สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 36 ปานแดง

บทที่ 36 ปานแดง

ฮูหยินชี้ไปทางเตียงเตา พลางยิ้มให้ “นั่งคุยเถิด” 

กู้เจียวหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา ทั้งสองอยู่ห่างกันแค่โต๊ะเล็กกั้น ขนมหน้าตาน่าทานวางเรียงอยู่บนนั้น 

ฮูหยินเลื่อนขนมไปทางกู้เจียว “คงหิวแล้วสินะ กินก่อนสิ ประเดี๋ยวข้าววัดก็มาแล้ว” 

“เจ้าค่ะ” กู้เจียวเดินทางมาตั้งไกลคงไม่แปลกที่จะรู้สึกหิวจนไส้กิ่ว จึงคว้าขนมที่มีรูปลักษณ์ราวกับดอกไม้สีเหลืองขึ้นมาแล้วนั่งกินเงียบๆ  

“อร่อยไหม” ฮูหยินเอ่ยถาม  

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า พอเห็นท่าทีสนใจของฮูหยินที่กำลังจ้องมาทางตน กู้เจียวจึงผงะไปชั่วครู่ พลางเอ่ย “อร่อยกว่าร้านหลี่จี้อีกเจ้าค่ะ” 

“หลี่จี้คืออะไรรึ” ฮูหยินเอ่ยถาม 

“ร้านขนมที่ดีที่สุดในเมืองเจ้าค่ะ” กู้เจียวเอ่ย 

ฮูหยินพอได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะที่จริงแล้วนางทำขนมเองกับมือ นางฝึกทำระหว่างที่อยู่ที่นี่เพื่อแก้เบื่อ แต่น่าเสียดายที่บุตรชายของนางเป็นคนขี้โรคและร่างกายอ่อนแอจนทานของพวกนี้ไม่ได้ ส่วนบุตรสาวร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่กลับไม่ชอบทานขนมเสียอย่างนั้น จนนางเกิดคิดสงสัยขึ้นมาว่าหรือตนจะทำขนมไม่อร่อยกันแน่ 

กู้เจียวมิอาจปลอมสีหน้าท่าทางเวลากิน นางรู้สึกจริงๆ ว่าขนมของฮูหยินรสชาติอร่อยมาก 

ฮูหยินรู้สึกภาคภูมิใจมากจนหันไปปรายตาสำรวจกู้เจียวอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าของกู้เจียวมีรอยปานแดง ซึ่งฮูหยินเองสังเกตเห็นอยู่ก่อนแล้ว 

ไม่น่าเลยแม่หนู นางนึกเสียดายในใจ 

จากนั้นฮูหยินเหลือบไปเห็นที่มือของกู้เจียว มือคู่นั้นดูก็รู้ว่าผ่านอะไรมามากมาย ไหนจะตุ่มใสที่ขึ้นตรงฝ่ามือ แถมตรงหลังมือมีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด 

ฮูหยินพลันนึกถึงบุตรสาวของตน และคิดว่านางโชคดีแค่ไหนที่บุตรสาวเกิดในตำหนัก ไม่ต้องประสบพบเจอความทุกข์ยากที่คนอื่นพึงเจอ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว หัวอกคนเป็นมารดาอย่างนางมีหวังได้ใจสลายแน่นอน 

กู้เจียวนั่งในห้องนั้นอยู่พักใหญ่ หยิบขนมเกาลัดขึ้นมากินจนหมดเกลี้ยง ขณะเดียวกันเจ้าอาวาสก็ได้เดินทางกลับถึงวัดพอดี 

กู้เจียวไม่ลืมภารกิจของตน จึงรีบกล่าวลาฮูหยินแล้วมุ่งหน้าไปหาท่านเจ้าอาวาส 

แม้เจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้เป็นผู้สูงวัย หนวดเคราขาว แต่กลับมีสมองและสติปัญญาที่เฉียบแหลม คงเป็นผลมาจากการฝึกอยู่นานหลายปี 

กู้เจียวเอ่ยออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมถึงจุดประสงค์ที่นางมาในวันนี้ “…ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสจะยินยอมขายหรือไม่เจ้าค่ะ” 

เอ่ยจบ เจ้าอาวาสยังไม่ทันได้ตอบ กู้เจียวสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าเอาแต่จ้องใบหน้าของตน…อย่างไม่กระพริบตา  

ครั้นจะเอ่ยถามว่าใบหน้าตนมีอะไรติดอยู่ แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าก็มีอะไรติดอยู่บนหน้าจริงๆ นี่นา  

“ท่านเจ้าอาวาส” กู้เจียวเอ่ยเรียก 

“อะแฮ่ม!” เจ้าอาวาสพอได้สติก็รีบกระแอมล้างคอ นั่งหลังตรง พลางเอ่ย “เมื่อครู่โยมบอกว่า…จะซื้อภูเขาแห่งนี้อย่างนั้นรึ” 

กู้เจียวตอบ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” 

“โยมอายุเท่าไหร่” 

เอ๋ 

ไฉนถึงเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น 

“อายุน้อยแล้วจะซื้อภูเขาไม่ได้รึท่าน” กู้เจียวเอ่ยถามเสียงอ่อน 

“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น! อมิตาพุทธ โยมอย่าเพิ่งเข้าใจผิด!” เจ้าอาวาสทำมือปางห้าม พลางเอ่ย “ศิษย์จิ้งซินที่ดูแลเรื่องทรัพย์สินของวัดออกไปข้างนอกพอดี ต้องรอสักสองสามวันถึงจะกลับมา ไว้โยมค่อยมาใหม่ดีกว่า” 

“ถ้าอย่างนั้นก่อนตรุษจีนข้าจะหาเวลามาเยือนที่นี่อีกรอบนะเจ้าคะ” กู้เจียวเอ่ย พลางลุกขึ้นยืนแล้วอำลา 

สายตาเจ้าอาวาสคอยแต่จับจ้องไปที่รอยปานแดงบนหน้านาง 

กู้เจียวพอเห็นดังนั้นก็อดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยมิได้ “ท่านเจ้าอาวาส แม้ว่าตัวข้าเองไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองข้าอย่างไร แต่ท่านผู้เป็นถึงระดับคุณพระคุณท่านมาใช้สายตาจ้องมองจุดด้อยบนใบหน้าของข้าเช่นนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือเจ้าคะ” 

เจ้าอาวาสรีบขอโทษ “อาตมาขออภัยที่เสียมารยาท โยมอย่าถือสาเลยนะ!” 

หลังจากที่กู้เจียวเดินออกไป เจ้าอาวาสก็นั่งเหม่อไปอยู่นานสองนาน 

สักพักก็มีลูกศิษย์เดินเข้ามา เอ่ยถาม “ท่านเจ้าอาวาสเป็นอะไรไปรึ” 

“อาตมานึกอะไรขึ้นมาได้น่ะ” 

“เรื่องอันใดรึ” ลูกศิษย์เอ่ยถาม 

เจ้าอาวาสถอนหายใจ พลางเอ่ย “เรื่องเมื่อนานมาแล้ว” 

เขานึกย้อนไปเมื่อเย็นวันนั้น เขาดื่มหนักมาก ขณะที่เขากำลังจะแต้มโส่วกงซาให้เด็กทารกนั้น จู่ๆ มือของเขาเกิดสั่น พลาดไปแต้มที่ใบหน้าของเด็กทารก… 

วันต่อมา พอเขาตื่นขึ้น ระลึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป จึงรีบไปขอขมากับฮูหยินโหว แต่เด็กที่ฮูหยินโหวอุ้มอยู่กลับมีใบหน้าขาวใสไร้รอยโส่วกงซา 

เขานึกสงสัยตัวเองว่าหรือเป็นเพราะดื่มหนักเกินเลยทำให้เขาไม่แน่ใจความทรงจำของตนเอง ในเมื่อไม่มีรอยบนหน้าเด็ก ก็แปลว่าเขาไม่ได้ทำอะไรลงไปสินะ 

เรื่องก็ผ่านมานานหลายปีแล้วจนเขาลืมไปแล้ว แต่พอได้มาพบกับกูเจียวเมื่อครู่นี้ ความทรงจำเก่าๆ ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวเขา จนเกิดสงสัยว่าหรือเขาจะเผลอแต้มโส่วกงซาพลาดไปจริงๆ  

ไม่สิ เด็กที่เขาแต้มให้คือทายาทร้อยล้านของตระกูลโหวนี่นา แต่เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น 

หลังจากที่กู้เจียวเดินออกมาแล้ว ก็เดินกลับไปหาฮูหยินคนนั้น แต่กลับพบว่าฮูหยินได้ลงเขาไปแล้ว 

“ขนมในกล่องพวกนี้ ฮูหยินได้กำชับอาตมาไว้ว่าต้องมอบให้โยมให้ได้ รับไว้ด้วยเถิด” พระสงฆ์ที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ยื่นห่อผ้าให้กู้เจียว 

กู้เจียวยื่นมือรับแล้วชำเลืองอยู่พักหนึ่ง จึงได้รู้ว่าฮูหยินยกขนมที่เหลือทั้งหมดให้ตน 

กู้เจียวถอนหายใจ พลางนึกได้ว่าชุดที่ใส่อยู่ยังไม่ได้คืนนางเลย… 

ชุดที่ฮูหยินมอบให้นั้นจะดูสวยก็ตาม แต่ไม่เหมาะกับการเดินลงเขา เกรงว่าเดินไปสองเก้ามีหวังเสื้อหลุดลุ่ยแน่นอน แต่ก็โทษใครไม่ได้ เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเดินป่าเดินเขาอยู่แล้ว 

ระหว่างทางกลับ กู้เจียวพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด พลางนึกกังวลว่าหญิงชรากับเพื่อนบ้านจะเข้ากันไม่ได้ ด้วยความที่หญิงชราเป็นคนกระฟัดกระเฟียดเก่ง แถมยังเรื่องมาก จัดอยู่ในพวกเข้าสังคมไม่ได้ 

พอกู้เจียวกลับมาถึงเรือนเท่านั้น ก็มีเรื่องชวนงงเกิดขึ้น 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนเยอะขนาดนี้ แถมล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น 

ปกติกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังมักจะไม่เข้าหาคนในหมู่บ้านก่อน ปกติหากพวกเขามีธุระจะให้เขียนจดหมายหรืออ่านจดหมายให้ฟัง พวกชาวบ้านก็จะมาที่เรือนพวกเขา อย่างมากที่สุดก็รับแค่สามคนต่อวันเท่านั้น ไม่มีทางจะมากไปกว่านี้ 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่กู้เจียวเกิดอาการมึนงงว่าเหตุใดเรือนของนางจึงอัดแน่นไปด้วยผู้คน 

หญิงชรานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านบนสุด ส่วนภรรยาของหลัวเอ้อซูกำลังยกกาน้ำชา ทำท่าโค้งตัวให้คนที่ยืนอยู่ด้านข้าง 

ส่วนกุ้ยฟังลูกสะใภ้ของแม่เฒ่าจางยืนอยู่อีกฝั่ง ในมือถือถาด บนถาดนั้นมีขนมและเมล็ดทานตะวัน 

กู้เจียวไม่เข้าใจภาพตรงหน้า ท่านพี่กุ้ยฟังเพิ่งจะอยู่ไฟไปมิใช้รึ 

ส่วนคนที่เหลือที่เข้ามาไม่ได้ต่างก็พยายามเบียดเสียดกันเข้ามาราวกับชาวบ้านที่มามุงดูป่าหี่ยังไงยังงั้น! 

“เอาละ กลับไปได้แล้ว” หญิงชราวางเมล็ดทานตะวันลง จากนั้นโบกมือไล่ 

ทุกคนทยอยเดินออกไป แต่ก่อนจะออก พวกเขาโค้งคำนับให้หญิงชรา 

หากภาพเหล่านี้ปรากฏในราชวังยังว่าไปอย่าง แต่นี่คือกลุ่มสตรีชาวบ้านห่อผ้าโพกศีรษะจู่ๆ มาทำท่าโก้งโค้งทำความเคารพให้หญิงชราเนี่ยสิ มันช่างขัดหูขัดตายิ่งนัก! 

กู้เจียวทนเห็นสภาพตรงหน้าไม่ไหว พลันคว้าตัวเซวียหนิงเซียงที่ยืนอยู่ข้างกันมาซักถาม “นี่หญิงชราก่อเรื่องอะไรอีกแล้วรึ” 

เซวียหนิงเซียงตอบอย่างเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ “ท่านยายท่านเล่าละครให้คนในหมู่บ้านฟังนะสิ! แถมเล่าได้สนุกมากเลยล่ะ!” 

กูเจียวเบะปาก “แล้วที่พวกเขาโค้งคำนับให้นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน” 

เซวียหนิงเซียงครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้เข้าใจว่ากู้เจียวหมายถึงอะไร “อ๋อ เจ้าสงสัยเรื่องนี้หรอกรึ นางบอกว่าพวกนักแสดงเขาทำแบบนี้กัน!” 

ไม่มีใครที่ไหนเขาทำกันแบบนี้หรอก! 

ขณะเดียวกันหญิงชรากำลังง่วนกับการให้ชายร่างใหญ่โค้งคำนับให้นาง 

กู้เจียวไม่เข้าใจว่าหญิงชราคนนี้มาจากไหนกัน เหตุใดถึงได้ต้มตุ๋นชาวบ้านไปทั่วเช่นนี้ 

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท