สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 99.2 ความจริง (2)

บทที่ 99.2 ความจริง (2)

“ช่างเถอะ ข้าไม่ควรใจร้อนเช่นนี้ เดี๋ยวนางจะตกใจเอา” แม่นางเหยารู้สึกได้ว่ากู้เจียวบางทีอาจจะ…ยังไม่อยากยอมรับตนเท่าใดนัก

ท่านโหวกู้ถอนหายใจยาว

แต่ยังไม่ทันไร แม่นางเหยาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หรือว่า…ข้าควรไปถามนางก่อนดี”

ท่านโหวกู้ส่ายหัวอย่างไม่หยุดหย่อน!

ทันใดนั้น ท่านโหวกู้เกิดนึกอะไรขึ้นได้ เอามือคว้าไปที่รูปภาพที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เอ่ยกับแม่นางเหยา “ไอ้หยา พวกเราเพิ่งจะโผล่มาหลังจากที่นางผ่านความยากลำบากมาตั้งหลายปี เป็นเรื่องธรรมดาที่นางยังไม่ยอมรับพวกเรา หากเจ้าดั้นด้นไปอย่างนี้มีหวังได้ทำนางตกใจแน่ๆ! ให้เหยี่ยนเอ๋อร์ไปพูดคุยกับนางก่อนเถิด! หากเจ้าคิดถึงนาง เจ้าก็ดูรูปนางบ่อยๆ ได้นี่นา!”

“ที่ท่านพูดมาก็พอมีเหตุผล” แม่นางเหยาคิดถึงลูกสาวจริงๆ รูปนั่นวางอยู่บนโต๊ะก็จริง แต่ต่อให้จ้องรูปทั้งวันทั้งคืนอย่างไรก็ไม่เคยพอ

แม่นางเหยามองดูรูปด้วยสายตาอ่อนโยน

“ท่านโหว” แม่นางเหยาจู่ๆ เอ่ยเรียกเขา “ท่านว่าปานแดงที่อยู่บนหน้าเจียวเจียวนี่มายังไง นางเคยป่วยรึ”

แม่นางเหยาอยากรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ถาม ตอนที่นางกับกู้เจียวเจอกันก็เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดาๆ เลยไม่สะดวกใจที่จะถาม

ท่านโหวกู้ตอบ “นางไม่ได้ป่วย พวกนั้นบอกว่าเกิดมาก็เป็นแบบนี้เลย กลับมาจากวัดก็มีแล้ว ตอนแรกรอยปานแดงไม่ได้ใหญ่มาก แต่พอนางโตขึ้นก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น”

“ไม่ใช่สิ” แม่นางเหยาขมวดคิ้ว “ตอนคลอดนาง ข้าเห็นนางกับตาของข้า ไม่เห็นมีรอยแดงอะไรเลย ข้าต้องจำได้สิถ้านางมีปานแดงนี้ตั้งแต่เกิดจริง”

ท่านโหวกู้ดวงตาเบิกกว้าง “หรือว่าจะผิดคนอีกแล้ว!”

หรือเด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกของพวกเขา

“ข้ามั่นใจว่าเจียวเจียวเป็นลูกของพกวเรา แต่ข้าไม่เข้าใจว่ารอยแดงนี่มันมาจากไหน”

หมอตำแยคนนั้นก็ตายไปแล้ว พวกบ่าวก็กลับบ้านเกิดกันไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปตามหาคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันไหนได้จากที่ไหน

แม่นางเหยานั่งนึกอยู่สักพัก ก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ “ไม่สิ วันนั้นยังมีคนเคยเห็นเจียวเจียวด้วย”

“ผู้ใด”

“ท่านเจ้าอาวาสอย่างไรเล่า”

ทั้งคู่จึงรีบเดินทางไปที่วัด

หลังจากที่เจ้าอาวาสได้เจอกับพวกเขา และถามไถ่ถึงจุดประสงค์ที่พวกเขามาในวันนี้ เจ้าอาวาสก็เริ่มทำท่ามีพิรุธ “โยมทั้งสองว่าอย่างไรนะ อุ้มเด็กไปผิดคนงั้นรึ เด็กที่มีปานแดงคนนั้นน่ะหรือคือบุตรของพวกโยม”

แม่นางเหยาเอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน “ใช่เจ้าค่ะ ท่านเจ้าอาวาสต้องเคยเห็นนางสินะ นางเคยมาหาท่านถึงสองครั้งสองครา”

จะให้บอกว่าไม่เคยเจอก็กะไรอยู่

หรือว่า เรื่องวันนั้น ที่เขาคิดว่าเป็นแค่ความฝัน จะเป็นเรื่องจริง ที่เขามือสั่นจนจุดโส่วกงซาพลาดไปโดนที่ใบหน้าของเด็กทารกคนนั้น

“อมิตาพุทธ…อาตมาผิดไปแล้ว!”

เจ้าอาวาสเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง

เวลามีบุตรหลานของตระกูลสูงส่งกำเนิด จะมีธรรมเนียมให้หมอตำแยช่วยจุดโส่วกงซาให้ พวกบ่าวของแม่นางเหยาก็มีรับสั่งเช่นนั้น

แต่พวกคนที่อยู่ตามชนบทจะไม่มีธรรมเนียมแบบนี้ หมอตำแยเองก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากว่าทำไม่เป็นเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินตอบแทน ก็เลยไหว้วานขอให้เจ้าอาวาสช่วยทำให้

ถ้าตอนนั้นเจ้าอาวาสยังสติดีอยู่ก็คงไม่ตอบรับ แต่ในเวลานั้น เขาดันถูกศิษย์น้องไม่รักดีคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าดอกสาลี่

ดื่มไปแค่จิบเดียว ก็ทำเอาสติสัมปชัญญะของเขาหายไปหมด

เจ้าอาวาสบอกเขาไม่เคยจุดโส่วกงซาให้ใครมาก่อน

แต่หมอตำแยก็ให้เหตุผลว่า ท่านเจ้าอาวาสเคยใช้ธูปจี้ให้พวกพระเณรมาก่อน น่าจะไม่ต่างกันมาก

เจ้าอาวาสที่กำลังมึนงงอยู่ตอนนั้นรู้สึกว่าหมอตำแยคนนี้พูดจาเข้าท่า!

เขาจึงตกลงไปทำให้

และเขาก็เกิดมือสั่น

หลังเกิดเรื่อง เขาจึงไปหาลูกศิษย์ แต่ดันสะดุดล้มกลางทางไปก่อน

เจ้าอาวาสสลบไปสามวันสามคืน พอตื่นขึ้นก็รีบไปหาแม่นางเหยาเพื่อจะขอขมา แต่พอไปถึงก็เห็นว่าแม่นางเหยาอุ้มเด็กทารกหน้าตาสะอาดสะอ้าน ไม่มีรอยโส่วกงซาที่เขาทำพลาดแม้แต่นิด

หมอตำแยเองก็ลงจากเขา แล้วไม่ได้พบกันอีก

“…อาตมาคิดว่าตัวเองฝันไป”

ท่านโหวกู้เอ่ยถามต่อ “แล้วแม่นางสวีล่ะ นางไม่เอะใจหรือว่าลูกของตนมีรอยประหลาดอยู่บนหน้าน่ะ”

“แม่นางสวีพอให้กำเนิดลูกเสร็จก็สลบไป แล้วฟื้นในวันต่อมา อาตมาคาดว่าคงจะเป็นตอนนั้นเองที่นางอุ้มเด็กไปผิดคน”

และเพราะแม่นางสวีร่างกายยังไม่สู้ดีเลยไม่สามารถดูแลเด็กได้ หมอตำแยจึงเอาเด็กสองคนมาไว้ในห้องเดียวกัน กู้เจียวเกิดก่อน จากนั้นตามด้วยกู้จิ่นอวี้ และสุดท้ายจึงเป็นกู้เหยี่ยน

มิหนำซ้ำ ทารกหญิงทั้งสองใช้ผ้าห่อของแม่นางเหยาเหมือนกัน เลยสร้างความสับสนได้ง่าย

หมอตำแยเดิมทีก็อยู่ในเหตุการณ์ แต่บังเอิญตอนนั้นนางเกิดท้องเสียต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมาก็พบว่าเจ้าอาวาสทำโส่วกงซาให้เรียบร้อยแล้ว

แม้จะถามหมอตำแยไม่ได้แล้ว แต่ทั้งคู่ก็พอเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หมอตำแยรู้ตัวว่าเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน จึงรีบหาข้ออ้างเพื่อลงจากเขา

พอบ่าวของแม่นางเหยามาเห็นว่าเด็กทารกคนนี้มีรอยแดงบนหน้า เลยนึกว่าเป็นลูกของแม่นางสวี ไม่ใช่ลูกของแม่นางเหยา

ภายหลังก็พบว่าบนข้อมือของทารกน้อยไม่มีรอยโส่วกงซา แม่นางเหยาจึงคิดว่ารอยนั้นคงจางไปแล้ว พอกลับไปยังเมืองหลวง ก็ให้คนทำโส่วกงซาให้ใหม่ และนี่น่าจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น

หลังจากที่ท่านโหวกู้และแม่นางเหยากลับไป เจ้าอาวาสก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้

เขาจึงเดินดุ่มเข้าไปที่กุฏิของศิษย์น้อง ก็เจอกับศิษย์น้องที่กำลังนอนผิงแดดใต้ร่มไม้อยู่อย่างสบายใจเฉิบ เจ้าอาวาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง “…เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ให้ข้าดื่มเหล้านั่น!”

ศิษย์น้องคว้าหนังสือคัมภีร์ที่ปิดหน้าของตนอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้างามของเขา

เขาทำมือโบกปัด จากนั้นหัวเราะ “ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเหล้าที่ข้าหมักเองเป็นครั้งแรกจะออกฤทธิ์รุนแรงขนาดนั้น”

เจ้าอาวาสยังคงโกรธ “ยังจะมาโทษคนอื่นอีก! ก็เจ้านั่นแหละที่หลอกข้าว่านั่นไม่ใช่เหล้า!”

ศิษย์น้องเอ่ยตอบ “ตอนนั้นข้าอายุเท่าใดกัน ข้ายังเด็กอยู่ ท่านโดนเด็กหลอก เป็นเพราะท่านเองไม่ฉลาดพอน่ะสิ แล้วข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นด้วย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหมักเหล้าได้สำเร็จ ข้าเป็นเด็ก ยังดื่มเหล้าไม่ได้ ก็เลยให้ท่านมาช่วยข้าดื่มอย่างไรเล่า”

เจ้าอาวาสสวนกลับ “นี่เจ้าขอให้ข้าชิมเหล้าหรือชิมยาพิษกันแน่!”

ศิษย์น้องทำหน้าไร้ดียงสา พลางเอ่ย “เฮ้อ ศิษย์พี่ รู้ทั้งรู้น่า ไว้หน้าข้าด้วย”

เจ้าอาวาสโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “มีเด็กสิบสองขวบที่ไหนยังบอกว่าตัวเองเป็นเด็กอยู่ แล้วดูสิ ที่จิ้งคงมีนิสัยแบบนั้นก็เพราะเจ้านั่นแหละ”

พอเอ่ยถึงจิ้งคง ศิษย์น้องถึงกับอ้ำอึ้ง เพราะเขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าจิ้งคงเป็นเด็กซนแค่ไหน

อันที่จริง ศิษย์น้องคนนี้เป็นอัจฉริยะเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาชอบที่จะประดิษฐ์สิ่งแปลกๆ อยู่เสมอ ไม่มีใครสอนเขา

เรื่องที่เขาหมักเหล้าขึ้นมายังไม่น่ากลัวเท่าตอนที่เขาผสมกับผงไล่แมลงและกลายเป็นสารหนูซึ่งวางยาพิษให้พระภิกษุทั้งวัด

เขาเองก็เกือบตาย

จนถึงทุกวันนี้ เจ้าอาวาสก็ยังอดถามคำถามนี้ไม่ได้ นี่เจ้าโตมาได้ยังไง

ศิษย์น้องยิ้มสรวล พลางเอ่ย “เอาล่ะศิษย์พี่ ข้ายอมรับว่าเคยแกล้งท่าน แต่ท่านเองก็เอาศิษย์น้องของข้าไปขายต่อ ถือว่าเจ๊ากันแล้วนะท่าน”

เจ้าอาวาสถามย้อม “เจ้ามิใช่รึที่ดูจะดีใจสุดตอนเห็นจิ้งคงเขาออกไปน่ะ”

เขากางมือและถอนหายใจ “ท่านพี่ ก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าเวลาพูดอะไรเห็นแก่หน้าข้าด้วย ข้าดีใจตรงไหนกัน เอาล่ะ ข้าก็ดีใจอยู่บ้าง แต่ที่จริงข้าเองก็รู้สึกเสียใจนะ”

เจ้าอาวาสหรี่ตามองเขา “หึ งั้นรึ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะไปตามจิ้งคงกลับมาที่วัดให้นะ!”

ศิษย์น้องรีบกระโดดพับตัวขึ้นมา “ไอ้หยา ไม่เอานะท่าน!”

พอลงจากเขา แม่นางเหยาก็มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านชิงเฉวียนเพื่อจะเอาเสื้อผ้าไปให้กู้เหยี่ยนและกู้เจียว

กู้เหยี่ยนนึกว่าพวกเขาจะมาพากลับจวน ก็เลยไม่ยอมออกมาจากห้อง

แม่นางเหยาจึงฝากของไว้ที่กู้เจียว

เสี่ยวจิ้งคงออกไปเรียนหนังสือจึงไม่มีใครมาปะทะกับท่านโหวกู้ แต่เขากลับถูกฝูงไก่ขัดขวางเสียอย่างนั้น

ฝูงไก่ร้องขึ้นพร้อมๆ กัน และทันใดนั้น พวกมันก็เริ่มยืนเรียงแถวหน้ากระดาน!

สายตาของพวกมันจ้องเขม็งไปที่ท่านโหวกู้ราวกับว่าถ้าเขาเข้าใกล้แม้แต่นิด พวกมันก็จะรุมจิกเขา!

ท่านโหวกู้พยายามจะให้พวกมันแตกแถว แต่พอเขายกขาขึ้น ฝูงไก่ก็เริ่มส่งเสียงร้องดัง!

แม่นางเหยาหันมาทางต้นเสียง

ท่านโหวกู้ชักขากลับ ยืนตัวตรง แล้วยิ้มบาง!

พลางนึกในใจ นี่เขาต้องมาโดนฝูงไก่โจมตีหรือนี่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท