สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 93 มาหาถึงที่

บทที่ 93 มาหาถึงที่

เมื่อเซียวลิ่วหลังตักน้ำกลับมา กู้เจียวก็กำลังนั่งรอเขาอยู่ในห้องโถง

กู้เจียวเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าสำนักหลีมาหา”

เซียวลิ่วหลังหิ้วน้ำไปท้ายเรือน ก่อนจะเทลงในโอ่ง “อืม เจอเขาที่หน้าหมู่บ้านแล้ว”

กู้เจียวเดินมาหน้าประตูด้านหลังของห้องโถง แล้วเอนพิงประตูพลางเอ่ยเสียงเรียบนิ่งว่า “ไม่ถามหน่อยหรือว่าเขาคุยอะไรกับข้า”

“เขาคุยอะไรหรือ” เซียวลิ่วหลังถามขึ้นทันที

กู้เจียวเอ่ยอย่างแจ่มใสว่า “เขาบอกว่าเจ้าเลี้ยงเมียน้อยไว้ในเมืองหลวง”

“แค่ก!” เซียวลิ่วหลังเกือบสำลักตายแล้ว!

“ไม่มีหรือ”

“ไม่มี”

“ไม่มีอะไรหรือ”

“ไม่มีเมียน้อยน่ะสิ!”

ไม่ได้บอกว่าไม่เคยไปเมืองหลวง แต่บอกว่าไม่มีเมียน้อย

กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น “อ๋อ คนปกติได้ยินประโยคนี้เข้า ปฏิกิริยาแรกควรเป็น ‘ข้าไม่เคยไปเมืองหลวง จะไปเลี้ยงเมียน้อยไว้ที่เมืองหลวงได้อย่างไร’ มิใช่หรือ เจ้าปฏิเสธแค่ข้อที่สอง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เคยไปเมืองหลวงมาก่อนน่ะสิ”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “เคยไปแล้วมันทำไมรึ”

กู้เจียวถามว่า “เจ้าได้ใบเบิกทางไปเมืองหลวงมาได้อย่างไร”

เมืองหลวงเป็นเมืองหลวงของแคว้นจ้าว คนที่มีฐานะสูงส่งของแคว้นจ้าวทั้งหมดล้วนพักอาศัยอยู่ที่นั่น แถมยังมีการเฝ้าระวังไว้หนาแน่นมาก คนทั่วไปไม่มีทางได้ใบเบิกทางมาแน่นอน

สามัญชนอย่างเซียวลิ่วหลังจะไม่สามารถเข้าไปในเมืองหลวงได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสอบผ่านระดับท้องถิ่น

“แล้วเจ้าเล่า” เซียวลิ่วหลังเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของกู้เจียวไปตามตรง แต่ย้อนหัวลูกศรกลับมาชี้นางแทน “กล่องใบนั้นของเจ้ามันมาได้อย่างไร”

กู้เจียวนัยน์ตาหรี่ลง

ฉลาดนัก

รู้จักเอาความลับของนางมาปิดปากนางแล้วใช่หรือไม่

เซียวลิ่วหลังถือไม้เท้าเดินไปหาทางทีละก้าว ก่อนจะหยุดลงห่างจากตรงหน้านางไม่ถึงครึ่งก้าว “เจ้าบอกข้ามาสิว่ากล่องของเจ้าใบนั้นมันมาจากไหน แล้วข้าจะบอกเจ้าว่า…ข้าได้ใบเบิกทางเข้าเมืองหลวงได้อย่างไร”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใกล้กู้เจียวมากเช่นนี้ แทบจะชนยอดศีรษะนางอยู่แล้ว

กู้เจียวจึงได้พบว่าเขาสูงขึ้นมาไม่น้อย

กู้เจียวสัมผัสได้ถึงลมหายใจชายหนุ่มที่พ่นออกมาจากเขาได้รำไร สะอาดเย็นฉ่ำ ทว่าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เขาค่อยๆ โตขึ้นจนแทบจะกลายเป็นชายชาตรีคนหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว

ลมหายใจของเขาเย็นเยียบและอันตรายราวกับสัตว์ร้ายที่แยกเขี้ยวออก!

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ จู่ๆ ก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาจิ้มหน้าอกเขาไปมา

เซียวลิ่วหลัง “…”

“อ๊ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”

เซวียหนิงเซียงที่เพิ่งมาถึงหน้าประตูรีบปิดหน้าบ่งบอกว่าตัวเองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!

ท่าทางของเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวใกล้ชิดเกินไปจริงๆ จู่ๆ มาเห็นจึงนึกว่าเซียวลิ่วหลังดันกู้เจียวชิดกับกำแพง กำลังจะทำมิดีมิร้ายกับนาง

ให้สัมผัสที่มือไม่เลวเลย

กู้เจียวจิ้มลงไปอีกครั้ง

เซียวลิ่วหลัง “!!!”

หน้าอกส่งสัมผัสอ่อนนุ่มให้แก่ปลายนิ้วนาง กลิ่นอายสัตว์ร้ายของเซียวลิ่วหลังพลันมลายหายไป เขาเดินหูแดงกลับเข้าห้องไปทันที

เซวียหนิงเซียงสะทกสะท้อนใจอย่างตกตะลึงว่า “หา…เพิ่งจะเคยเห็นเซียวลิ่วหลังเป็นเช่นนี้เป็นครั้งแรก”

“มีธุระอะไรหรือไม่” กู้เจียวเดินไปหาด้วยความสดใส

เซวียหนิงเซียงสายตาตกลงบนใบหน้านางทันที ทำเรื่องใกล้ชิดแบบนั้นให้คนนอกจับได้แท้ๆ เหตุใดคนที่หน้าแดงดันกลายเป็นเซียวลิ่วหลังไปได้เล่า มีตรงไหนผิดพลาดไปหรือไม่นะ

“เอ่อ…คือว่า”

ทว่าเซวียหนิงเซียงกลับไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญไป นางส่งป้ายเหล็กแผ่นนั้นที่ถืออยู่ในมือไปให้กู้เจียว “นี่น่ะ ให้เจ้า”

“ให้ข้าหรือ” กู้เจียวรับมันมาแล้วพบว่าเป็นแผ่นเหล็กที่ทำจากทองแดง บนป้ายเหล็กไม่ได้เขียนอะไรไว้ มีเพียงเครื่องหมายแปลกประหลาดอยู่เท่านั้น

“อื้อ!” เซวียหนิงเซียงพยักหน้า เอ่ยด้วยความลำบากใจอยู่เล็กน้อยว่า “นี่เป็นสิ่งที่เก็บได้ตรงที่ที่เซียวลิ่วหลังหมดสติไปตอนนั้นน่ะ วันนั้นเจ้ามัวแต่พาเขากลับไป ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีสิ่งนี้หล่นอยู่ในพงหญ้าด้วย ข้าจึงแอบเก็บมา เดิมทีคิดว่าจะเอาไปขายที่ตลาด แต่แม่สามีข้าบอกว่านี่มันไม่ใช่ทั้งเงินและไม่ใช่ทั้งทอง ขายไปก็ไม่ได้เงินเท่าใดนักหรอก ข้าจึงวางมันไว้ไม่ได้สนใจ วันนี้หากข้าไม่ได้…”

เซวียหนิงเซียงเล่าข้ามเรื่องที่โก่วหวาเรียกพ่อมั่วซั่วจนทำเอานางโมโหเขย่าหมอนไปด้วยความกระอักกระอ่วน “เห็นมันร่วงลงมาจากในหมอน ข้าก็คงลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยเก็บของสิ่งนี้มา”

เมื่อหนึ่งปีก่อนเซียวลิ่วหลังหมดสติอยู่หน้าหมู่บ้าน เซวียหนิงเซียงกับกู้เจียวเป็นคนเจอเขา

เซวียหนิงเซียงไปตามคนในหมู่บ้านมา ส่วนกู้เจียวแบกคนกลับบ้านทันที พอเซวียหนิงเซียงพาคนมาถึงก็ไร้เงาเซียวลิ่วหลังเสียแล้ว ทว่าเซวียหนิงเซียงกลับเห็นว่าในพงหญ้ามีป้ายหนักอึ้งแผ่นหนึ่งตกอยู่

เซวียหนิงเซียวเอ่ยว่า “ข้าไม่แน่ใจว่าใช่ของเซียวลิ่วหลังหรือไม่ เอาอย่างนี้ เจ้าลองถามเขาดูดีหรือไม่”

กู้เจียวพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

นางข้ามภพมาวันแรก เซียวลิ่วหลังกำลังพลิกหีบรื้อตู้ในห้องนางอยู่ด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าความจริงคือกำลังหาของสิ่งนี้อยู่

เหอะๆ หนุ่มน้อยเอ๋ย พวกเรามาดูกันว่าความลับของใครจะโดนเปิดโปงก่อนกัน

กู้เจียวนำแผ่นทองแดงกลับไปที่ห้อง

นางแน่ใจมากว่าเซียวลิ่วหลังเคยแตะต้องกล่องยาใบเล็กของนาง

กล่องยาใบเล็กของนางนี้คนนอกจะเปิดไม่ออก แต่ก็เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนตอนที่นางสะลึมสะลือจะลืมล็อคกล่องยาไว้

ยาบำรุงแปลกประหลาดกับของใช้คุมกำเนิดพวกนั้นเพิ่งจะปรากฏขึ้นหลังจากที่เซียวลิ่วหลังแตะต้องกล่องยาอย่างนั้นหรือ

สายตากู้เจียวจดจ้องกล่องยาใบเล็กอย่างชั่วร้าย “หากยังกล้าเอาของแปลกๆ มั่วซั่วพวกนี้มาให้ข้าอีก ข้าจะเอาเจ้าไปเผาไฟ!”

ลมเย็นยะเยือกพัดวูบมา กล่องยาใบน้อยเงียบงันไร้เสียง

หลังจากมื้อเช้า กู้จิ่นอวี้ก็เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง นางรับปากแม่นางเหยาเอาไว้ว่าจะไปจุดธูปไหว้กู้ซานหลังและภรรยา

ก่อนจะออกเดินทางนางไปพบแม่นางเหยาและท่านโหวก่อน “ข้าไปที่หมู่บ้านน่าจะได้เจอพี่สาวกระมัง ข้าอยากไปหานาง”

แม่นางเหยาไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ

ท่านโหวกู้กลับกังวลที่กู้เจียวนิสัยดุร้ายเกินไป จะรังแกกู้จิ่นอวี้เอา อย่างไรเสียเด็กทั้งสองก็เคยกระทบกระทั่งกันมาก่อน

ท่านโหวกู้ให้หวงจงกับแม่นมคนเก่าคนแก่ติดตามเดินทางไปด้วย

เนื่องจากกู้เหยี่ยนตื่นเต้นอยู่ทั้งคืนทำให้เขาเพิ่งจะหลับไปตอนมื้อเช้า ยามนี้กำลังนอนหลับฟุบอยู่บนเตียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองพลาดโอกาสที่จะได้ลงไปที่หมู่บ้าน

กู้จิ่นอวี้ขึ้นนั่งบนรถม้า สาวใช้กับแม่นมนั่งอยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่ง หวงจงนำองครักษ์จำนวนหนึ่งขี่ม้าคุ้มกันกู้จิ่นอวี้อยู่ด้านข้าง

ระหว่างทางนั้น กู้จิ่นอวี้เลิกม่านหน้าต่างรถม้าขึ้น มองไปยังหวงจงที่ควบม้าติตดามมาด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าอ่อนโยน “ใต้เท้าหวง เจ้าเคยเห็นพี่สาวข้ามาก่อน นางเป็นคนอย่างไรหรือ”

“อ่า…ก็…” หวงจงไม่ค่อยอยากบอกนัก

จะให้บอกว่าเป็นลูกสาวอกตัญญูที่นิสัยมุทะลุ ตอนปะทะกับท่านโหวทุ่มท่านโหวลงกับพื้นอย่างนั้นรึ

หวงจงกำมือกระแอมขึ้น “แม้ข้าน้อยจะเคยพบคุณหนูใหญ่มาก่อน แต่ก็ไม่ได้พูดคุยด้วยเลยขอรับ”

กู้จิ่นอวี้แย้มยิ้มอย่างเสียดาย “ข้าก็เหมือนกัน ไม่ได้พูดคุยกันอย่างจริงๆ จังๆ เลย หากรู้แต่แรกว่านางเป็นพี่สาวข้า ข้าคงไม่ทำกับนางแบบนั้น ข้านี่มันโง่เสียจริง กระทั่งพี่สาวตัวเองก็ไม่รู้”

หวงจงคิดในใจว่า ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ เสียหน่อย เจ้าย่อมไม่รู้อยู่แล้วสิ ดูอย่างคุณชายน้อยสิ เข้าใกล้คุณหนูใหญ่เพียงแค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่หรือ พี่น้องแท้ๆ กับไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ นั้นแตกต่างกัน!

คำพูดเหล่านี้เขาไม่กล้าเอ่ยออกมา

ยามนี้ยังไม่ได้แพร่งพรายข่าวเรื่องคุณหนูสองท่านให้ในจวนรู้ มีเพียงเขากับเจ้านายไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แต่กระดาษยากจะห่อหุ้มไฟไว้ได้ คงต้องดูว่าท่านโหวกับฮูหยินจะบอกกับภายนอกอย่างไรแล้วล่ะ

หวงจงมาที่นี่หลายครั้งแล้ว สืบข่าวในหมู่บ้านจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว รวมถึงสุสานของกู้ซานหลังและภรรยาด้วย

กู้ซานหลังตายด้วยอุบัติเหตุ ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านไม่ควรเอาฝังไว้ในสุสาน สุสานของเขาอยู่ห่างจากบ้านตระกูลกู้ไกลมากนัก แม่นางสวีฝังอยู่ข้างเขา ว่ากันว่าเป็นความต้องการก่อนตายของแม่นางสวี

รถม้าจอดอยู่หน้าหมู่บ้าน บริเวณค่อนข้างกว้างขวาง ผนวกกับกู้จิ่นอวี้ที่ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ เรียกสายตาจากบรรดาคนในหมู่บ้านกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

กู้จิ่นอวี้พาที่ปรึกษามาด้วย ข้างกายมีสาวใช้และแม่นม

บรรดาคนในหมู่บ้านไม่เคยเห็นคุณหนูในเมืองมาก่อน ดวงตาพลันจับจ้องไม่ขยับไหว

“คุณหนู ท่านระวังเท้าขอรับ!” ทางในชนบทเดินยาก หวงจงกลัวว่าคุณหนูผู้อ่อนแอนางนี้จะสะดุดล้มเข้า

กู้จิ่นอวี้จับแขนสาวใช้พยุงตัวไว้แน่น หลุมบ่อบนถนนเหล่านี้กลั่นแกล้งเท้าสูงส่งคู่นี้ของนางเสียจริง

หลังจากคนทั้งกลุ่มเดินกันไปไกลแล้ว บรรดาคนในหมู่บ้านก็เริ่มซุบซิบกันขึ้น

“เอ๊ะ พวกเขาเป็นใครกัน”

“ไม่รู้จักหรอก ชายคนนั้นเหมือนจะเคยมาสืบข่าวตระกูลกู้ที่หมู่บ้านเราหลายรอบมากนะ”

“นั่น! พวกเจ้าดูสิ พวกเขาเดินกันไปทางสุสานกู้ซานหลังแล้ว!”

“คงไม่ใช่คนตระกูลสวีหรอกกระมัง”

ตระกูลกู้ไม่มีญาติที่มีเกียรติเช่นนี้ พวกคนในหมู่บ้านจึงเดาไปทางตระกูลสวีได้อย่างเดียว

แม่นางสวีไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ ฐานะทางบ้านดีกว่าตระกูลกู้ เรียกได้ว่าเป็นคนในเมืองอยู่ครึ่งตัว แต่หลังจากแม่นางสวีตายไป ตระกูลสวีก็ตัดขาดกันกับตระกูลกู้

เมื่อกู้จิ่นอวี้มาถึงสุสานก็พบว่ามีคนอยู่ตรงเนินสุสาน อาภรณ์เนื้อหยาบ รูปร่างผ่ายผอม สวมหมวกสานไว้ แบกตะกร้าใบเล็กอยู่ที่หลัง

“พี่…สาว”

กู้จิ่นอวี้ลองหยั่งเชิงเอ่ยขึ้น

กู้เจียวพลันชะงักการตัดหญ้าไป นางยืดตัวตรงนิ่งๆ หันหน้าไปมองกู้จิ่นอวี้

กู้จิ่นอวี้พลันเผยรอยยิ้มปรีดาขึ้น “พี่สาว เป็นพี่จริงๆ ด้วย!”

กู้เจียวเหลือบมองนางด้วยความแปลกใจ นางไม่สนใจอีกฝ่าย ยังคงก้มลงตัดหญ้าต่อ

หลังจากพบว่าหญ้าขึ้นที่เนินของสุสานมากเป็นพิเศษตั้งแต่วันครบรอบวันตายของกู้ซานหลังและภรรยา กู้เจียวก็มาตัดหญ้าเป็นประจำ

แม้กู้จิ่นอวี้จะพบเจอท่าทีเย็นชาตอบกลับแต่ก็ไม่คิดจะถอยไป นางปล่อยมือสาวใช้เดินไปหากู้เจียว

แต่จนใจที่รองเท้าปักลายอันประณีตงดงามของนางคู่นั้นใช้เดินบนเนินสุสานไม่ได้ จึงเกือบจะขาพลิก

“คุณหนู! ระวัง!” สาวใช้กับแม่นมกรูกันไปพยุงนางไว้

“ข้าไม่เป็นไร” กู้จิ่นอวี้มองกู้เจียวแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเหยเก ก่อนบอกให้ทั้งสองปล่อยมือ ต่อไปนางจะระวัง

นางยกชายกระโปรงสะอาดสะอ้านไปยังข้างกายกู้เจียว แล้วยื่นมือไปหาอีกฝ่าย “พี่สาว ให้ข้าทำเถอะ”

“ข้าไม่ใช่พี่สาวเจ้า” กู้เจียวเอ่ย “และเจ้าก็ทำไม่ได้ด้วย”

งานมอบแมมเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณหนูที่ถูกตามใจจนเคยตัวจะทำได้

งานที่ต้องใช้พลั่ว กู้เจียวก็ใช้พลั่ว ส่วนงานที่ไม่ต้องใช้นางจึงได้ทำทันที

กู้จิ่นอวี้เลียนแบบท่าทางถอนหญ้าของอีกฝ่าย ยื่นมือไปลองถอนด้วยเช่นกัน ผลสุดท้ายเป็นอย่างที่คิดไว้

สาวใช้กับแม่นมยังไม่รู้ความจริง แต่คนรับใช้ในจวนโหวรู้จักกฎเกณฑ์มาโดยตลอด เรื่องที่ไม่ควรถามก็อย่าได้ถามเด็ดขาด

ปากไม่ถามแต่ในใจกลับเกิดความสงสัยขึ้น

เด็กสาวชนบทวางมาดใหญ่โตนางนี้ คุณหนูของตนยอมลดมาดลงเรียกอีกฝ่ายว่าพี่สาว นางไม่ซาบซึ้งใจก็แล้วไปเถิด ยังมาชักสีหน้าใส่คุณหนูของพวกนางอีก

