พอลู่เจียวกล่าว หลิ่วไหลตี้ยิ่งร้องไห้หนัก “ขอบคุณเหนียงจื่อ ขอบคุณเหนียงจื่อที่มอบทางรอดชีวิตให้พวกเราสองแม่ลูก”
ลู่เจียวบอกให้เฝิงจือพานางออกไป ให้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาก่อน
เฝิงจือรับคำพานางออกไป ลู่เจียวกล่าวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่า “พอเห็นนาง ข้าจึงได้รู้ว่าผู้หญิงดำรงชีวิตข้างนอกลำบากมาก”
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นเปล่งประกาย เขาหันไปมองลู่เจียว เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าข้างนอกลำบาก ไม่หย่าแล้วใช่ไหม
แต่ลู่เจียวกลับเสริมอีกประโยคว่า “แต่ลำบากอย่างไรก็น่าจะทำอะไรข้าไม่ได้”
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันหมองลง ดูท่าเขายังต้องพยายามต่อไป
วันรุ่งขึ้น ลู่เจียวให้ลู่กุ้ยนำเงินไปบ้านหลัวซินซื่อจัดการเรื่องรับตัวหลัวเสี่ยวยามาจากตระกูลหลัว ไม่ว่าตระกูลหลัวต้องการเงินเท่าไรก็ต้องพานางกลับมาให้ได้ ให้สองผู้เฒ่าตระกูลหลัวประทับลายนิ้วมือไว้เป็นหลักฐานด้วย
ตอนบ่ายลู่กุ้ยก็รับตัวหลัวเสี่ยวยากลับมาจากตระกูลหลัว ตระกูลหลัวละโมบอย่างมาก อ้าปากทีก็ต้องการสามสิบตำลึง ลู่กุ้ยผ่านการฝึกฝนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ย่อมต้องชำนาญในการต่อรองกับคนพวกนี้ สุดท้ายได้ตัวหลัวเสี่ยวยาจากตระกูลหลัวมาในราคายี่สิบตำลึง ซื้อตัวมาได้แล้วก็ให้ปู่และย่าหลัวเสี่ยวยาประทับลายนิ้วมือ
หลัวเสี่ยวยาอายุแค่เจ็ดขวบ แต่เพราะทำงานหนักทั้งปี กินก็น้อย ทำให้ตัวผอมแกร็น ดูแล้วตัวใหญ่กว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เล็กน้อยเท่านั้น
หลิ่วไหลตี้เห็นบุตรสาวเช่นนี้ก็ปวดใจจนหลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมา ความจริงก่อนหน้านี้นางก็คิดจะพาบุตรสาวออกมาจากตระกูลหลัวแล้ว แต่สองผู้เฒ่าตระกูลหลัวเห็นหลัวเสี่ยวยาทำงานได้ ยืนยันไม่เห็นด้วยที่จะให้นางพาบุตรสาวมาด้วย
“เสี่ยวยา แม่ไม่ดีเอง แม่ไม่ควรทิ้งเจ้าไว้เช่นนั้น”
หลัวเสี่ยวยาเห็นมารดาก็ดีใจมาก กอดนางไว้ไม่ยอมปล่อยมือ “ท่านแม่ ท่านอย่าได้ทิ้งข้าไป ข้าทำงานได้เยอะ กินน้อย วันหน้าจะเชื่อฟังท่านแม่ ท่านอย่าได้ไม่ต้องการข้า”
หลิ่วไหลตี้ร้องไห้เจ็บปวดใจยิ่งขึ้น ในห้องโถง เฝิงจือเห็นแล้วก็ตาแดง ลู่เจียวเองก็ไม่ได้ห้ามพวกนางสองแม่ลูกร่ำไห้อย่างปวดใจ ปล่อยให้ร้องไห้ปลดปล่อยความอัดอั้นในใจออกมาให้หมดก็ดี
หลิ่วไหลตี้กับหลัวเสี่ยวยาสองคนร้องไห้กันได้พักหนึ่ง ในที่สุดก็หยุดร้อง หลิ่วไหลตี้ดึงมือหลัวเสี่ยวยามากล่าวอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวยา ที่เจ้าออกจากกองไฟเช่นตระกูลหลัวมาได้ก็เพราะเหนียงจื่อช่วยเจ้า ดังนั้นพวกเราต้องรู้คุณและตอบแทนคุณ วันหน้าต้องทุ่มเทรับใช้เหนียงจื่อ รู้ไหม”
หลัวเสี่ยวยาอายุเจ็ดขวบรู้ความแล้ว รีบรับคำอย่างว่านอนสอนง่าย “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่”
หลิ่วไหลตี้จูงมือหลัวเสี่ยวยามาคุกเข่าขอบคุณลู่เจียว “ขอบคุณเหนียงจื่อ”
นำตัวเสี่ยวยาออกจากบ้านตระกูลหลัวใช้เงินไปถึงยี่สิบตำลึง กล่าวตามตรง การที่นางจะขายตัวเองและเลี้ยงดูเสี่ยวยาที่อายุน้อยขนาดนี้ไปด้วย หากเป็นบ้านคนอื่นย่อมไม่รับปาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยี่สิบตำลึง ในใจหลิ่วไหลตี้ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจลู่เจียว และแอบสาบานในใจว่า วันหน้านางจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้เหนียงจื่อ
ลู่เจียวแสดงท่าทางบอกให้พวกนางสองแม่ลูกลุกขึ้น และกล่าวกับพวกนางว่า “ข้าจะเปลี่ยนชื่อให้พวกเจ้าแล้วกัน วันหน้าบ้านเราไม่มีคนชื่อหลิ่วไหลตี้กับหลัวเสี่ยวยาแล้ว”
หลิ่วไหลตี้กับหลัวเสี่ยวยาแทบจะสลัดทุกสิ่งทุกอย่างเดิมทิ้งอยู่แล้ว สองแม่ลูกสองคนรีบพยักหน้าเห็นด้วย “ขอเหนียงจื่อตั้งชื่อให้ด้วย”
ลู่เจียวคิดแล้วก็กล่าวว่า “หลิ่วไหลตี้ก็ชื่อหลิ่วอัน ชีวิตจากนี้ราบรื่นสงบสุข หลัวเสี่ยวยาก็ชื่อว่าหลิ่วฝู ชีวิตจากนี้มีแต่โชควาสนา”
หลิ่วไหลตี้ ไม่สิ หลิ่วอันได้ฟังก็ดีใจมาก คุกเข่าหมอบชิดพื้น “ขอบคุณเหนียงจื่อที่ตั้งชื่อให้”
นางโขกเสร็จก็ให้บุตรสาวหลิ่วฝูโขกศีรษะให้ลู่เจียว
หลิ่วฝูโขกศีรษะให้ลู่เจียวอย่างดีใจ เมื่อก่อนนางไม่มีชื่อ[1] ตอนนี้นางมีชื่อแล้ว และยังเป็นชื่อไพเราะเช่นนี้ ชีวิตจากนี้มีแต่โชควาสนา ชื่อนี้เพราะมาก
ลู่เจียวมองไปยังหลิ่วอันกับหลิ่วฝูสองแม่ลูกสองคนกล่าวว่า “หลิ่วอันเจ้ามานี่ ประทับลายนิ้วมือตรงนี้ ไว้ข้าให้ลู่กุ้ยเอาไปเปลี่ยนทะเบียนราษฎร์ที่ว่าการอำเภอให้เจ้า”
ลู่เจียวกล่าวถึงตรงนี้ ก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีกครั้ง มองหลิ่วอันกล่าวว่า “หลิ่วอัน ไม่ใช่ข้าต้องเปลี่ยนทะเบียนราษฎร์เจ้าเป็นทาสให้ได้ แต่หากเจ้าไม่เปลี่ยนก็อยู่บ้านเราไม่ได้ ข้าคงไม่อาจให้คนที่ไม่ใช่คนในบ้านข้ามาอยู่บ้านข้าตลอดไปได้ เมื่อเจ้าลงชื่อในทะเบียนทาส มาอยู่บ้านข้าก็เป็นเรื่องสมควร แต่คำว่ามีชื่อในทะเบียนทาสอย่างไรก็ไม่น่าฟัง เจ้าคิดดูอีกที”
“หากเจ้าไม่อยาก ข้าก็จะหางานอื่นให้เจ้าทำ”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ หลิ่วอันก็รู้สึกใจไม่ดี นางรีบมองไปยังลู่เจียวกล่าวว่า “เหนียงจื่อ ข้าประทับลายนิ้วมือ อย่าได้ไม่เอาพวกเรา”
หลิ่วฝูเองก็รู้สึกใจไม่ดีแล้ว มองลู่เจียวอย่างระแวดระวัง ลู่เจียวจะพูดอะไรได้ รีบควักสัญญาออกมาให้หลิ่วอันกับหลิ่วฝูประทับลายนิ้วมือ จากนั้นก็มองพวกนางสองแม่ลูกกล่าวว่า “วันหน้าพวกเจ้าก็ทำงานกับยายเฒ่าชิวและเฝิงจือ เรือนด้านหลังมีงานอะไรก็ไปทำ”
“เจ้าค่ะ พวกเราทราบแล้ว”
หลิ่วอันกับหลิ่วฝูสองแม่ลูกออกไปอย่างมีความสุข ลู่เจียวพลันไม่รู้ว่าว่าควรกล่าวอะไรดี เก็บสัญญาขายตัวแล้วก็บอกให้เฝิงจือพาพวกนางไปจัดการหาที่พัก
ส่วนนาง เอาสัญญาขายตัวไปเรือนด้านหน้าบอกลู่กุ้ยให้เขาเอาไปลงทะเบียนราษฎร์ที่ที่ทำการอำเภอ พร้อมกับเติมชื่อพวกนางสองแม่ลูกสองคนลงในทะเบียนบ้านนาง
ลู่กุ้ยรับคำเสียงหนึ่งพร้อมกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ความจริงพวกนางอยู่บ้านเราก็ดีมาก พี่เจียวไม่รู้ คนตระกูลหลัวน่ารังเกียจขนาดไหน หลิ่วเหนียงจื่อกลับไปมีชีวิตไม่ดีแน่ ไม่แน่ยังอาจถูกพวกเขาทรมานจนตาย”
ลู่เจียวมองลู่กุ้ยแล้วก็เตือนว่า “ข้าเปลี่ยนชื่อให้พวกนางสองแม่ลูกแล้ว วันหน้าหลิ่วไหลตี้ชื่อหลิ่วอัน บุตรสาวนางชื่อหลิ่วฝู”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
ลู่กุ้ยนำสัญญาขายตัวออกไปจัดการ
ลู่เจียวหันหลังเดินไปยังห้องข้างๆ ดูการเรียนหนังสือของเด็กๆ หลิ่วเหนียงจื่อกำลังสอนวิชาดนตรี นางดีดพิณท่อนสั้นๆ ง่ายๆ ให้พวกลูกทั้งสี่รับรู้เสียงดนตรีสักหน่อย
ตกค่ำลู่เจียวสั่งฮวาเสิ่นในห้องครัวเป็นพิเศษ ให้เพิ่มอาหารสองอย่างฉลองที่บ้านเรามีสมาชิกใหม่สองคน
คนรับใช้บ้านตระกูลเซี่ยต่างรู้แล้วว่าวันหน้าที่บ้านจะมีหลิ่วอันกับหลิ่วฝูมาเพิ่มใหม่สองคน
สองแม่ลูกนั่งกินข้าวกับคนรับใช้ตระกูลเซี่ยที่เรือนด้านหน้าครั้งแรกก็ชอบบรรยากาศเช่นนี้มาก ทุกคนพูดไปหัวเราะไป บรรยากาศเป็นมิตรกันอย่างมาก และยังดูแลพวกนางสองแม่ลูกสองคนอย่างดีมากอีกด้วย
ยายเฒ่าชิวกับตาเฒ่าเหวินก็ยังปลอบใจพวกนางว่าชีวิตคนเรายืนยาว คนเราไม่อาจหลบเลี่ยงเหตุการณ์ทรมานกายใจ ดังนั้นอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ใช้ชีวิตต่อไปให้มีความสุข
จากนี้หลิ่วอันกับหลิ่วฝูสองแม่ลูกก็จะได้อยู่บ้านตระกูลเซี่ยอย่างมีความสุข
เรือนด้านหน้าครึกครื้น เรือนด้านหลังเองก็คุยกันครึกครื้น โดยเฉพาะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ที่แปลกใจว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังเรียกหลิ่วอันว่าท่านน้าหลิ่ว ทำไมอยู่ๆ ก็กลายเป็นคนรับใช้บ้านพวกเขา ที่บ้านยังมีสาวใช้ชื่อหลิ่วฝูเพิ่มมาอีกคน
“ท่านแม่ ทำไมพวกนางต้องมาเป็นคนรับใช้บ้านเรา”
สีหน้าต้าเป่าเต็มไปด้วยความงุนงง คนรับใช้ไม่ใช่ไม่ดีหรือ ทำไมท่านน้าหลิ่วจึงพาบุตรสาวนางมาเป็นคนรับใช้ที่ตระกูลเซี่ย
ลู่เจียวกล่าวเตือนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เพราะสามีท่านน้าหลิ่วจากไปแล้ว นางผู้หญิงตัวคนเดียวพาบุตรสาวหาเลี้ยงชีพย่อมถูกคนรังแก ดังนั้นนางได้แต่ยอมขายตัวเองมาเป็นคนรับใช้บ้านเรา วันหน้าพวกเจ้าดีกับพวกนางหน่อย”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบพยักหน้า “ท่านแม่วางใจ พวกเราจะไม่รังแกพวกนางอย่างแน่นอน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เพิ่งกล่าวจบ ลู่กุ้ยก็เดินเข้าประตูมารายงานอย่างรีบร้อนว่า “พี่เจียว ไม่ได้การแล้ว พี่เขยได้รับบาดเจ็บ”
[1] เสี่ยวยา แปลว่า เด็กผู้หญิง ทั่วไปใช้เรียกขานหลังนามสกุลเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ตั้งชื่อ