ลู่เจียวถูกนางทำเอาเขิน ยิ้มกล่าวว่า “ท่านย่าหลิวอย่าตื่นเต้นมากจนเกินไป ข้าเป็นหมอ ขอเพียงข้ารักษาได้ ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจรักษาเขาให้หาย ท่านอย่าร้อนใจไป นั่งลงฟังข้าค่อยๆ พูดก่อน”
ท่านย่าหลิวกับท่านปู่หลิวนั่งลงข้างหลิวจื่อเหยียน จนถึงตอนนี้ก็ยังแทบไม่อยากจะเชื่อ ลู่เหนียงจื่อ จะรักษาเขาให้หายจากโรคหนาวเหน็บได้จริงหรือ วันหน้าเขาไม่กลัวความหนาว ไม่ป่วยอีกแล้ว?
หลิวจื่อเหยียนแอบรู้สึกไม่มั่นใจที่ได้ยิน ลู่เจียวกล่าวว่า “เพราะเป็นโรคหนาวเหน็บมานานเกินไป ดังนั้นแม้รักษาหายได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานานมาก และต้องใช้เงินทองมาก?”
ลู่เจียวยังกล่าวไม่จบ ท่านย่าหลิวก็กล่าวอย่างยากจะระงับอารมณ์ตื่นเต้นว่า “ลู่เหนียงจื่อ เจ้ารักษาไปได้เลย เงินทองไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงรักษาหลานชายข้าหายได้ แม้ต้องหมดตัว ข้าก็ต้องรักษาเขา”
ท่านปู่หลิวพยักหน้าเต็มแรง “ใช่ พวกเรารักษา บ้านเรามีเงิน ขอเพียงรักษาอาการป่วยจื่อเหยียนหายได้ ไม่ว่าเงินทองเท่าไร ข้ายอมจ่าย”
ลู่เจียวมองไปยังสองผู้เฒ่าตระกูลหลิว ฟังจากวาจาพวกเขาก็รู้ว่าตระกูลหลิวดูท่าจะไม่ขาดแคลนเงินทอง
นางมองทั้งครอบครัว คนแก่และคนป่วย ไม่มีแรงงานสักคน แต่กลับไม่ขาดแคลนเงินทอง นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าตระกูลหลิวย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ได้ งั้นข้าขอบอกวิธีการรักษาก่อน การรักษาแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน ขั้นแรกฝังเข็ม ขั้นสองแช่ยา หลักๆ แล้วก็เพื่อเสริมความอบอุ่นให้กับไต ขับไล่ความเย็นในร่างกาย ขั้นสาม ดื่มยา ยาที่ดื่มไม่เพียงแต่บำรุงพลังไต แต่ยังขับไล่ความเย็นและบำรุงโลหิต ปรับสมดุลร่างกาย”
“พวกเราก็ทดลองกันหนึ่งเดือนก่อน ดูว่าหากได้ผล ข้าค่อยปรับยาไปตามอาการ”
ลู่เจียวกล่าวจบก็มองไปยังครอบครัวตระกูลหลิว กล่าวว่า “พวกท่านว่าได้ไหม”
“ได้ ได้ ทำตามลู่เหนียงจื่อว่ามา”
ท่านย่าหลิวกล่าวจบก็หันไปมองหลิวจื่อเหยียนกล่าวว่า “จื่อเหยียนเอ๊ย เรียกท่านพี่สิ วันหน้าลู่เหนียงจื่อก็คือพี่สาวแท้ๆ ของเจ้า”
ในห้องโถง เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวและหลิวจื่อเหยียนต่างพากันนิ่งอึ้ง
ท่านย่าหลิวยังเร่งต่อ “จื่อเหยียน ย่าพูดกับเจ้าอยู่นะ”
หลิวจื่อเหยียนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหก ค่อนข้างหน้าบาง ถูกท่านย่าหลิวเร่งเช่นนี้ ใบหน้าก็แดงก่ำ เขามองท่านย่าหลิวแล้วก็กล่าวว่า “ท่านย่า ยังไม่รู้ว่าลู่เหนียงจื่อจะยินยอมไหมเลยนะ”
ลู่เจียวรีบรับคำกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ยินยอม วันหน้าเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านพี่”
หลิวจื่อเหยียนรีบมองลู่เจียวเรียกขึ้น “ท่านพี่”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่พอใจอย่างมาก ทำไมพริบตาเดียว ลู่เจียวก็กลายเป็นพี่สาวหลิวจื่อเหยียน
หลิวจื่อเหยียนเรียกลู่เจียวว่าท่านพี่อย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นรีบหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “พี่เขย”
พอเรียกพี่เขยออกไป ก็ทำเอาเซี่ยอวิ๋นจิ่นดีใจ สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก
ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวมองภาพตรงหน้าอย่างดีใจ จากนั้นก็มองลู่เจียวกล่าวว่า “เจียวเจียว รอให้จื่อเหยียนหายก่อน พวกเราก็จะจัดโต๊ะเลี้ยง ให้จื่อเหยียนรับเจ้าเป็นพี่สาวอย่างเป็นทางการ”
ลู่เจียวเดิมคิดว่าตระกูลหลิวพูดไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียว หลิวจื่อเหยียนก็จะมารับนางเป็นพี่บุญธรรมอย่างเป็นทางการแล้ว รีบกล่าวอย่างเกรงใจว่า “ท่านย่าหลิวไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้”
“ไม่ได้ หากเจ้ารักษาจื่อเหยียนหาย ก็เท่ากับเป็นผู้มีพระคุณมอบชีวิตให้เขา นับถือเจ้าเป็นพี่สาวถือว่าเขาได้ประโยชน์ด้วยซ้ำไป ดังนั้นโต๊ะเลี้ยงนี้ยังไงก็ต้องจัด”
ลู่เจียวรีบเปลี่ยนบทสนทนา กล่าวว่า “จื่อเหยียน งั้นข้าฝังเข็มให้เจ้าก่อน อีกสักครู่ค่อยเขียนเทียบยาแช่และยากินให้เจ้า แต่ยากินซื้อเสร็จแล้ว เอามาให้ข้าดูก่อน”
คนตระกูลหลิวรีบพยักหน้าเห็นด้วย ลู่เจียวให้คนตระกูลหลิวเอายาที่หลิวจื่อเหยียนจะต้องดื่มมาให้ดู ก็เพื่อเติมน้ำพุจิตวิญญาณลงไปในยา
หากไม่เติมน้ำพุจิตวิญญาณ ยานี้ก็ไม่มีผลอะไร อย่าว่าแต่สามเดือน แม้ครึ่งปีหนึ่งปีก็เกรงว่าไม่อาจทำให้สุขภาพเขาฟื้นคืนดังเดิมได้
ลู่เจียวเริ่มฝังเข็มให้หลิวจื่อเหยียน เซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่เป็นเพื่อนนางราวหนึ่งก้านธูป
พอลู่เจียวดึงเข็มออก ก็กลับไปเรือนด้านหลังเขียนเทียบยาสองชุด ชุดหนึ่งไว้อาบ ชุดหนึ่งไว้ดื่ม
เฝิงจือเอาเทียบยาทั้งสองชุดมอบให้สองผู้เฒ่าตระกูลหลิว ทั้งสองตื้นตันใจรีบรับเทียบยาออกไปจัดยาที่หอยาเป่าเหอทันที
เพราะเฝิงจือบอกกับพวกเขาว่า ยาที่หอยาเป่าเหอครบครันที่สุด ร้านอื่นไม่แน่ว่ายาอาจไม่ครบ ถึงตอนนั้นวิ่งไปมาสองร้านก็ยุ่งยากยิ่ง
สองผู้เฒ่าได้ฟังเฝิงจือก็ไม่ได้คิดมากอะไร รับเทียบยาแล้วก็ตรงไปจัดยาที่หอยาเป่าเหอ
ผู้จัดการหลี่เห็นอักษรบนเทียบยาแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นลู่เจียวเขียนเอง ก็รีบจัดยาตามเทียบยาให้เรียบร้อย สองผู้เฒ่าดีใจมาก นำยากลับมามอบให้ลู่เจียวที่บ้าน ให้ลู่เจียวตรวจสอบ และนำอีกส่วนกลับบ้าน
ลู่เจียวเติมน้ำพุจิตวิญญาณลงในยาดื่ม จากนั้นก็ให้เฝิงจือนำไปส่งที่ตระกูลหลิว
ตอนบ่าย เดิมลู่เจียวคิดจะไปหอยาเป่าเหอหาจ้าวหลิงเฟิงถามเรื่องที่ดินพันหมู่สักหน่อย ปรากฏจ้าวหลิงเฟิงถึงกับพาฉีเหล่ยมาด้วยตนเอง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่เช่าบ้านอยู่แถวนั้น พอรู้ก็รีบพาหลินตงกลับบ้าน
“ท่านจ้าวมาดูบุตรสาวหรือ”
จ้าวหลิงเฟิงเห็นท่าทางป้องกันราวกันหมาป่าของเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไร้วาจาจะกล่าว
แต่คิดถึงว่าตอนนี้บุตรสาวตนเองอยู่บ้านคนอื่น และลู่เจียวก็แสดงท่าทีปกป้องสามีตนเองอย่างเห็นได้ชัด เขาจะพูดอะไรได้ อย่างไรก็ไม่ควรล่วงเกินเขา จะทำให้เขาไล่บุตรสาวตนเองกลับไปอีก
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวว่า “ใช่ เซี่ยซิ่วไฉว่างหรือ”
ลู่เจียวไม่ได้สนใจวาจาเอาชนะคะคานกันของทั้งสองคน นางกล่าวกับฉีเหล่ยข้างๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ ข้ามอบตำราเล่มนั้นให้เจ้าไป อ่านแล้วมีตรงไหนไม่เข้าใจไหม”
ฉีเหล่ยยิ้มกล่าวว่า “วันนี้ที่มาก็มีสองสามจุดอยากขอคำชี้แนะจากอาจารย์”
เขากล่าวจบก็ควักตำราออกมาขอคำแนะนำจากลู่เจียวอย่างละเอียด
ลู่เจียวตั้งใจอธิบายให้ฉีเหล่ยฟังอย่างละเอียด เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว พยักหน้าไม่หยุด จ้าวหลิงเฟิงข้างๆ ขอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นพาเขาไปดูสถานที่เรียนของบุตรสาว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นวางใจฉีเหล่ยมาก ทั้งสองคนคือศิษย์อาจารย์ มีอะไรไม่วางใจกัน
เขาลุกขึ้นพาจ้าวหลิงเฟิงเดินไปยังที่เด็กๆ เรียนหนังสือกัน ยังเดินไม่ทันถึงก็ได้ยินในห้องมีเสียงดังแย่งกันพูดดังมา
“โอย ข้าเย็บติดกันแล้ว”
“ของข้าทำไมเบี้ยวเล่า”
“ของข้าก็เป็น ทางนี้เย็บไปถึงทางนั้นแล้ว”
พวกลูกทั้งสี่เรียนวิชาเย็บปักครั้งแรก ท่านอาจารย์ซือให้พวกเขาใช้เข็มเย็บถุงสี่เหลี่ยม ปรากฏมีคนเย็บผ้าติดกันเป็นก้อน มีบางคนเย็บจากทางนี้ไปถึงทางนั้น ในบรรดาเด็กเหล่านี้ คนที่ทำได้ดีที่สุดก็คือหูหลิงเสวี่ย
แม้ว่าหูหลิงเสวี่ยอายุแค่ห้าขวบ แต่นางเกิดในจวนตระกูลหู และยังมีท่านย่าที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียมอย่างมากเช่นนั้น แม้หูหลิงเสวี่ยแค่ห้าขวบ แต่ก็ถูกย่าตนเองบังคับให้เริ่มเย็บปักแล้ว ดังนั้นวิชานี้ไม่ยากอะไรสำหรับนาง
ท่านอาจารย์ซือเห็นถุงผ้าหูหลิงเสวี่ยก็เอ่ยชมว่า “พวกเจ้าดู หูหลิงเสวี่ยของพวกเราเย็บถุงนี้สิ สวยขนาดไหน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบหันไปมอง พอเห็นแล้วก็ชมหูหลิงเสวี่ย “พี่เสี้ยวเสี้ยว พี่เย็บได้สวยมากจริงๆ”
“ใช่ พี่เสี้ยวเสี้ยวสวย เย็บอะไรก็สวย”
ครั้งนี้แม้แต่หันตงเซิ่งกับหันหนานเฟิงเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่”
จ้าวอวี้หลัวเห็นแล้วก็เท้าเอวทำแก้มป่องมองเพื่อนในห้อง ไม่พอใจกล่าวว่า “ก็แค่เย็บถุงไหม มีอะไรเก่งกาจกัน บ้านข้ามีคนงานหญิงตัดเย็บ ไม่ต้องให้ข้าเย็บถุงเอง ฮึ”