ซูหวาดูท่าทางแข็งแรง แต่ความจริงไร้เรี่ยวแรง ตีไปได้ไม่กี่ทีก็หมดแรง เฉินเจาตี้ไม่ได้เสียเปรียบอะไร แต่นางโมโหมาก ถือโอกาสตอนที่ซูหวาลงมือไม่ไหว พุ่งเข้าใส่สวีเหนียงจื่อ
นังชั้นต่ำนี่กล้าให้ร้ายนาง จะต้องจัดการนาง
สวีเหนียงจื่อไม่ได้หลบ ที่วันนี้นางทำเช่นนี้ก็เพื่อถือโอกาสที่ซูต้าไห่อยู่บ้าน ให้เขาได้เห็นว่าน้องชายและน้องสะใภ้แสนดีของเขาทำกับนางอย่างไร
นางเองก็จะได้ถือโอกาสนี้ให้เขาไล่น้องชายและน้องสะใภ้แสนดีออกไป ไม่อาจไล่สองผู้เฒ่า ก็ไล่สองตัวเล็กก่อน
ดังนั้นพอสวีเหนียงจื่อตกอยู่ในมือเฉินเจาตี้ก็นิ่งไม่ขยับ
เฉินเจาตี้จิกผมสวีเหนียงจื่อเต็มแรงได้ก็ตบตีทันที
คนในบ้านตระกูลซูตกใจกันอย่างมาก บุตรชายบุตรสาวสวีเหนียงจื่อก็วิ่งออกมา ทั้งสองคนวิ่งไปยืนอยู่ด้านหน้าสวีเหนียงจื่อ ออกแรงกระชากเฉินเจาตี้
เฉินเจาตี้เองก็ตีจนเหนื่อยแล้ว ได้แต่ปล่อยมือลุกขึ้นยืน ยามนี้นางเบิกบานใจมาก เชอะ นังชั้นต่ำ กล้ามาพูดจาเหลวไหลกับคนของนาง นางก็จะจัดการเสีย
ยามนี้สวีเหนียงจื่อพูดไม่ออก เสื้อผ้าถูกกระชากหลุดลุ่ย ผมก็ถูกกระชากหลุดร่วงไม่น้อย หน้าตายังมีรอยฟกช้ำบวม ดูแล้วน่าอนาถมาก
ไม่เพียงแต่สวีเหนียงจื่อกับบุตรชายหญิงสองคน แม้แต่ซูต้าไห่สามีนางก็มา พอเห็นก็ขมวดคิ้ว โมโหจ้องมองเฉินเจาตี้ถามว่า “น้องสะใภ้ เจ้าตบตีพี่สะใภ้เจ้าทำไม”
สวีเหนียงจื่อหลั่งน้ำตาพอดี ยามนี้นางมองดูแล้วน่าสงสารมาก
ซูต้าไห่เห็นนางเช่นนี้ก็อดสงสารไม่ได้ นี่เป็นภรรยาแต่งที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเขา มาถูกคนนอกรังแก ซูต้าไห่รู้สึกทนรับไม่ได้
สัญชาตญาณบอกให้เขาเข้าไปปลอบใจสวีเหนียงจื่อ ไม่คิดว่าสตรีด้านหลังซูต้าไห่กลับส่งเสียงเรียกอ่อนโยนขึ้นว่า “พี่ไห่ ถามสาเหตุก่อนดีไหม เจาตี้ไม่ใช่คนตบตีคนอื่นไร้เหตุผล”
สตรีอ่อนโยนผู้นี้ก็คือหลานสาวญาติทางฝ่ายมารดาของแม่สามีสวีเหนียงจื่ ชื่อว่าหลิวเซียง
ซูต้าไห่ได้ฟังคำหลิวเซียง ก็ลืมเข้าไปปลอบใจสวีเหนียงจื่อ
สวีเหนียงจื่อมองผู้ชายตรงหน้าเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างรันทดขึ้น นี่คือผู้ชายที่ตนรัก คนที่เห็นดีเห็นงามกับสาวงามก่อนเสมอ สิ่งที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ล้วนเป็นดังสุนัขผายลม
ผู้ชายได้แต่ร่วมทุกข์ ไม่อาจร่วมสุข
ประสบการณ์สั่งสอนครั้งนี้ นางต้องบอกบุตรสาวนาง วันหน้าอย่าได้เดินบนเส้นทางเดียวกับนาง
ซูต้าไห่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองไปยังเฉินเจาตี้ “เจ้าตบตีพี่สะใภ้เจ้าทำไม”
เฉินเจาตี้เดิมเริ่มกลัว ปรากฏพอหลิวเซียงเอ่ย พี่ชายสามีนางก็ไม่ตำหนินางเท่าไรแล้ว เฉินเจาตี้รีบเอ่ยด้วยท่าทางเศร้าใจว่า “เช้ามาข้าก็ออกไปเดินเล่นนอกบ้านหน่อย พี่สะใภ้ถึงกับมาบอกซูหวาว่าข้าไปล่อลวงผู้ชาย พี่ใหญ่ หากพวกพี่รับข้าไม่ได้ก็บอกพวกเรามาตรงๆ ไยต้องพูดจาให้ร้ายคนอื่นเช่นนี้ด้วย”
เฉินเจาตี้กล่าวจบ ซูหวาด้านหลังก็กล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้มาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าข้า ข้าโมโหก็เลยลงมือกับเจาตี้ ดังนั้นนางจึงได้โมโหตบตีพี่สะใภ้ พี่อย่าได้ตำหนินาง”
แม้ว่าซูหวาไม่ใช่คนดี แต่ก็รู้ว่าหากเฉินเจาตี้ตบตีพี่สะใภ้ตนเองอย่างไร้เหตุผล พี่ชายเขาย่อมไม่ปล่อยไว้แน่ ต้องไล่พวกเขาออกไปแน่
ดังนั้นเขาจึงรีบรับคำเฉินเจาตี้ว่าสวีเหนียงจื่อเป็นคนหาเรื่องก่อน
ซูต้าไห่ได้ฟังคำเฉินเจาตี้สองสามีภรรยา ก็หันไปตำหนิสวีเหนียงจื่อ “มีพี่สะใภ้อย่างเจ้าด้วยหรือ ครอบครัวสามัคคีเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่เจ้ากลับหาเรื่อง เจ้าทำข้าผิดหวังจริงๆ”
สีหน้าซูต้าไห่ผิดหวัง สวีเหนียงจื่อคิดไม่ถึงว่าที่ทำมาทุกอย่างล้วนพังทลายสิ้น เห็นตนเองบาดเจ็บเช่นนี้ สามียังตำหนินาง นางพลันหมดใจ ยิ้มมองซูต้าไห่อย่างรันทดใจ
“ซูต้าไห่ ที่นี่ยังเป็นบ้านข้าไหม ตอนเจ้ายากจนไม่มีกิน ขอถามเจ้าว่า ญาติเจ้า อนุเจ้า พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน ตอนนี้เจ้ามีเงิน ญาติเจ้าก็ดาหน้ากันออกมา ข้าล่ะ กลายเป็นคนนอกไปแล้ว”
สวีเหนียงจื่อกล่าวจนสุดท้ายก็หัวเราะดังลั่น หันหลังเดินกลับเรือนด้านหลังไป
บุตรชายนางนิ่งไม่ขยับ บุตรสาวนางกลับโมโห จ้องมองซูต้าไห่ก่อนจะไล่ตามมารดาไป
ซูต้าไห่เห็นท่าทางสวีเหนียงจื่อก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา แต่หลิวเซียงรีบกดหน้าอกตนเองส่งเสียงอาเจียนออกมาเสียงหนึ่ง
ซูต้าไห่ห่วงใยหลิวเซียงขึ้นมาทันที “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวเซียงก้มหน้าเอียงอาย “พี่ไห่ ข้าอาจมีข่าวดีแล้ว”
ซูต้าไห่ยังไม่เข้าใจ เฉินเจาตี้กับซูหวารีบเข้ามาแสดงความยินดี “ยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย มีลูกเพิ่มอีกคนแล้ว”
ในที่สุดซูต้าไห่ก็เข้าใจคำพูดของหลิวเซียงว่าหมายความว่าอย่างไร เขาดีใจกอดหลิวเซียงไว้ทันที
ซูเหลียงเฉินบุตรชายคนโตพวกเขาที่อยู่ด้านหลัง ยืนอึ้งมองทุกอย่างตรงหน้า เหมือนว่าคนเหล่านี้เป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนเขาเป็นคนนอก
ลู่เจียวไม่รู้ว่าหลังพวกนางจากมา ตระกูลซูจะเกิดเรื่องเหล่านี้ นางพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปที่ร้านหนังสือก่อน ร้านหนังสือมีหนังสือมาก แต่หนังสือที่เหมาะกับเด็กมีน้อยมาก กว่าจะหาได้สองสามเล่มก็ไม่ง่าย เป็นพวกภูมิศาสตร์ธรรมชาติ และภูมิศาสตร์มนุษย
พอลู่เจียวได้เห็นแล้วก็ตัดสินใจว่าไว้กลับไปจะเขียนหนังสือสองสามเล่มวางไว้ในห้องให้เด็กอ่านออกเสียงกัน
ซื้อหนังสือเสร็จ ก็ยังซื้อเครื่องเขียนไม่น้อย ยังมีสีไว้สำหรับวาดภาพ ในยุคนี้สีมีไม่มาก มีแต่แม่สีหลักไม่กี่สี ต้องซื้อกลับไปผสมสีใหม่เองสักหน่อย
ลู่เจียวซื้อสีที่ใช้ได้กลับไป ยังซื้อเข็มด้ายและผ้าให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ด้วย เอาไว้ให้เด็ก ๆ ทำงานฝีมือ เด็กจำเป็นต้องขยับนิ้วมือให้มากๆ ทำงานละเอียดบ้าง เพื่อฝึกให้รู้จักดูแลตนเอง
ลู่เจียวพาลู่กุ้ย เฝิงจือและหลินตงไปซื้อของที่จำเป็นกองโต
เพราะยากจะได้ออกมาสักครั้ง ลู่เจียวยังซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่คนละสองชุด ไม่เพียงแต่ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปและรองเท้า ยังซื้อเครื่องประดับที่เข้ากัน เช่นผ้ารัดผม หยกประดับไว้ห้อยทับบนเสื้อผ้า
หยกประดับที่ก่อนหน้านี้หลี่อวี้เหยามอบให้นั้นเอาไว้ประดับคอ ลู่เจียวซื้อหยกประดับไว้สำหรับห้อยที่เอวทับเสื้อผ้าให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ยังซื้อกำไลเงินและสร้อยเงินงานฝีมือประณีตให้พวกเขาชุดหนึ่ง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นของเหล่านี้ก็ร้องเสียงดังขึ้นอย่างดีใจยิ่ง ความยินดีปรีดาเปล่งประกายในแววตา
ซานเป่าเป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุด เด็กที่ไม่ค่อยชอบพูดที่สุดก็ตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่หยุด
“ท่านแม่ สร้อยเงินนี้เข้ากับเสื้อสีน้ำเงินที่ท่านแม่ซื้อให้ข้ามาก หากใส่คู่กับผ้ารัดผมสีน้ำเงิน ต้องงามมากแน่ๆ”
“หยกประดับสีขาวนี้นำไปเข้ากับเสื้อผ้าสีขาวงาช้าง ต้องสง่างามยิ่งอย่างแน่นอน”
“โอ๊ย ตอนนี้เสื้อผ้าข้ามากเหลือเกิน วันหน้าใส่ไม่หมดแล้ว”
ลู่เจียวเห็นบุตรชายที่อยู่ๆ ก็เอาแต่พูดไม่หยุด ก็ไร้วาจาจะกล่าว ลูบศีรษะเขากล่าวว่า “ลูกเอ๊ย วันหน้าของของเจ้าก็จะยิ่งมากยิ่งขึ้น พวกเจ้าอย่าได้ตื่นเต้นขนาดนี้เลย”
ซานเป่ามองลู่เจียวกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “แต่ท่านแม่ ยังไงข้าก็ดีใจมาก”