“พวกเจ้าถอยไปก่อนเถิด” กู้จิ่นอวี้สั่งขึ้น

สาวใช้กับแม่นมถอยไปไกลกว่าสามจั้ง

“เจ้าก็ถอยไปด้วย” กู้จิ่นอวี้เอ่ยกับหวงจง

หวงจงที่กำลังถอนหญ้าปัดๆ มือ และถอยไปไกลเช่นกัน

บนเนินสุสานจึงเหลือเพียงนางกับกู้เจียว

กู้เจียวยังคงตัดหญ้าเหมือนว่ารอบด้านไร้ผู้คน

กู้จิ่นอวี้เอาเสื่อกับกระดาษเงินที่นำมาด้วยวางลงกับพื้น ใช้ไม้ขีดจุดไฟเผากระดาษเงิน ก่อนจะคุกเข่าลงกับเสื่อโขกศีรษะคำนับให้กู้ซานหลังและแม่นางสวี

จากนั้นกู้จิ่นอวี้ก็เอาแต่นั่งคุกเข่าเอาไว้ เผากระดาษเงินพลางพึมพำว่า “ข้าได้ยินว่า ตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นคนดี ดีต่อพี่สาวมาก”

ในที่สุดกู้เจียวก็ตอบสนองเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรียกพ่อแม่สักคำมันจะลวกปากเจ้าตายหรือไร”

กู้จิ่นอวี้สะอึก

กู้ซานหลังกับแม่นางเฉียวเป็นพ่อแม่ที่ดีจริงๆ นั่นแหละ หากพวกเขารู้ว่าอุ้มลูกไปผิดคงได้เสียใจมากและคงจะอยากฟังลูกสาวแท้ๆ เรียกพวกเขาว่าพ่อแม่สักคำ

กู้เจียวปรายตามองนาง “มาแค่เผากระดาษก็ไม่ต้องมาหรอก กระดาษเงินแค่นี้ข้าเผาได้”

กู้จิ่นอวี้ก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่สาว พี่เกลียดข้าใช่หรือไม่ ข้ารู้ว่าข้าไม่ดี ข้าแย่งฐานันดรพี่มา แย่งพ่อแม่พี่มา แย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นของพี่มา พี่เกลียดข้าก็สมควรแล้ว ข้าไม่โทษพี่…”

กู้เจียวไม่สนใจนาง

คนที่โดนแย่งทุกอย่างไปได้ตายไปแล้ว อีกอย่างบอกว่าแย่งนั้นคงไม่เหมาะ กู้จิ่นอวี้ไม่ใช่คนผิด นางก็โดนอุ้มไปผิดเหมือนกัน

ใจนางไร้ซึ่งความโกรธแค้น และไร้ซึ่งความชื่นชอบด้วย

คนผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง

กู้จิ่นอวี้กลับไม่เข้าใจความคิดของกู้เจียว นางรู้สึกแค่ว่ากู้เจียวกำลังกล่าวโทษตน การกล่าวโทษนี้สามารถเข้าใจได้ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นคนเสียเปรียบ

นางเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “พี่สาววางใจได้ ข้าไม่มีทางแย่งกับพี่แน่นอน พี่เป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหว รอให้พี่กลับไปที่จวนโหวแล้ว ข้าจะยกเรือนคืนให้พี่ แต่อย่างไรเสียพ่อแม่ก็เลี้ยงข้ามายาวนานเพียงนี้แล้ว ขอพี่สาวโปรดอนุญาตให้ข้าได้แทนคุณอยู่ข้างกายพ่อแม่ด้วยเถอะนะ”

กู้เจียวเริ่มรำคาญ “พูดจบหรือยัง จบแล้วก็รีบกลับไปได้แล้ว”

กู้จิ่นอวี้เอ่ยขอร้องว่า “พี่สาว พี่กลับจวนไปกับข้าเถิดนะ!”

“ไม่กลับ”

“พี่สาว! ต้องทำอย่างไรพี่ถึงจะยอมกลับไปกับข้า พี่บอกมาสิ ข้าจะทำให้ทั้งนั้น!”

กู้เจียวมองไปยังอีกฝ่ายพลางยิ้มนิ่งๆ “รวมถึงเจ้าออกจากครอบครัวตัวเปล่า ไม่มาปรากฏตัวที่จวนโหวตลอดไปด้วยหรือไม่ล่ะ”

กู้จิ่นอวี้สีหน้าชะงักค้างไป!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท