สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 235 ตบหน้า

บทที่ 235 ตบหน้า

ช่วงปลายเดือนสาม ทูตแคว้นเหลียงเดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นเจา 

 

 

ราชเลขาหยวนและเอกอัครราชทูตรวมทั้งเซวียนผิงโหวก็มาต้อนรับถึงหน้าประตูเมืองด้วยตัวเอง 

 

 

เดิมทีเซวียนผิวโหวไม่อยากมาสักเท่าไหร่ แต่คราวก่อนที่ถูกลงโทษให้คัดลายมือ เขาก็ยังคัดไม่เสร็จฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เข้าไปรับทูตแคว้นเหลียง และให้โทษคัดลายมือเป็นอันเลิกแล้วไป 

 

 

เซวียนผิวโหวจึงต้องมายังประตูเมืองอย่างไม่เต็มใจนัก เขานั่งอยู่บนรถม้าด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย แม้แต่ราชเลขาหยวนยังทนมองไม่ไหว 

 

 

ทว่าพอทูตแคว้นเหลียงมาถึง ท่าทีของเซวียนผิงโหวก็เปลี่ยนไปในพริบตา 

 

 

เขาลงจากรถม้า พลางยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึม ดูมีสง่าราศี มาดของเขาดูน่าเกรงขาม แต่ก็งดงามอ่อนช้อยในยามเดียวกัน 

 

 

มิน่าล่ะฮ่องเต้ถึงได้ดึงดันให้เขามาต้อนรับทูตนัก เพราะใบหน้านี้ของเขาสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้กับแคว้นเจาได้จริงๆ 

 

 

ขุนนางทั้งสองฝั่งทักทายกัน แต่ไหนแต่ไรมาเซวียนผิงโหวก็ไม่เคยรู้ขนบธรรมเนียมระหว่างสองแคว้นแม้แต่นิด จึงเป็นธรรมดาที่เขาไม่พูดอะไรมากในเวลาเช่นนี้ 

 

 

ด้วยเหตุนี้คนนอกจึงกล่าวถึงเซวียนผิงโหวว่าเป็นคนเย็นชาและประหยัดถ้อยคำมาตลอด 

 

 

ทูตแคว้นเหลียงเข้าพักที่จวนหลังหนึ่งของราชนิกุล อยู่ห่างจากวังหลวงไม่ไกลนัก 

 

 

ในคืนนั้น ไท่จื่อเฟยจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักฉีหลิน เพื่อต้อนรับทูตจากแคว้นเหลียงที่เดินทางมาไกล 

 

 

“อ๋องเฟย อ๋องเฟย! ถึงเวลาตื่นแล้วเพคะ!” 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยกำลังหลับฝันหวาน จู่ๆ ก็ถูกนางข้าหลวงเขย่าจนตื่นขึ้นมา 

 

 

นางลืมตาโพลงในทันใด “มีอะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

นางข้าหลวงสวี่เห็นท่าทางสะลึมสะลือของนางก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “คืนนี้มีงานเลี้ยง ท่านลืมไปแล้วหรือเพคะ ถึงเวลาตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วเพคะ” 

 

 

“ยังเช้าอยู่เลยมิใช่หรือ” รุ่ยอ๋องเฟยมองท้องฟ้า ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ 

 

 

หลังจากตั้งท้องนางก็ง่วงนอนมากกว่าแต่ก่อน ข้าหลวงสวี่ไม่กล้าบังคับนาง รอเฝ้าอยู่ข้างเตียง ปล่อยให้นางหลับอีกครึ่งชั่วยามถึงได้ปลุกนางให้ตื่นอีกครั้ง 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนเป็นชุดพิธีการยิ่งใหญ่อลังการของอ๋องเฟย สวมเครื่องประดับหรูหรา ก่อนจะเข้าวังหลวงไปด้วยใบหน้าปั้นปึ่ง 

 

 

องค์ชายสามรุ่ยอ๋องมาถึงวังตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว คอยติดตามองค์ชายใหญ่หนิงอ๋องต้อนรับเหล่าทูตอยู่ตลอด 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยเห็นเขาตั้งแต่ไกลพลางโบกมือให้เขา ทว่าเขากลับมองไม่เห็น 

 

 

“อ๋องเฟย!” นางข้าหลวงสวี่กระซิบเตือน 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า กฎระเบียบ กิริยา สำรวม” 

 

 

บนบัลลังก์ของตำหนักฉีหลินมีฮ่องเต้ เซียวฮองเฮา และจวงกุ้ยเฟยประทับอยู่ 

 

 

ซูเฟยถูกกักบริเวณ เสียนเฟยก็ล้มป่วย ส่วนนางสนมอื่นก็ไม่มียศตำแหน่งสูงพอที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ 

 

 

ภายในโถงใหญ่ของตำหนักที่ทอดยาว ฟากซ้ายมีทูตจากแคว้นเหลียงนั่งอยู่ ส่วนฟากขวาก็เป็นราชนิกุลและขุนนางใหญ่ของแคว้นเจานั่งเรียงราย 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยนั่งบนส้นเท้าอยู่บนเบาะรอง ส่วนนางข้าหลวงสวี่นั่งทับขาบนพื้นไม้อยู่ด้านหลัง คอยปรนนิบัตินางอยู่ตลอด 

 

 

รุ่ยอ๋องแวะมาหาได้เพียงไม่ทันไรก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวไปอีกครั้ง คราวนี้ราชนิกุลของแคว้นเหลียงก็มาด้วยเช่นกัน องค์ชายแต่ละพระองค์พากันชิงดีชิงเด่นหมายให้ฮ่องเต้และเหล่าราชนิกุลจากแคว้นเหลียงได้เห็นหน้าค่าตาของตน 

 

 

ไม่นานงานเลี้ยงฉลองก็เริ่มต้นขึ้น 

 

 

งานเลี้ยงในคืนนี้ได้ไท่จื่อเฟยเป็นแม่งานทั้งหมด แม้รุ่ยอ๋องเฟยจะไม่ชอบขี้หน้าเวินหลินหลังมากสักเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่านางจัดงานได้ไม่เลวเลยทีเดียว 

 

 

ตั้งแต่อาหารการกินไปถึงการประดับตกแต่ง แม้แต่บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ไปจนถึงการแสดงก็ล้วนแต่สมบูรณ์แบบไร้ที่สติ 

 

 

หลังจากการแสดงตระการตามากมายจบลง ไท่จื่อเฟยก็จัดเตรียมการแสดงสุดพิเศษอีกชุดหนึ่ง “เพื่อเป็นการต้อนรับทูตทุกท่าน ต่อไปจะเป็นการบรรเลงฉินและขลุ่ย จากรุ่ยอ๋องเฟยแห่งแคว้นเจาของเราและปรมาจารย์ดนตรีอันดับหนึ่งแห่งวังหลวง ปรมาจารย์เซี่ย ในบทเพลง ‘อินทรีย์ผงะเงาตน’” 

 

 

ช้าก่อน มิใช่การบรรเลงเดี่ยวหรอกหรือ 

 

 

‘อินทรีย์ผงะ’ เป็นเพลงของแคว้นเจา เป็นผลงานประพันธ์ของเย่ว์อิ่ง ปรมาจารย์ดนตรีอันดับหนึ่งแคว้นทั้งหก บทประพันธ์เดิมแบ่งออกเป็นบทต้นและบทท้าย บทต้นชื่อว่า ‘อินทรีย์ผงะ’ บทท้ายชื่อว่า ‘เงาตน’ 

 

 

ทว่าเพลงท่อน ‘เงาตน’ นั้นได้หายสาบสูญไปแล้ว 

 

 

ท่อนแรกของเพลงนี้เริ่มต้นด้วยการบรรเลงร่วมกันของฉินและขลุ่ยก็จริง แต่ขลุ่ยนั้นเหมาะกับการบรรเลง ‘อินทรีย์ผงะ’ มากกว่า ส่วนฉินโบราณนั้นก็เข้ากับท่อน ‘เงาตน’ มากกว่าเช่นกัน 

 

 

หากบรรเลงฉินโบราณและขลุ่ยคู่กันใน ‘อินทรีย์ผงะ’ ฉินโบราณจะถูกขลุ่ยกลบแสงเอาได้ง่ายๆ 

 

 

คนทั่วไปไม่มีทางรู้รายละเอียดพวกนี้ ในงานอาจมีเพียงรุ่ยอ๋องเฟยและเหล่าผู้มีพรสวรรค์ด้านดนตรีไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้ 

 

 

เวินหลินหลังจงใจทำให้นางนางอย่างนั้นหรือ 

 

 

ความคิดแวบเข้ามาในหัวของรุ่ยอ๋องเฟย จากนั้นก็ได้ยินเสียงรายงานจากคนของวังหลวง “ปรมาจารย์เซี่ยเกิดหกล้มบาดเจ็บกะทันหัน ไม่สามารถมาร่วมงานไปพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แขกเหรื่อตื่นตกใจ 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยนึกว่าประเดี๋ยวตนเองจะได้บรรเลงเดี่ยว แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดกันว่า ชายหนุ่มจากแคว้นเหลียงในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งจะลุกยืนขึ้น “ได้ยินมานานแล้วว่ารุ่ยอ๋องเฟยนั้นปรีชาสามารถด้านดนตรีไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ กระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ ขอรุ่ยอ๋องเฟยได้โปรดร่วมบรรเลงกับกระหม่อมสักหนึ่งบทเพลงได้หรือไม่” 

 

 

“ท่านคือ…” ฮ่องเต้มองเด็กหนุ่มที่พรวดพราดขึ้นมาด้วยสายตาประหลาดใจ 

 

 

อวี้ชินอ๋องแห่งแคว้นเหลียงแนะนำเขา “เขานามว่าอู๋หมิง เป็นลูกศิษย์สายตรงของใต้เท้าเย่ว์อิ่ง” 

 

 

ทุกคนพากันตกตะลึง ความอิจฉาและความชื่นชมเผยออกมาทางแววตา 

 

 

ใต้เท้าเย่ว์อิ่งเป็นตำนานที่เล่าขานท่ามกลางแคว้นทั้งหกมาตลอด ชั่วชีวิตของพวกเขาอาจไม่มีทางได้พบใต้เท้าผู้นี้ แต่การได้พบลูกศิษย์สายตรงของเขาก็นับว่าเป็นเกรียติอย่างยิ่งเช่นกัน 

 

 

อ๋อ ที่แท้ไม่ได้จงใจขายขี้หน้านาง แต่ให้นางเป็นตัวประกอบของคนอื่นสินะ 

 

 

ช่างใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างได้ยอดเยี่ยมแท้ 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยไม่สบอารมณ์นัก 

 

 

อู๋หมิงยกขลุ่ยขึ้นแล้วประสานมือคำนับ “เชิญพ่ะย่ะค่ะ รุ่ยอ๋องเฟย” 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยกัดฟันเอย “เอาฉินมา” 

 

 

“เพคะ” นางข้าหลวงสวี่ออกไปหอบกล่องฉินด้านนอกตำหนัก 

 

 

มีคนตระเตรียมโต๊ะยาวและเบาะรองนั่งไว้กลางตำหนักตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยประจำที่ 

 

 

นางข้าหลวงสวี่เปิดกล่องฉิน ก่อนจะต้องชะงักไป 

 

 

นี่ไม่ใช่ฉินของรุ่ยอ๋องเฟย! 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยเห็นนางนิ่งไป ก็เหลือบตามอง เพียงแค่เห็นเท่านั้น นางก็แทบจะเป็นลมหมดสติไป! 

 

 

ฉินชิวเย่ว์ของนางหายไปไหน เหตุใดถึงกลายเป็นฉินฝูซีไปได้ 

 

 

ฉินทั้งสองแบบแค่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่เสียงนั้นไม่ต่างกันสักนิด ทว่านางนั้นคุ้นเคยกับฉินของตัวเอง นอกจากนั้นแล้วนางไม่เคยใช้ฉินที่ทำเลียนแบบขึ้นมา 

 

 

ทว่านางนั้นจำได้ว่านี่คือฉินของกู้เจียว เพราะส่วนปลายตัวเรือนของฉินที่ถูกไฟไหม้นั้นสะดุดตาเหลือเกิน อีกทั้งตัวเครื่องของฉินยังแกะสลักคำว่าฝูซีอีกต่างหาก ปลอมกันถึงขนาดนี้ชักจะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง 

 

 

นางยังจำได้ดี 

 

 

กล่องใส่ฉินเป็นของนาง 

 

 

แน่นอนว่านางไม่ได้คิดว่ากู้เจียวอยากได้ฉินตัวนั้นของนาง จึงแอบสลับฉินของกันและกัน แต่ต้องเป็นเพราะขันทีน้อยคนนั้นที่ทำพลาดเป็นแน่! 

 

 

“โธ่ แคว้นเจาของพวกเจ้ายากจนข้นแค้นถึงขั้นต้องใช้ฉินผุพังที่ถูกไฟครอกจนไหม้เกรียมเชียวหรือ” 

 

 

นั่นเป็นคำพูดของแม่ทัพคนหนึ่งของแคว้นเหลียง ฐานะของแคว้นเหลียงนั้นเหนือกว่าแคว้นเจาอยู่แล้ว เหล่าทูตและขุนนางล้วนแต่ไม่เคยเห็นแคว้นเจาอยู่ในสายตา เพียงแค่คำพูดกระทบกระเทียบเพียงไม่กี่คำนั้นถือว่าเบาแล้ว 

 

 

ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่อยู่ข้างแม่ทัพร่วมผสมโรง “หากแคว้นเจาไม่มีฉิน แคว้นเหลียงของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน!” 

 

 

เหล่าขุนนางพากันหัวเราะใหญ่ ทว่าเป็นเสียงหัวเราะปลอบใจ 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยโมโหจนแทบอยากจะอัดพวกเขาให้น่วม! 

 

 

สีหน้าของจวงกุ้ยเฟยพลันเปลี่ยน ดูไม่สู้ดีนัก 

 

 

อันที่จริงนางเป็นคนแนะนำการแสดงนี้ให้กับไท่จื่อเฟย เพราะเห็นแก่หน้าตาเซียวฮองเฮาและเหล่านางสนมวังหลัง ไท่จื่อเฟยจึงไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

นางเจตนาดี หวังว่ารุ่ยอ๋องเฟยจะได้แสดงฝีไม้ลายมือตาหน้าผู้คนในงานเลี้ยงฉลอง สร้างบรรยากาศครื้นเครงให้กับพวกเขา 

 

 

ทว่านอกจากจะไม่ได้สร้างสีสันแล้วแต่กลับขายหน้าขายตาอีกต่างหาก 

 

 

“ภรรยาขององค์ชายสามคิดอย่างไรของนางกัน ฉินดีๆ สักตัวก็ไม่มีเชียวหรือ” 

 

 

จวงกุ้ยเฟยเดือดดาล 

 

 

เซียวฮองเฮาเองก็โมโหไม่แพ้กัน แม้นางจะไม่ถูกกับหนิงอ๋องจนแทบอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องบาดหมางกันส่วนตัว มีอย่างที่ไหนถึงได้มาหักหน้ากันต่อหน้าแคว้นอื่นเช่นนี้ 

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ก็ถมึงทึงขึ้นมาแล้ว 

 

 

นำฉินผุพังมาต้อนรับเหล่าทูตจากแคว้นเหลียงเช่นนั้น ขายขี้หน้ายังไม่เท่าไหร่ แต่จะกลายเป็นขี้ปากไปทั่วนี่สิ เดิมทีการเยือนครั้งนี้ของแคว้นเหลียง ก็มาเพื่อเย้ยหยันแคว้นเจาอยู่แล้ว ครานี้ยิ่งมีเหตุให้ถากถางกันสนุกปากยิ่งกว่าเดิม 

 

 

“หม่อมฉันจะนำฉินมาเปลี่ยนให้เพคะ!” นางข้าหลวงสวี่เอ่ย 

 

 

“ไม่ทันแล้วล่ะ” รุ่ยอ๋องเฟยส่ายหัว เสียหน้าไปแล้ว หากยังจะเปลี่ยนฉินอีกพวกเขาก็จะยิ่งได้ใจ พวกเราก็จะหน้าแตกยิ่งกว่าเดิม 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยหลับตาลง ไม่สนใจว่าลูกศิษย์ของใต้เท้าเย่ว์อิ่งจะเต็มใจร่วมบรรเลงเพลงกับนางหรือไม่ นางก็เริ่มดีดท่อนแรกนำขึ้นมา 

 

 

เพียงแค่ท่อนเดียว ก็พาให้คนทั้งงานตกตะลึง 

 

 

อู๋หมิงได้สติกลับมาเป็นคนแรก เมื่อเขาเห็นรุ่ยอ๋องเฟยเริ่มดีดฉิน ก็ยกขลุ่ยในมือขึ้นมาแล้ววางจรดริมฝีปาก บรรเลงไปตามจังหวะของรุ่ยอ๋องเฟย 

 

 

บทเพลงนี้อาจารย์ผู้มีพระคุณของอู๋หมิงเป็นผู้แต่ง อู๋หมิงฝึกซ้อมเพลงนี้มาไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว ที่เขาเป็นต่อเรื่องเครื่องดนตรีนั้นยังไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนเขากำลังบรรเลงนำ 

 

 

เพราะไม่คุ้นเคยกับฉินตัวนี้ และเพราะจิตใจว้าวุ่น ในตอนแรกรุ่ยอ๋องเฟยจึงยังไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่ 

 

 

ทว่าผ่านไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวนางเองก็ถูกเสียงฉินขับกล่อมจนเคลิ้ม 

 

 

มีฉินที่ดีดได้ดีเยี่ยมเช่นนี้ด้วยหรือ มีเสียงฉินที่ตราตรึงใจเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ 

 

 

พริบตาเดียวเสียงของฉินฝูซีก็กลบเสียงของบรรเลงนำของขลุ่ย 

 

 

สีหน้าของแต่ละคนนั้นล้วนแต่แตกต่างกันออกไป 

 

 

เซียวฮองเฮาพึมพำ “นั่น นั่นมันฉินอะไรกัน… ตอนที่เจ้าไปแคว้นเหลียงเคยได้ยินฉินฝูซีที่ไพเราะเช่นนี้หรือไม่” 

 

 

ตอนเป็นเด็กไท่จื่อเฟยเคยติดตามคณะทูตไปยังแคว้นเหลียง 

 

 

ไท่จื่อเฟยมองรุ่ยอ๋องเฟยที่อยู่กลางตำหนักด้วยสายตายากอธิบาย “หม่อมฉันเคยเห็น แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ฟังเพคะ” 

 

 

บทเพลงจบลง ทั้งตำหนักเงียบสงัดราวกับไร้ชีวิต เห็นได้ชัดว่าเพราะจับใจคนฟังเหลือเกิน ทุกคนต่างยังคงดำดิ่งอยู่ท่ามกลางเสียงฉินของรุ่ยอ๋องเฟย 

 

 

ทันในนั้น ชินอ๋องแห่งแคว้นเหลียงก็ลุกยืนขึ้น พร้อมทั้งปรบมือให้กับรุ่ยอ๋องเฟยเป็นคนแรก “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!” 

 

 

คำชมทั้งสองคำนั้นมอบให้รุ่ยอ๋องเฟย แม้บทเพลงจะไพเราะอยู่แล้ว แต่สัดส่วนของเสียงขลุ่ยนั้นมีไม่มากนัก ความสนใจของพวกเขาล้วนแต่ถูกเสียงฉินดึงดูดไปทั้งหมด 

 

 

เหล่าคนที่เยาะเย้ยรุ่ยอ๋องเฟยเมื่อครู่ไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก 

 

 

หากนี่เรียกว่าฉินผุพัง เช่นนั้นใต้ฟ้านี้คงไม่มีฉินโบราณเหลืออยู่แล้ว 

 

 

อู๋หมิงมองรุ่ยอ๋องเฟย ก่อนจะมองฉินโบราณตรงหน้านางอีกครั้ง “ฉินฝูซีเงาจันทร์ของอาจารย์ข้ายังไม่อาจเทียบได้กับฉินตัวนี้ ขอถามรุ่ยอ๋องเฟยได้หรือไม่ ฉินตัวนี้มาจากที่ใดหรือ” 

 

 

ฉินฝูซีเงาจันทร์เป็นฉินจำลองที่สมบูรณ์แบบที่สุดในแคว้นทั้งหก หากยอดเยี่ยมกว่าฉินตัวนั้น จะเป็นฉินอะไรไปได้อีก ฉินฝูซีของจริงอย่างนั้นหรือ 

 

 

หากคนอื่นพูดคงไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แค่เขาคืออู๋หมิงลูกศิษย์สายตรงของปรมาจารย์เย่ว์อิ่ง 

 

 

ฮ่องเต้พลันยิ้มขึ้นมาในทันใด 

 

 

สะใภ้สามเป็นหน้าเป็นตาให้เขาอีกแล้ว 

 

 

จะบอกไปว่าหยิบฉินมาผิดตัวก็คงไม่ได้ 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟยคิดอยู่นานก่อนจะตอบน้ำเสียงจริงจัง “ยืมมาจากสหายคนหนึ่งน่ะ” 

 

 

อู๋หมิง “สหายท่านนั้นคือ…” 

 

 

รุ่ยอ๋องเฟย “ต้องขอโทษด้วย คงบอกท่านไม่ได้” 

 

 

อู๋หมิงประสานมือคำนับ ก่อนจะกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง 

 

 

พอมีการแสดงแสนตราตรึงอารมณ์ของรุ่ยอ๋องเฟยและฉินฝูซีแล้ว การแสดงตระการตาที่ไท่จื่อเฟยตั้งอกตั้งใจเตรียมมาต่อท้ายก็กลายเป็นจืดชืดไปเสียหมด 

 

 

ทุกคนจำได้เพียงฉินตัวนั้น และรุ่ยอ๋องเฟยผู้บรรเลงเพลงฉิน 

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท