มีนังปีศาจคอยยุแหย่อยู่ บุตรสาวนางอยู่บ้านตระกูลซูจะดีได้อย่างไร ไม่แน่หลังจากนางไปได้ไม่นาน บุตรสาวนางก็คงถูกส่งไปเป็นอนุคนรวย
ในห้องสีหน้าซูต้าไห่ย่ำแย่อย่างมาก ปฏิเสธว่า “ไม่ได้ ข้าไม่ยอมหย่า”
แววตาสวีเหนียงจื่อมองซูต้าไห่เย็นเยียบ ไม่ได้มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย มีเพียงน้ำค้างแข็งหนาวเหน็บ
“เจ้าไม่ยอม? เจ้ามีสิทธิ์อะไรไม่ยอม ตั้งแต่ท่านแม่เจ้ายัดเยียดอนุให้เจ้า ในสายตาเจ้ายังมีภรรยาอย่างข้าอยู่ไหม วันๆ เจ้านอกจากกกกอดกับหญิงนั่น ยังพานางไปทำการค้าด้วย อ้างเสียสวยหรูว่าต้องการคนดูแล ซูต้าไห่เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ ข้าไม่รู้ว่าใจเจ้าละโมบเรือนร่างอ่อนเยาว์ของนาง ละโมบวาจาหวานๆ ที่นางปลอบประโลมเจ้าหรือ”
สวีเหนียงจื่อกล่าวถึงสุดท้าย รู้สึกว่าตนเองช่างไม่คุ้มค่า ชีวิตนางเสียเปล่าเพราะไอ้คนไม่ได้เรื่องพรรค์นี้ ทั้งยังมีบุตรชายที่ร่ำเรียนหนังสือจนโง่เง่าไปแล้ว
สวีเหนียงจื่อครุ่นคิดไปมาแล้วก็พลันคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ ในปีนั้นเหมือนว่าซูต้าไห่ให้คนเขียนเอกสารหนึ่งมอบให้นางไว้เพื่อแสดงความจริงใจในการแต่งงานกับนาง ยังประทับรอยนิ้วมือเขาไว้ด้วย
สวีเหนียงจื่อพลันหัวเราะดังขึ้น นางมองซูต้าไห่ ค่อยๆ กล่าวว่า “ซูต้าไห่ เจ้าคงไม่ลืมใช่ไหม เจ้าเคยเขียนอะไรให้ข้าไว้ ในนั้นเขียนไว้ชัดเจนว่า หากวันหน้าเจ้าซูต้าไห่รับอนุ ผิดต่อข้า วันหน้าสมบัติบ้านตระกูลซูให้ตกเป็นของข้าสวีโต้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกอย่างในบ้านตระกูลซูเป็นของข้าสวีโต้วแล้ว”