สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 218 ณ ที่เกิดเหตุ

บทที่ 218 ณ ที่เกิดเหตุ

บทที่ 218 ณ ที่เกิดเหตุ
“อ้าว เจ้ามาแล้วหรือ” ขณะที่กู้เจียวลุกยืนขึ้นก็เห็นเซี่ยวลิ่วหลัง นางหอบกล่องยาใบน้อยพลางเดินไปหาเขา ไม่เหลือสายตาไปมองอันจวิ้นอ๋องแม้แต่นิด

อันจวิ้นอ๋องหัวเราะเยาะให้กับตัวเอง มองดูฝ่ามือยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่องที่ตนยื่นออกไป

เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่านางนั้นหลบทัน

เพียงแต่ว่า…

“วันนี้เลิกเรียนเร็วน่ะ ข้าก็เลยแวะมาหา” เซียวลิ่วหลังชะงักไปก่อนจะพูดต่อ “จิ้งคงถูกหลิวเฉวียนรับกลับไปแล้ว”

มีเพียงคนที่กินอยู่ด้วยกันเท่านั้นถึงจะรู้ใจกันถึงเพียงนี้ ไม่ต้องรอให้นางเอ่ยปากถาม เขาก็รู้ในทันทีว่านางจะถามอะไรบ้าง

กู้เจียวยกยิ้มมุมปาก “ข้าก็ไม่มีงานอะไรที่นี่แล้ว เก็บของเดี๋ยวเดียวก็กลับได้แล้ว”

เซียวลิ่วหลัง “อาการของเจียงสือเป็นอย่างไรบ้าง”

กู้เจียว “ฟื้นตัวดีไม่เลวเลย”

เซียวลิ่วหลัง “เมื่อครู่ข้าเจอเสี่ยวเจียงหลี นางกำลังช่วยหยิบยาอยู่ เป็นสาวน้อยที่ฉลาดไม่เบาเลย”

วันนี้ใครบางคนเหมือนจะพูดมากเป็นพิเศษ

กู้เจียวไม่ได้เก็บเอาไปคิดมากมาย นางกลับไปยังเรือนเล็กเพื่อเก็บข้าวของ

อันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางมองไปทางเซียวลิ่วหลัง สายตานั้นคือความยอมรับและความเมตตา “การสอบฮุ่ยซื่อทำได้ไม่เลวเลยนี่ ความยากของรอบเตี้ยนซื่อก็ไม่ได้ลดหลั่นไปจากฮุ่ยซื่อเลย เจ้าตั้งใจสอบ ส่วนข้าเองก็จะหาวิธีการส่งข้อสอบของเจ้าให้ถึงพระพักตร์ของฝ่าบาท”

บัณฑิตระดับก้งซือที่มีสิทธิ์เข้าสอบต่อหน้าพระพักตร์หรือเตี้ยนซื่อนั้นมีทั้งหมดสองร้อยสิบห้าคน แต่ข้อสอบที่โดดเด่นมากพอที่จะส่งให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนั้นมีไม่ถึงสามสิบฉบับ

ดูผิวเผินแล้วเหมือนว่าอำนาจสูงสุดในการจัดสอบเตี้ยนซื่อนั้นอยู่ในมือของฮ่องเต้ แต่ความจริงแล้วขั้นแรกยังคงต้องฝ่าด่านของเหล่าคณะเสนาบดีให้ได้เสียก่อน

สำหรับผู้เข้าสอบแล้ว หากมีเพียงแค่ความสามารถนั้นคงไม่พอ แต่ยังต้องมีเส้นสายอีกด้วย ไม่อย่างนั้นข้อสอบของเขาคงไม่มีทางถึงมือของฮ่องเต้เป็นแน่

อัครเสนาบดีนั้นแซ่หยวน ทว่าอัครเสนาบดีหยวนนั้นอายุมากแล้ว ยามนี้อำนาจส่วนใหญ่ของคณะเสนาบดีจึงอยู่ในมือของราชครูจวง

และที่อันจวิ้นอ๋องหาหนทางช่วยเหลือเซียวลิ่วหลังอย่างหนักนั้นเป็นเหตุมาจาก ประการที่หนึ่งเพราะเขาถูกชาตะเซียวลิ่วหลังตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ ประการที่สองเป็นเพราะเขามั่นใจในตัวเองมากพอ หากข้อสอบของเขากับเซียวลิ่วหลังถูกส่งไปถึงต่อหน้าฮ่องเต้พร้อมกัน เขาก็ยังคงคว้าตำแหน่งจอหงวนมาได้เช่นเดิมอย่างแน่นอน

ส่วนจะมีเหตุผลประการที่สามหรือไม่นั้น อย่างเช่นว่าทำไปเพื่อแสดงให้กู้เจียวเห็นถึงชาติกำเนิดและความสามารถที่เหนือกว่าอะไรทำนองนั้น ไม่ต้องพูดออกไปก็คงรู้กันดี

กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยบนหลังพลางเดินเข้ามา “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่หรือ”

“ไม่มีอะไร” เซียวลิ่วหลังเหลือบมองอันจวิ้นอ๋องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับบ่งบอกว่าไม่รับความเอื้ออาทรที่มอบให้ ก่อนเขาจะหันหน้ากลับไปเอ่ยกับกู้เจียว “ไปกันเถอะ”

“ไปกัน!” กู้เจียวพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากโรงหมอพร้อมกับเขา

ยามพลบค่ำ เฝิงหลินก็มาถึง เขามาเพียงคนเดียวไม่ได้พาหลินเฉิงเย่มาด้วย ตั้งแต่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับหลินเฉิงเย่ เฮ้ย ไม่ใช่ ตั้งอยู่อาศัยร่วมกับเขา น้อยครั้งนักที่เฝิงหลินจะออกไปไหนมาไหนโดยลำพัง

แต่วันนี้พ่อบ้านโจวได้นัดหมายดูตัวให้กับหลินเฉิงเย่

เฝิงหลินมาเพื่อปรึกษาเซียวลิ่วหลังเรื่องคดีพ่อแม่ของเขาที่อำเภอซง คดีมีความคืบหน้าแล้ว หลังจากที่ลูกศิษย์คนนั้นของตาเฒ่าเฟิงได้รับจดหมายจากเซียวลิ่วหลัง ก็รีบฟื้นคดีของพ่อแม่เฝิงหลินขึ้นมา ทั้งยังไต่สวนบรรดาญาติของเฝิงหลินด้วยตัวเอง

ญาติพี่น้องในชนบทเคยพบเห็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้เสียทีไหน ในความคิดของพวกเขาแต่ผู้เฒ่านายอำเภอก็เป็นเหมือนดั่งเทพเซียนแล้ว ทว่ายามนี้นายอำเภอกลับทำได้เพียงยืนรินชาให้อีกฝ่าย

ไม่ต้องลงแรงมากมาย เหล่าญาติของเฝิงหลินก็สารภาพออกมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเฝิงหลิน ทวงคืนความบริสุทธิ์ให้กับตาเฒ่าทั้งสอง ทั้งยังทวงความบริสุทธิ์กลับคืนมาให้แก่เฝิงหลิน

“ลิ่วหลัง เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่” ภายในห้องหนังสือ เฝิงหลินยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าเซียวลิ่วหลัง

“อืม ได้ยินแล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยออกไปทั้งที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่าทางเจ้าดูแปลกไป

เฝิงหลินยังต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเตี้ยนซื่อในเดือนหน้า จึงไม่ได้อยู่นานนัก

ยามออกจากเรือนมาเขาก็บังเอิญเจอกับจี้จิ่วอาวุโสที่กำลังเดินมาจากเรือนหลังถัดกัน เขาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจบอกเรื่องท่าทางแปลกพิลึกของเซียวลิ่วหลังให้ท่านปู่ของเขารู้ “…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป เป็นเพื่อนกับเขามาตั้งนาน ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน”

จี้จิ่วอาวุโสมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของเซียวลิ่วหลัง

“ท่านมาแล้วหรือ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทั้งทาย ทว่าอารมณ์ดูไม่ค่อยดีนัก

จี้จิ่วอาวุโสนั่งลงตรงข้ามโต๊ะหนังสือของเขา หลังจากนั้นก็จ้องมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก ก่อนจะเอ่ยถามออกมา “มีเรื่องกวนใจหรือ”

“ไม่มีขอรับ” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธ

จี้จิ่วอาวุโสถามต่อ “เรื่องท่านโหวเซียวหรือ”

เซียวลิ่วหลัง “เปล่าขอรับ”

จี้จิ่วอาวุโส “เรื่องสอบระดับเตี้ยนซื่อหรือ”

เซียวลิ่วหลัง “ไม่ใช่ขอรับ”

จี้จิ่วอาวุโสนิ่งไปครู่หนึ่ง “เรื่องเจียวเจียวหรือ”

เซียวลิ่วหลัง “…”

เซียวลิ่วหลังสวนกลับในทันใด “ท่านกำลังสอนการบ้านเสี่ยวจิ้งคงอยู่ไม่ใช่หรือ การเรียนของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

โถ โถ โถ รีบเปลี่ยนประเด็นเชียว

เจ้ากับเณรน้อยนั่นญาติดีกันตั้งแต่เมื่อใด

จี้จิ่วอาวุโสไม่ยอมลดละง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะกัดฟันย้ายมาอยู่ที่นี่หรือ อาเหิงของเขาไม่ใช่อาเหิงที่ไร้กังวลคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมให้ตัวเองก้าวออกมา

จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าอยากถามเจ้ามาโดยตลอด ระหว่างเจ้ากับเจียวเจียว เจ้าตัดสินใจหรือยังว่าจะทำเช่นไรต่อไป ตอนนั้นเจ้าหมดสติอยู่ริมถนนแล้วเจียวเจียวเป็นคนช่วยเจ้าไว้ คนตระกูลกู้บีบบังคับให้เจ้าแต่งงานกับนาง แม้พวกเจ้าจะเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็ไม่นับว่าเป็นสามีภรรยากันจริงๆ”

เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยคำใด

จี้จิ่วอาวุโสพูดต่อ “ที่เจ้าไม่ทิ้งนางไปตั้งแต่ตอนนั้น เพราะกังวลว่านางจะไร้ที่พึ่ง ยามนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว เจ้ามัวคิดอะไรอยู่”

เซียวลิ่วหลังตอบ “ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น

จี้จิ่วอาวุโสถามอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เหตุใดเจ้าถึงเข้าเมืองหลวงมา ชั่วชีวิตนี้เมืองหลวงควรจะเป็นที่ที่เจ้าไม่อยากกลับมาเหยียบมากที่สุดไม่ใช่หรือ”

เซียวลิ่วหลังอ้าปากพะงาบ

ทว่าจี้จิ่วอาวุโสกลับไม่ให้โอกาสเขาโต้ตอบเลยแม้แต่นิด “อย่าบอกว่าเจียวเจียวบังคับเจ้ามาเชียว นางใช้มีดจี้คอเจ้าหรือไร”

เซียวลิ่วหลังหลบตาลง “เปล่าขอรับ”

จี้จิ่วอาวุโสสูดหายใจลึก “สตรีที่ดีเช่นนี้ หากปล่อยให้หลุดมือไป ก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว หากเจ้าไม่ถนอมไว้ ย่อมมีคนอยากเฝ้าถนอมแทนเจ้า ข้าว่าเฝิงหลินก็หน่วยก้านไม่เลว เจ้าหนุ่มหลินเฉิงเย่นั่นก็เป็นคนซื่อตรงดีเหมือนกัน”

เซียวลิ่วหลังหน้าบึ้งตึง “อาจารย์!”

จี้จิ้วอาวุโสหัวเราะชอบใจ “เอาละ เอาละ ข้าหยอกเล่นหรอกน่า พวกเขาไม่ได้คิดกับเจียวเจียวในแง่นั้น แต่ก็ไม่รับประกันว่าคนอื่นจะไม่คิด”

นี่คือความจริง เจียวเจียวเก่งกาจเสียขนาดนั้น ย่อมมีคนเห็นคุณค่าของนางและถูกใจนางอย่างแน่นอน

เจ้าลูกศิษย์ซื่อบื้อนี่ฉลาดไปเสียทุกเรื่อง มีแต่เรื่องนี้สินะที่ไม่ประสีประสา

หลังจากจี้จิ่วอาวุโสกลับไป เซียวลิ่วหลังก็อยู่ในห้องหนังสือพักใหญ่ จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เขาถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกมา

กู้เจียวกำลังเก็บกวาดลานบ้าน

เขาเห็นว่าในห้องเก็บฟืนไม่มีฟืนสำรองแล้ว จึงหยิบขวานหมายจะออกไปผ่าฟืน ทว่ากู้เจียวกลับรีบเดินจ้ำเข้ามา ก่อนจะคว้าขวานจากมือเขาไป “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง”

นางดึงดันไม่ลดละ

พอเซียวลิ่วหลังจะไปตักน้ำที่ริมบ่อ นางก็ขวางเขาไว้

สายตาของเซียวลิ่วหลังตกอยู่บนถังน้ำที่นางถือในมือ ฝ่ามือของนางเรียวยาว แต่ไม่ได้นวลเนียนดุจไขขี้ผึ้งอย่างหญิงสาวตระกูลใหญ่ กลางฝ่ามือของนางมีตาปลา บนหลังมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก็มีรอยแผลเป็น

ฝ่ามือคู่นี้บอกเล่าความลำบากทุกข์ยากของนางได้เป็นอย่างดี

จู่ๆ ในใจของเซียวลิ่วหลังก็พลันเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมา

“เจ้าเป็นอะไรไป” กู้เจียวถามเขา

“เจียวเจียว เจียวเจียว!”

เสี่ยวจิ้งคงวิ่งเตาะแตะเข้ามา ในมือชูกระดาษการบ้านแผ่นหนึ่ง “ท่านปู่ตั้งโจทย์ให้ข้า ข้าทำเสร็จแล้ว!”

กู้เจียวรับมาดู แม้ว่านางจะไม่เข้าใจนัก แต่ลายมือนั้นมีพัฒนาการกว่าแต่ก่อนเลยทีเดียว

“เก่งมาก” กู้เจียวเอ่ยชม

เสี่ยวจิ้งคงไพล่มือไว้ด้านหลัง ไม่ยอมเดินไปไหน

“มีอะไรหรือ” กู้เจียวถาม

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงออดอ้อน “อยากกินถังหูลู่”

กู้เจียวพยักหน้า “ได้เลย ข้าจะไปซื้อให้เจ้า”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้น “พอดีเลย…ข้าจะออกไปซื้อของอยู่เหมือนกัน”

กู้เจียวเผยยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”

เสี่ยวจิ้งคงกระโดดตึงตัง “ข้าก็อยากไปด้วย!”

กู้เจียวเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้ารีบเข้านอน พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียน ส่วนถังหูลู่จะเก็บไว้ให้เจ้ากินพรุ่งนี้เช้าดีไหม”

เสี่ยวจิ่งคง “…เช่นนั้นก็ได้”

เป็นเด็กน้อยนี่ลำบากชะมัด เหตุใดต้องนอนอะไรเยอะแยะด้วย!

กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังออกจากเรือนไป

“เจ้าจะซื้ออะไรหรือ” กู้เจียวเอ่ยถามระหว่างทาง

“เอ่อ…หนังสือน่ะ” เซียวลิ่วหลังตอบ

กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ทางไปซื้อถังหูลู่ต้องผ่านร้านหนังสืออยู่แล้ว”

เซียวลิ่วหลัง “อืม”

ค่ำคืนยามเดือนสามอากาศไม่ได้หนาวเหน็บมากนัก มีเพียงสายลมเย็นที่คอยพัดมาให้ตัวขนลุกอยู่บ้าง

เซียวลิ่วหลังแอบมองกู้เจียวโดยไม่ให้นางรู้ตัว ดูเหมือนว่านาง…ไม่ค่อยหนาวสักเท่าไหร่

ไม่นานทั้งสองก็มาถึงร้านหนังสือ กู้เจียวเอ่ยอย่างเสียดาย “ปิดเสียแล้ว เจ้าจะซื้อหนังสืออะไรหรือ ไว้พรุ่งนี้ข้ามาซื้อให้เจ้า”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น ข้ามาซื้อเองหลังเลิกเรียนวันพรุ่งนี้ก็ได้”

“เช่นนั้นก็ได้”

ทั้งสองมุ่งหน้าเดินต่อไป

ไม่รู้ว่าวันนี้ทำไมถึงได้ดวงกุดนัก ร้านหนังสือปิดยังไม่เท่าไหร่ ร้านถังหูลู่ดันเก็บแผงไปแล้วอีกเนี่ยสิ

เซี่ยวลิ่วหลังทอดสายตามองไปยังถนนในตรอกฝั่งตรงข้าม “เขาก็ชอบกินขนมเกลียวกรอบนี่ ตรงโน้นมีขายแหนะ”

ในชาติก่อนกู้เจียวเคยกินขนมเกลียวกรอบอยู่เหมือนกัน แต่เป็นแป้งทอดกรอบที่คล้ายกับปาท่องโก๋ แต่ขนมเกลียวกรอบของแถบเมืองหลวง มีส่วนผสมของข้าวเหนียว แถมด้านในยังสอดไส้อีกด้วย ไม่ได้มีเพียงเสี่ยวจิ้งคงที่ชอบ แม้แต่กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นก็ชอบเช่นกัน

เพียงแต่กู้เหยี่ยนนั้นกินไม่ได้

นางตัดสินใจแล้วว่าจะไปซื้อขนมเกลียวกรอบ

เดิมทีมีเพียงกู้เจียวเท่านั้นที่รู้สึกว่าวันนี้ดวงไม่ดีสักเท่าไหร่ ทว่าพอมาถึงแผงขายขนมเกลียวกรอบ สีหน้าของเซียวลิ่วหลังก็บึ้งตึงขึ้นมาในทันใด

เมืองหลวงกว้างใหญ่ไพศาล เหตุใดต้องเจอเขาไปเสียทุกหนทุกแห่ง!

แผงขายเกลียวกรอบตั้งโต๊ะไว้สองตัว หนึ่งในนั้นมีจวงเย่ว์ซีและอันจวิ้นอ๋องนั่งอยู่

อันจวิ้นอ๋องเองก็เห็นเซียวลิ่วหลังและกู้เจียว เขาส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับทั้งสอง “บังเอิญนัก พวกเจ้าก็มากินร้านนี้เหมือนกันหรอกหรือ ขนมร้านพวกเขาทำสืบทอดกันมาหลายปีแล้ว รสชาติไม่เลว พวกเจ้ามาจากต่างเมือง คงยังไม่เคยกินใช่หรือไม่”

เซียวลิ่วหลังคิดในใจ ‘กินมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้ว ช่วยจำไว้ด้วย’

จู่ๆ เซียวลิ่วหลังก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

สำนักบัณฑิตสตรีอยู่ติดกันกับโรงหมอ จวงเย่ว์ซีเคยเจอกู้เจียวอยู่บ้าง พอจะรู้คร่าวๆ ว่ากู้เจียวเป็นหมอหญิงอยู่ที่เมี่ยวโส่วถัง แต่ทั้งสองคนไม่เคยทำความรู้จักกัน

นางถามอันจวิ้นอ๋อง “พี่ใหญ่ ท่านรู้จักพวกเขาหรือ”

อันจวิ้นอ๋องแนะนำ “คุณหนูกู้กับเพื่อนร่วมสำนักข้าเอง”

ว่าการตามธรรมเนียมแล้ว หากจะแนะนำคู่สามีภรรยาควรจะบอกว่าเพื่อนร่วมสำนักของข้าและภรรยาของเขาไม่ใช่หรือ

แต่อันจวิ้นอ๋องกลับตั้งใจละคำนั้นไปหรืออย่างไร

พอได้ยินพี่ใหญ่พูดว่าเป็นเพื่อนร่วมสำนัก สีหน้าของจวงเย่ว์ซีก็ยิ้มแย้มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าไม่นาน นางก็เอ่ยถามต่อ “เช่นนั้นคุณหนูกู้เล่า”

สายตาของอันจวิ้นอ๋องยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของกู้เจียวไม่ไปไหน “เป็นลูกสาวของจวนติ้งอันโหว”

จวนติ้งอันโหวมีลูกสาวเพียงแค่สองคน คนหนึ่งคือกู้จิ่นอวี๋ อีกคนหนึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆ เล่าลือกันว่าเติบโตมาในชนบท

คือแม่นางที่อยู่ตรงหน้านี่หรอกหรือ

ช่างหน้าตา…เสียจริง

จวงเย่ว์ซีเห็นปานแดงบนแก้มซ้ายของกู้เจียว ก็กลืนคำถามลงคำไป

นางไม่ใช่คนไม่ไว้หน้าใครเหมือนอย่างจวงเมิ่งเตี๋ย

ในเมื่อพี่ใหญ่ยอมรับว่าเป็นสหายของตัวเอง เช่นนั้นนางก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างนอบน้อม

“มานั่งเถิด ยังต้องรออีกนาน” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยกับทั้งสอง

ยังมีโต๊ะอีกหนึ่งตัว แต่หน้าเสียดายที่มีคนจับจองที่นั่งไปหมดแล้ว เหลือที่ว่างแค่ข้างพวกเขาจริงๆ

ทั้งสองเดินเข้าไปแล้วนั่งลง

กู้เจียวนั่งติดกับจวงเย่ว์ซี เซียวลิ่วหลังนั่งข้างอันจวิ้นอ๋อง

ทว่าตำแหน่งนั้นกลับทำให้อันจวิ้นอ๋องนั่งประจันหน้ากับกู้เจียว และกลายเป็นจวงเย่ว์ซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามเซียวลิ่วหลัง

ในสายตาของจวงเย่ว์ซีมีเพียงพี่ชาย จึงไม่ได้สนใจมองเซียวลิ่วหลังมากนัก

ทว่าอันจวิ้นอ๋องกลับเอาแต่จ้องกู้เจียวเนี่ยสิ!

เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้ว นี่เขานึกครึ้มใจอะไรขึ้นมา เหตุใดถึงได้มาซื้อขนมเกลียวกรอบได้

มีคนมาซื้อขนมเกลียวกรอบมากมาย รอได้หนึ่งเค่อก็ถึงคราวของพวกเขาแล้ว ระหว่างนั้นเกลียวกรอบของอันจวิ้นอ๋องกับจวงเย่ว์ซีก็เสร็จพอดี ทว่าอันจวิ้นอ๋องกลับสละให้คนอื่นก่อนเสียอย่างนั้น

เซียวลิ่วหลังใบหน้าบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม

อันจวิ้นอ๋องพูดคุยกับทั้งสองตามมารยาทอยู่สองสามประโยค ทว่าส่วนใหญ่กลับเป็นประโยคคำถามเช่น ‘เหตุใดพวกเจ้าถึงออกมากินดึกดื่นเช่นนี้’ ‘พวกเจ้าเดินทางมาอย่างไร’ ‘ไกลหรือไม่ ประเดี๋ยวให้ส่งพวกเจ้ากลับหรือไม่’

จวงเย่ว์ซีไม่ได้รู้สึกว่าพี่ชายปฏิบัติต่อกู้เจียวดีเป็นพิเศษหรืออย่างไร แถมยังคิดว่าพี่ชายของตัวเองเป็นห่วงเป็นใยสหายเสียมากกว่า

ทว่าเซียวลิ่วหลังนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขากับอันจวิ้นอ๋องนั้นไม่ได้สนิทสนมกันแต่อย่างใด

ผ่านไปเพียงครู่ อันจวิ้นอ๋องก็พูดถึงหนังสือดาราศาสตร์เล่มหนึ่งที่เคยอ่านยามอยู่แคว้นเฉิน

กู้เจียวสนอกสนใจ

หากนางสนใจอะไรสักอย่าง ดวงตาของนางจะเปล่งประกาย เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ

เซียวลิ่วหลังรนร้อนอยู่ในใจ

ขนมเกลียวกรอบของพวกเขาได้แล้ว อันจวิ้นอ๋องกำลังจะจ่ายเงิน

“ไม่ต้อง” เซียวลิ่วหลังวางเหรียญทองแดงลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเย็นชา “พวกข้าซื้อเอง”

อันจวิ้นอ๋องยกมือขึ้นยักไหล่พลางยิ้ม

เซียวลิ่วหลังและกู้เจียวเดินจากไป อันจวิ้นอ๋องและจวงเย่ว์ซีก็กำลังขึ้นรถม้าเพื่อกลับไปที่จวน

และในวินาทีนั้น จู่ๆ บนถนนก็มีขบวนเชิดมังกรและสิงโตออกมา ที่แท้ก็เป็นขบวนของนางคณิกาจากหอนางโลมแห่งหนึ่ง เสียงดังอึกทึกคึกโครมไปทั่วทั้งถนนฉังอาน

ผู้คนแห่กันกรูเข้ามา ดูท่าแล้วคงจะกลืนพวกเขาจนหายไปกับฝูงชนเป็นแน่

กู้เจียวคว้าข้อมือของเซียวลิ่วหลังไว้แน่น พาเขาแทรกตัวเบียดเสียดลัดเลาะออกไปจากมวลชน

จนกระทั่งเข้ามาในตรองปี้สุ่ย กู้เจียวถึงได้หยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาตามมา

ร่างเล็กของกู้เจียวแข็งทื่อไปทั้งตัว ก่อนจะเหลียวกลับไปมอง

ก่อนจะพบว่าคนที่นางจูงมือมานั้นไม่ใช่เซียวลิ่วหลัง แต่กลับเป็นอันจวิ้นอ๋อง

กู้เจียว “…”

อีกฟากหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวลิ่วหลังก็บึ้งตึงสุดขีด

หญิงผู้นี้ กล้าหนีไปกับชายอื่น…ต่อหน้าต่อตาเขาเลยอย่างนั้นหรือ!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท