สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 30 ร่วมห้อง

บทที่ 30 ร่วมห้อง

ครั้งนี้เซียวลิ่วหลังยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูหอสมุดเสียด้วยซ้ำก็ถูกคนงานของหุยชุนถังรับตัวไป จากนั้นก็มาถึงหุยชุนถังเพื่อรับยา ตลอดทางกลับไปยังหุยชุนถังมีพยานรู้เห็น ย่อมไม่มีใครสงสัยเขาอยู่แล้ว 

ทว่ากู้ต้าซุ่นนั้นต่างออกไป มีคนเห็นกับตาว่าเขาเดินขึ้นชั้นสองไป และทรัพย์สินที่หายไปจากห้องก็อยู่บนชั้นสอง 

และตอนนั้นเจ้าของทรัพย์สินนั้นก็ออกไปข้างนอกพอดี ทั้งชั้นสองไม่มีใครอยู่ นอกจากกู้ต้าซุ่น 

คนที่หอสมุดต่างก็รู้ดีว่านอกจากห้องบัญชีบนชั้นสองแล้วก็คือห้องส่วนตัวของเหล่าเจ้าขุนมูลนาย ไม่ได้เปิดให้คนทุกคนเข้าไป ยิ่งบัณฑิตยากจนอย่างกู้ต้าซุ่นยิ่งไม่ควรปรากฏตัวบนชั้นสอง 

กู้ต้าซุ่นโอดครวญว่าตนถูกใส่ร้าย “มีผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกให้ข้าเลือกหนังสือไปให้เขา! เขาบอกว่าจะถกเถียงปริศนาธรรมคำกลอนกับข้า!” 

กู้ต้าซุ่นเป็นบัณฑิตผู้ทะเยอทะยานคนหนึ่ง เขารู้มานานแล้วว่าตำแหน่งซิ่วไฉของเขาจะนำพาประโยชน์มากมาให้ในวันหน้า และอาจจะมีคนมากมายมาผูกมิตร เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่ได้สงสัย 

“เช่นนั้นเจ้าบอกมาสิว่าผู้เฒ่าคนนั้นเป็นใคร ไปตามตัวเขามา!” คนของหอสมุดเอ่ย 

“พวกเจ้ามีใคร…เคยเห็นผู้เฒ่าคนไหนหรือไม่” ผู้ดูแลหอสมุดถามผู้คนแถวนั้น 

ทุกคนต่างส่ายหน้า 

พวกเขาจึงมุ่งเป้าไปที่กู้ต้าซุ่น เพราะกู้ต้าซุ่นสวมชุดเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตเทียนเซียง บัณฑิตสำนักเทียนเซียงไปแห่งหนใดก็เป็นที่ดึงดูดสายตาอยู่แล้ว 

ทว่าขณะที่กู้ต้าซุ่นพูดคุยกับผู้เฒ่าคนนั้นดันเป็นระหว่างทางที่ตนออกไปถ่ายทุกข์พอดี ระหว่างทางนั้นไม่มีพยานรู้เห็น 

ด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงเห็นเพียงยามที่กู้ต้าซุ่นหอบหนังสือขึ้นชั้นสองไป แต่ไม่มีใครเห็นตอน 

กู้ต้าซุ่นถูกเชื้อเชิญแต่อย่างใด 

นี่มันซวยชัดๆ 

บ่าวของนายที่ของหายเอ่ยขึ้น “คิดไม่ถึงเลยว่าบัณฑิตสำนักเทียนเซียงจะทำเรื่องน่าอดสูเช่นนี้ได้ ห่อผ้าของท่านชายข้ามีของมีล้ำค่าอยู่ข้างใน ข้างในมีตั๋วเงินอยู่ หากเจ้าเป็นคนเอาไป ท่านชายของข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า แต่จดหมายฉบับนั้นเจ้าต้องคืนให้ข้า! ไม่เช่นนั้นพวกข้าจะร้องต่อทางการ!” 

กู้ต้าซุ่นรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ยามนี้เขาต้องตามหาผู้เฒ่าคนนั้นให้เจอเท่านั้นถึงจะหลุดพ้นได้ แต่อีกฝ่ายกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุใดถึงหาไม่เจอเสียแล้ว 

ความคิดบางอย่างแวบแล่นเข้ามาในหัว “พวกเจ้าบอกว่าข้าขโมยของ แล้วหลักฐานอยู่ที่ไหน  

ข้าคงไม่กินลงท้องไปแล้วกระมัง!” 

ผู้ดูแลหอสมุดหรี่ตา “ไปค้นบ้านเจ้า!” 

กู้ต้าซุ่นไม่กลัวว่าพวกเขาจะค้นบ้าน เขายื่นมันไม่หวั่นไหว แม้จะพลิกฟ้าค้นบ้านเขา ก็ไม่มีทางหาหลักฐานเจอแน่นอน! 

ทว่าสุดท้ายต้าซุ่นก็ถูกตบหน้าฉาดใหญ่ 

ยามที่คนงานบุกเข้าไปในบ้าน แม่นางโจวและแม่นางหลิวกลับบ้านพอดี กำลังขุดหลุมในสวนหลังบ้านเพื่อฝังเงิน 

เหล่าคนงานจำได้ว่านั่นคือเงินของทางการที่หายไปในทันที 

ในความฝันของกู้เจียว เซียวลิ่วหลังสืบเสาะเบาะแสจากรอยเท้าหลังหอสมุดและนอกกำแพงจึงคาดการณ์ว่าคนร้ายปีนหน้าต่างเข้ามา และลงมือทำการเพียงคนเดียว ส่วนสูงประมาณหกฉื่อ[1] รอยเท้าขวาลึกกว่ารอยเท้าซ้าย สันนิษฐานว่าคนร้ายเท้าซ้ายผิดรูปเล็กน้อยแต่ไม่ร้ายแรง ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถปีนกำแพงชั้นสองได้ และคนร้ายต้องเป็นมืออาชีพแน่นอน 

รอยเท้าบางส่วนในที่เกิดเหตุทิ้งร่องรอยของกรวดที่มีขี้เถ้าและธูปปะปนอยู่ ซึ่งมีเพียงถนนหินทรายของบ่อนพนันเท่านั้นมีกรวดเช่นนี้ ที่เพื่อใช้ขับไล่วิญญาณร้าย 

เพราะอย่างนั้นหากคนร้ายไม่ใช่คนในบ่อนพนันก็ต้องเป็นนักเลงพนัน หากเขาเป็นคนเอาเงินไปไม่ช้าหรือเร็วก็คงเอาไปใช้ในบ่อนพนันใกล้ตลาด 

กู้เจียวจึงคอยจับตามองเส้นทางที่ต้องผ่านไปยังตลาด 

แต่น่าเสียดายที่กู้ต้าซุ่นไม่ใช่เซียวลิ่วหลัง เขาไม่สามารถไขคดีได้ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองไม่ได้ จึงทำได้เพียงมองแม่นางโจวและแม่นางหลิวถูกจับเขาคุกตาปริบๆ 

“ไอ้หยา” ภายในห้องบัญชีของหุยชุนถัง เถ้าแก่รองดื่มชาสุขสบายใจ ท่าทางดูอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน 

ผู้ดูแลหวังถลึงตามองเขา “กลั่นแกล้งคนได้อารมณ์ดีขนาดนั้นเชียวหรือ” 

ใช่แล้ว เถ้าแก่รองก็คือผู้เฒ่าลึกลับที่หลอกล่อให้กู้ต้าซุ่นขึ้นชั้นสองไป 

เถ้าแก่รองหัวเราะร่วนพลางชูสามนิ้ว “ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสาม” 

ผู้ดูแลหวังกลัวจนตัวสั่น “เด็กนั่นใจเหี้ยมนัก วางแผนเล่นงานคนในบ้านตัวเองได้ลงคอ คบค้ากับคนแบบนี้ พวกเราจะไม่… ไม่ต้องระวังตัวสักหน่อยหรือ” 

เถ้าแก่รองมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ดั่งสายน้ำไหลบนท้องถนน “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร หากไม่รู้ว่าผู้อื่นเจ็บปวดเพียงใด จะโน้มน้าวให้ผู้อื่นทำดีได้อย่างไร” 

คำพูดนั้นผู้ดูแลหวังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ถึงแม้เขาจะเป็นลูกน้องของเถ้าแก่รอง แต่ก็ยังไม่เข้าใจหลายอย่างในตัวเถ้าแก่รอง รู้เพียงแต่ว่าเป็นลูกเมียแต่งตระกูลหู แต่ก็ไม่รับความยอมรับจากนายใหญ่สักเท่าไหร่” 

เถ้าแก่รองยิ้มบางพลางจิบชาแล้วเอ่ยขึ้น “ชักจะถูกใจยายสาวน้อยนั่นเข้าแล้วสิ” 

… 

เพราะเซียวลิ่วหลังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องของเรื่องนี้ เซียวลิ่วหลังจึงไม่ได้ถามไถ่ รู้เพียงแต่ว่ากู้ต้าซุ่นขโมยของ เพียงแต่ขโมยของใคร หรือขโมยอะไรนั้น เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก 

ทว่าเขานั้นได้เข้าไปที่หอสมุดแล้ว เจ้าสำนักจึงเรียนเขาไปที่หอจงเจิ้งเพื่อเล่าเรื่องราวของกู้ต้าซุ่นให้เขารู้ 

“ตอนเจ้าไปที่หอสมุด เจ้าได้พบกับกู้ต้าซุ่นหรือไม่” เจ้าสำนักถาม 

เซียวลิ่วหลังตอบ “พบขอรับ แต่ตอนยามอู่สี่เค่อ[2]ข้าได้ออกไปยังหุยชุนถังแล้ว จากนั้นข้าไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ใดนัก” 

เขาพูดตามความจริง 

เจ้าสำนักนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าเห็นตอนที่กู้ต้าซุ่นกับคนเหล่านั้นคุยอะไรกันที่ท้ายหอสมุดหรือไม่” 

เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ไปที่ท้ายหอสมุดขอรับ” 

เจ้าสำนักปวดหัวจนคิ้วขมวด “เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเข้าเรียนเถิด” 

เซียวลิ่วหลังหันหลังเดินกลับไป พอเดินถึงหน้าประตู เจ้าสำนักจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดว่ากู้ต้าซุ่นจะลักขโมยหรือไม่” 

เซียวลิ่วหลัง “เรื่องนั้นไม่ใช่ข้าเป็นผู้ตัดสินขอรับ” 

นั่นสินะ เจ้าของก็แจ้งทางการไปแล้ว ศาลาว่าการก็ร่างสำนวนแล้ว ลักขโมยจริงหรือไม่ก็ต้องดูหลักฐาน เพียงแต่หลักฐานทั้งหมดนั้นชี้ตัวไปที่กู้ต้าซุ่น… 

หลังจากที่เซียวลิ่วหลังกลับจากหอจงเจิ้ง อาจารย์เฉินประจำห้องหนึ่งเทียนจื้อก็เรียกเขาไปถามไถ่ หลังจากอาจารย์เฉินถามเสร็จ อาจารย์จางประจำห้องก็เรียกเขาไปถามอีก ทุกคนล้วนแต่ถามไถ่เรื่องราวของกู้ต้าซุ่น 

หลังจากถามไปถามมา ฟ้าก็เริ่มมืดเสียแล้ว 

หิมะโปรยตัวลงมาอย่างหนัก 

หิมะตกจริงๆ เสียด้วย 

เซียวลิ่วหลังมองหิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เดินมุ่งหน้าไปยังประตูสำนักบัณฑิต พอเดินออกมาก็เห็นเงาร่างผอมบางของใครคนหนึ่ง 

คนผู้นั้นสวมเสื้อสีลูกพลับลายดอก สะพายตะกร้าบนหลัง ก้มหน้าใช้เท้าเตะก้อนหินบนพื้นเล่น ท่าทางแสนน่าเอ็นดู 

เซียวลิ่วหลังแววตาไหววูบ สาวไม้เท้าเดินเข้าไป 

กู้เจียวเห็นเขา ก่อนจะยิ้มบางออกมา “เลิกเรียนแล้วหรือ” 

“ใช่” 

พอนึกขึ้นได้ กู้เจียวก็เอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้ายังไม่ออกมาสักที ข้าเลยให้ลุงหลัวเอ้อร์กับเสี่ยวซุ่นกับไปเสียก่อน” 

“ไม่เป็นไร ข้าจะไปเช่ารถ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย 

กู้เจียวใช้เรียวนิ้วสะกิดที่แขนเสื้อเขาอย่างแผ่วเบา “หิมะตกหนักแล้ว นั่งรถไม่ปลอดภัย  

หาโรงเตี๊ยมพักสักคืนเถิด” 

เซียวลิ่วหลังมองเรียวนิ้วขาวนวลบนแขนเสื้อ “…ได้สิ” 

แต่เป็นเพราะใกล้สิ้นปีแล้ว โรงเตี๊ยมจึงเต็มทั้งหมด ทั้งสองถามหลายต่อหลายแห่ง จนสุดท้ายก็หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งพักได้ในที่สุด 

เซียวลิ่วหลังเอ่ย “สองห้อง” 

คนงานเอ่ย “ลูกค้าขอรับ เหลือเพียงแค่ห้องเดียวขอรับ” 

—————————————- 

[1] ฉื่อ (尺) เป็นหน่วยวัดความยาว เท่ากับ 1 ฟุต 

[2] ยามอู่สี่เค่อ (午时四刻) ตรงกับเวลาเที่ยงตรง 

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท