กลางดึก พ่อบ้านประจำจวนตระกูลถังก็มายังเมี่ยวโส่วถัง
เขาเดินเข้าไปในโถงใหญ่ ก่อนจะร้องตะโกน “ตามหมอที่ฝีมือดีที่สุดของพวกเจ้ามา แล้วรีบตามข้าไปที่จวนหยวนไซว่บัดเดี๋ยวนี้!”
หมอที่ฝีมือดีที่สุดของเมี่ยวโส่วถังก็ต้องเป็นกู้เจียวอยู่แล้ว ทว่าวันนี้กู้เจียวไม่อยู่ หากเป็นแต่ก่อน ผู้ดูแลหวังคงให้หมอซ่งออกไปรักษาแทน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้ว่าใครฝีมือดีที่สุด
หมอซ่งเองก็ฝีมือไม่เลว ได้รับถ่ายทอดวิชามาจากกู้เจียวมากมาย
ทว่าพอได้ยินคำว่าจวนหยวนไซว่ ผู้ดูแลหวังก็ตั้งสติไม่อยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่า…อาการเป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามพ่อบ้านจวนตระกูลถัง
พ่อบ้านตระกูลถังเองก็ไม่ปิดบังตอบออกไปตามตรง “ท่านชายของข้าถูกคนฟันแขนขาด รักษาได้หรือไม่”
เช่นนี้หมอซ่งคงรักษาไม่ไหว
ส่วนกู้เจียวรักษาได้หรือไม่นั้น ผู้ดูแลหวังเองก็ไม่แน่ใจนัก ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นกู้เจียวรักษามาก่อน
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกเสี่ยวซานจื่อเข้ามา “เจ้าไปที่เรือนแม่นางกู้ที”
เสี่ยวซานจื่อมายังตรอกปี้สุ่ย
คนที่เปิดประตูให้เขาคือกู้เสี่ยวซุ่น
“เสี่ยวซุ่นพี่สาวเจ้าอยู่หรือไม่” เสี่ยวซานจื่อถาม
กู้เสี่ยวซุ่นตอบ “ท่านพี่อยู่ที่เรือนหลังถัดกันนี่แหละ เจ้ามีธุระกับนางหรือ”
เสี่ยวซานจื่อตอบ “ได้ เช่นนั้นข้าจะไปตามนาง”
กู้เจียวเพิ่งจะให้น้ำเกลือกู้เหยี่ยนเสร็จ ก็ได้ยินว่าเสี่ยวซ่านจื่อมาหา นางเก็บของเข้าที่ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้กู้เหยี่ยน แล้วปลดมุ้งลง “เข้ามาสิ”
“ขอรับ” เสี่ยวซานจื่อเดินเข้าไป เขาไม่กล้ามองไปทางอื่นทั้งยังไม่กล้าถาม ระวังตัวเป็นอย่างมาก “แม่นางกู้ มีลูกค้ามาที่โรงหมอ ขอให้ท่านไปรักษา”
“หมอซ่งไปไม่ได้หรือ” กู้เจียวตอบ
เสี่ยวซ่านจื่อเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “คนป่วยจากจวนหยวนไซว่ ได้ยินมาว่าถูกคนฟันแขนขาด หมอซ่งรักษาไม่ได้หรอกขอรับ”
มือของกู้เจียวที่กำลังจัดมุ้งชะงักไป “จวนหยวนไซว่อย่างนั้นรึ จวนหยวนไซว่ไหน”
เสี่ยวซ่านจื่อตอบ “ในเมืองหลวงมีจวนหยวนไซว่แห่งเดียวขอรับ เดิมทีคือจวนตระกูลถัง” เขามองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบเอ่ย “แม่นางกู้ ท่านยังไม่รู้ข่าวใหญ่ของวันนี้ใช่ไหมขอรับ”
“ข่าวอะไรรึ” กู้เจียวถาม
เสี่ยวซานจื่อพูด “คือว่า…เกิดเรื่องขึ้นที่ค่ายใหญ่หู่ซาน ได้ยินมาว่าหลานชายของหยวนไซว่ผู้ยิ่งใหญ่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครคนหนึ่ง จึงถูกคนฟันจนบาดเจ็บสาหัส…ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกฟันจนแขนขาด ไม่รู้ว่าคือผู้ใดถึงได้อาจหาญเพียงนั้น…”
โอ้โห แขนขาดเชียวหรือ
กู้เจียวหรี่ตา นัยน์ตาฉายแววเปล่งประกายขึ้นมา “ได้ ข้าจะไป”
“ยอดไปเลยขอรับ! เช่นนั้นข้าไปรอท่านที่รถม้า!” เสี่ยวซานจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสร็จก็หายวับออกไป
กู้เจียวยิ้มร้าย หยิบสมุดเล่มน้อยของตัวเองออกมา ก่อนจะใช้ดินสอถ่านเขียนชื่อของถังหมิงลงไปบนนั้น
กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยขึ้นหลัง นั่งรถม้าของเสี่ยวซานจื่อไปยังเมี่ยวโส่วถัง
เมื่อเห็นว่าผู้มาถึงเป็นหมอหญิง สีหน้าของพ่อบ้านตระกูลถังก็ดูไม่พอใจนัก “เหตุใดถึงเป็นหมอหญิง”
เสี่ยวซานจื่อแย้งกลับ “นี่คือหมอที่ฝีมือดีที่สุดของเมี่ยวโส่วถังของเรา! ทั้งยังเป็นเถ้าแก่ของเมี่ยวโส่วถังด้วย! ไม่ใช่หมอหญิงธรรมดา! แต่เป็นยอดหมอหญิง!”
เคยรักษาฮ่องเต้ด้วย รู้ไว้เสีย!
เหอะ!
พ่อบ้านตระกูลถังยังคงไม่พอใจ
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “หากแม้แต่ข้ายังรักษาท่านชายตระกูลเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นหมอทั้งแผ่นดินก็ไม่อาจรักษาได้เช่นกัน”
เสี่ยวซานจื่อยืดอก “ใช่!”
พ่อบ้านตระกูลถังคิดว่าโรงหมอเล็กๆ เช่นนั้นคงไม่กล้ามีเรื่องกับจวนหยวนไซว่ เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพากู้เจียวไปยังจวนหยวนไซว่
ถังเย่ว์ซานเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นหมอหญิงก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน ทว่าหมอเจียงผู้นั้นกลับจำกู้เจียวได้ “นี่…นี่คือหมอที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น! ฝีมือการแพทย์ของนางสูงส่งยิ่งนัก! นางช่วยชีวิตคนบาดเจ็บไว้ได้มากที่สุดด้วย!”
พอได้ยินหมอเจียงพูดเช่นนั้น ถังเย่ว์ซานก็วางใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง เขาหันไปมองกู้เจียว
ใบหน้ามีตำหนิ
ทว่ากลับไม่มีท่าทีน้อยเนื้อต่อใจหรือเหนียมอายแม้แต่นิด แถมยังดูมั่นอกมั่นใจในตัวเองเสียมากกว่า
ถึงกระนั้นไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปหรืออย่างไร แววตาของแม่นางผู้นี้…ดูเหมือนตื่นเต้นดีใจชอบกล
เขาคงคิดมากไปแล้วแน่ๆ
ตื่นเต้นที่ได้รักษาหลานชายของเขาอย่างนั้นรึ ต้องประหม่าสิถึงจะถูก เพราะหากรักษาไม่ดีขึ้นมา เขาก็จะเดือดดาลเป็นแน่
ถังเย่ว์ซานเอ่ยเสียงขรึม “อาการของหลานชายข้า เจ้าคงได้ยินมาจากพ่อแล้ว เจ้ารักษาได้หรือไม่”
“ได้สิ” กู้เจียวตอบ
ถังเย่ว์ซานชะงักไป เหตุใด…ถึงได้ง่ายดายเพียงนี้ ไม่ลังเลสักหน่อยเลยหรือ
“ค่ารักษาแพงมาก” กู้เจียวพูดต่อ
ถังเย่ว์ซานเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “หากเจ้ารักษาหลานชายของข้าได้ จะเรียกข้ารักษาเท่าไหร่ข้าก็จ่ายไหว!”
กู้เจียวยกนิ้วขึ้น “ห้าพันตำลึง”
“ซี้ด…” ถังเย่ว์ซานสูดปาก เขากัดฟันเอ่ย “ได้ ขอแค่เจ้ารักษาเขาได้จริง อย่าว่าแต่ห้าพันตำลึงเลย หนึ่งหมื่นตำลึงก็ยังได้!”
กู้เจียวยักคิ้ว “เป็นอันว่าหนึ่งหมื่นตำลึง”
ถังเย่ว์ซานจ้องลึกไปที่กู้เจียว “ตามข้ามา”
ถังเย่ว์ซานพากู้เจียวไปยังเรือนของถังหมิง
จวนหยวนไซว่ใหญ่กว่าจวนติ้งอันโหว เส้นทางคดเคี้ยว หากไม่มีคนนำทาง แม้แต่กู้เจียวที่เคยเป็นสายลับในชาติก่อน ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่หลงทาง
ระหว่างทาง กู้เจียวมองสอดส่องรอบกาย
ถังเย่ว์ซานคิดว่านางไม่เคยมาในจวนตระกูลใหญ่เช่นนี้มาก่อน จึงไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเข้ามาในห้องของถังหมิง กลิ่นคาวเลือดก็ลอยปะทะเข้ากับใบหน้า
กู้เจียวสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ก่อนจะเดินเข้าไปดูบาดแผลของถังหมิงเป็นอันดับแรก ก่อนจะหันไปบอกกับถังเย่ว์ซาน “ประเดี๋ยวข้าจะผ่าตัดเขา พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกเถิด”
“ไม่ได้” ถังเย่ว์ซานเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่ไว้ใจเจ้า หากเจ้าฉวยโอกาสยามที่ข้าไม่อยู่ แล้วทำมิดีมิร้ายกับหมิงเอ๋อร์ ข้าจะไม่เสียใจแย่หรอกหรือ”
คนเฒ่าคนแก่ ขี้ระแวงไม่น้อยเลย
กู้เจียวขานตอบ “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า”
ถังเย่ว์ซานยืนยันว่าจะอยู่ในห้อง
เขามองกู้เจียวเปิดกล่องยาใบน้อย สวมถุงมือสองข้างให้กับตัวเองเป็นอันดับแรก ก่อนจะหยิบเข็มหน้าตาแปลกประหลาดทิ่มลงไปที่แขนของถังหมิง ปลายอีกด้านหนึ่งของเข็มยังมีขวดยาน้ำพิลึกพิลั่นห้อยอยู่
กู้เจียวเริ่มเย็บเชื่อมแขนให้กับถังหมิง
ตลอดทั้งกระบวนการมีถังเย่ว์ซานคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด
ถังเย่ว์ซานไม่ใช่หนุ่มอ่อนต่อโลกเหมือนกับกู้เฉิงเฟิง เขาเคยลงสนามรบ เคยเหยียบย่ำโครงกระดูก เคยแล่เนื้อคนกินจากกองศพ เขาอดทนกับบรรยากาศคาวเลือดเช่นนี้ได้อยู่แล้ว
ทว่าท่าทีสงบนิ่งของกู้เจียวต่างหากที่ทำให้ถังเย่ว์ซานประหลาดใจ
เขาเคยฆ่าคนมาก่อน จึงไม่กลัว แต่หญิงสาวคนหนึ่งเหตุใดถึงทำหน้าเรียบเฉยได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่เพราะว่านางเองก็เคยฆ่าคนมาก่อนหรอกกระมัง!
การผ่าตัดผ่านไปอย่างราบรื่น
“วันหน้าเขาจะจับดาบได้อีกหรือไม่” ถังเย่ว์ซานถาม
กู้เจียวตอบ “ไม่รู้สิ เขารักษาแค่บาดแผล ไม่รักษาวรยุทธ์”
อันจริงในใจของถังเย่ว์ซานก็ไม่ได้คาดหวังสูงถึงเพียงนั้น กว่าแขนข้างจะต่อติดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้จะจับดาบไม่ได้อีกต่อไปก็ไม่เป็นไร เขายังมีแขนอีกข้างหนึ่ง อย่างมากก็แค่เปลี่ยนไปฝึกมือซ้ายแทนนับแต่นี้เป็นต้นไป!
ถังเย่ว์ซานให้พ่อบ้านไปหยิบเงินในห้องบัญชีเพื่อจ่ายให้กับกู้เจียว
หลังจากได้รับเงิน กู้เจียวก็ออกไปจากจวนหยวนไซว่ในทันที
ทว่านางนั้นไม่ได้กลับบ้านในทันใด แต่กลับเปลี่ยนเป็นชุดดำ สวมหน้ากากนกยูงรำแพนอันงดงาม ก่อนจะลอบกลับเข้าไปในจวนหยวนไซว่อีกครั้ง
นางจำเส้นทางภายในจวนหยวนไซว่ได้แล้วทั้งหมด
ถังหมิง ข้ามาแล้ว!
กลางดึกลมราตรีโบกโชย
จวนหยวนไซว่ที่โกลาหลมาตลอดทั้งวันในที่สุดก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม อาการของถังหมิงก็ทรงตัวมากแล้ว ถังเย่ว์ซานจึงกลับไปที่เรือนของตัวเองด้วยความโล่งใจ เหลือไว้เพียงองครักษ์ลับสองคนที่คอยเฝ้าเวรยาม
องครักษ์ลับทั้งสองคุ้มกันอย่างหนาแน่นอยู่หน้าประตูห้องของถังหมิง
ทว่าทันใดนั้น เงาร่างเล็กก็โรยตัวลงมาจากฟากฟ้า มือทั้งสองถือเข็มเงินไว้ข้างละเล่ม ก่อนจะปักลงบนร่างของทั้งสองอย่างรวดเร็ว
องครักษ์ลับร่างกายอ่อนเปลี้ยแล้วล้มลงกับพื้น
กู้เจียวเปิดประตูห้อง เยื้องย่างเข้าไป ชายกระโปรงผืนงามลากผ่านธรณีประตูเย็นเฉียบ
นางหยุดอยู่ตรงหน้าเตียงของถังหมิง มองเขาตาเป็นมัน ราวกับกำลังมองเหยื่อที่กำลังตกลงในกับดักตาข่ายล่าสัตว์
ฤทธิ์ของยาชาจากการผ่าตัดของถังหมิงค่อยๆ หมดลง ทว่ากู้เจียวได้เพิ่มเติมอย่างอื่นลงไปในนั้น เพราะอย่างนั้นในระหว่างนี้เขาจึงไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้ แต่ความเจ็บปวดที่รู้สึกนั้นกลับรุนแรงกว่าเดิม
และแน่นอนว่าตอนนี้ถังหมิงได้เริ่มรู้สึกเจ็บปวดแล้ว
บาดแผลเล็กใหญ่จากคมมีดบริเวณร่างกายท่อนบนรวมไปถึงท่อนแขนของเขาแล่นริ้วขึ้นมาเป็นอันดับแรก ตามด้วยความหวาดกลัวที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เหงื่อเย็นชื้นที่ขับออกมาทำให้เขาตาเบิกโพลง จากนั้นเขาก็มองเห็นเงาร่างเล็กราวกับภูตผีปีศาจยืนอยู่ที่ปลายเตียง
เงาร่างเล็กนั้นสวมหน้ากากนกยูงรำแพน ให้ความรู้สึกสยองขวัญอย่างน่าประหลาด!
ถังหมิงตื่นตกใจ!
ใครก็ได้ช่วยด้วย…
เขาร้องตะโกน
แต่ก็พบว่าตัวเองทำได้เพียงส่งเสียงครางอืออาออกมาจากลำคอเท่านั้น
มุมปากของกู้เจียวยกยิ้ม หึ ยาได้ผลไม่เลวเลยจริง ๆ เส้นเสียงก็ชาไปด้วยหรือเนี่ย