ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 14 สถานการณ์ (ต้น)

ตอนที่ 14 สถานการณ์ (ต้น)

 

ในห้องเงียบสงบลง การเคลื่อนไหวรอบๆ จึงชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป พวกนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากบันได 

“ไปดูสิ” สืออีเหนียงที่ก้มหน้าก้มตาทำงานถักอยู่ก็เงยหน้าขึ้นทันทีแล้วกำชับตงชิงว่า “ดูว่าทางคุณหนูสิบมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง” 

ตงชิงกำลังคิดถึงการมาของอี๋เหนียงใหญ่ สืออีเหนียงไม่ได้เอะใจอะไร นางจึงไม่กล้าพูดอะไรออกไป ตอนนี้เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงให้นางไปสืบข่าว ก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วตอบรับด้วยรอยยิ้มทันที “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเบาๆ  

ไม่นานนางก็กลับมา “คุณหนูสิบเอ็ด เป็นอี๋เหนียงใหญ่ นางพึ่งกลับไปเจ้าค่ะ” 

มือของสืออีเหนียงที่กำลังถักอยู่ได้หยุดชะงัก พูดว่า “ตอนที่อี๋เหนียงใหญ่ไปนางมีท่าทางอย่างไรบ้าง” 

ตงชิงครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ปกติเหมือนเดิมเจ้าค่ะ มองไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลย” 

แสดงได้เก่งมาก 

สืออีเหนียงแอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจ 

เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากบันไดอีกครั้ง 

ทั้งสองคนมองหน้ากัน 

สืออีเหนียงพูดเสียงเบา “รีบไปดูสิ !” 

ตงชิงตอบรับแล้วรีบไปในทันที จากนั้นก็รีบกลับมาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูสิบเอ็ด เป็นคุณหนูสิบเจ้าค่ะ มีจู๋เถาไปเป็นเพื่อน สวมเสื้อคลุมผ้าแพรสีเทานกกระเรียนเดินลงมาข้างล่างหอ” 

สืออีเหนียงสีหน้าครุ่นคิด 

สือเหนียงเดินขึ้นลงบันไดก็มักจะเหยียบพื้นเสียงดัง ตึก ตึก ตึก เสมอ เหตุใดวันนี้ถึงผิดปกติ กลับเดินด้วยฝีเท้าที่อ่อนโยนเช่นนี้…แล้วอีกอย่าง ในเมื่อนางออกไปข้างนอกทำไมไม่พาไป่จือหรือจิ่วเซียงไปด้วยเล่า เหตุใดถึงไปกับสาวใช้น้อยอย่างจู๋เถา หรือว่าเกี่ยวข้องกับการมาของอี๋เหนียงใหญ่ 

เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงพูดว่า “เจ้าไปดูสิว่าคุณหนูสิบจะไปที่ใด” 

ตงชิงพยักหน้าแล้วเดินออกไปเบาๆ  

สืออีเหนียงถักค้างคาวเสร็จหนึ่งตัวตงชิงก็กลับมาพอดี 

“คุณหนูสิบเอ็ด คุณหนูสิบไปที่เรือนอี๋เหนียงสี่เจ้าค่ะ” สีหน้านางจริงจังเล็กน้อย “เดิมทีบ่าวอยากจะตามไปฟังว่าอี๋เหนียงสี่กับคุณหนูสิบพูดคุยอะไรกัน แต่ว่าคนของอี๋เหนียงสี่เฝ้าอยู่หน้าห้องข้าจึงไม่กล้าเข้าใกล้เจ้าค่ะ…” 

สามปีก่อนสือเหนียงผลักสืออีเหนียงล้มลงกับพื้นต่อหน้าคนข้างนอก นายหญิงใหญ่บอกว่า “พื้นมันลื่น สืออีเหนียงไม่ทันระวังจึงลื่นล้ม” แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านใหญ่ก็กลับโมโหขึ้นมา บอกว่านายท่านใหญ่ชอบให้ท้ายอนุภรรยา ทำให้คุณหนูทั้งหลายไม่เพียงแต่หยิ่งยโส ซ้ำยังไม่มีความผูกพันกันระหว่างพี่น้องและไม่มีความเป็นคุณหนู นายท่านใหญ่ไม่กล้าคัดค้าน 

อี๋เหนียงสี่สกุลหยางเป็นคนที่นายท่านใหญ่ได้เป็นรางวัลตอนเลื่อนตำแหน่งหลังจากที่ได้เข้าร่วมปกครองบ้านเมืองที่เมืองส่านซี เมื่อนายหญิงใหญ่รู้ว่ามีอี๋เหนียงสี่ และอี๋เหนียงสี่ไม่เพียงแค่ตั้งครรภ์ ซ้ำยังได้ดูแลเงินเดือนของนายท่านและเงินที่ส่งมาให้ที่บ้าน หลังจากที่คิดดีแล้วนายหญิงใหญ่จึงส่งสาวใช้สกุลหลู่ที่สวยที่สุดไป เมื่อนายท่านได้เห็นก็ชอบเป็นอย่างมาก ไม่นานสาวใช้สกุลหลู่ก็ตั้งครรภ์แต่ยังไม่ทันได้คลอดลูก นายหญิงใหญ่ก็แต่งตั้งให้สาวใช้สกุลหลู่เป็นอี๋เหนียงห้า ใครจะไปรู้ว่าแม้ว่าอี๋เหนียงห้าจะหน้าตาสวยงามแต่กลับเป็นคนขี้คลาดอ่อนแอ เจอกันไม่กี่ครั้งก็ถูกอี๋เหนียงสี่กดอยู่ใต้อำนาจ เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นดังนั้นก็ได้หาผู้หญิงที่ทั้งสวยและอายุน้อยในบรรดาสาวใช้อย่างสาวใช้สกุลลู่ส่งไปให้นายท่านใหญ่ จากนั้นก็ให้กำเนิดสือเอ้อร์เหนียง ในเวลานั้นนายท่านใหญ่ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าทูตของฝูเจี้ยนแล้ว พวกนางทั้งสามคนได้โตมาในขณะที่ท่านพ่ออยู่ในหน้าที่ เนื่องจากเหตุการณ์นี้พวกนางจึงถูกจัดให้ไปอยู่ที่หอลู่จวิน มีสาวใช้ที่มีอำนาจของนายหญิงใหญ่มาคอยดูแลจัดการด้วยตัวเอง ส่วนอี๋เหนียงสี่สกุลหยางที่ไม่รู้จักสั่งสอนลูกสาวก็ถูกนายหญิงใหญ่ลงโทษให้ไปคุกเข่าในศาลบรรพชน 

อากาศหนาวเหน็บ ต้องคุกเข่าบนอิฐสีเขียวที่ไม่มีอะไรปูรองในห้องศาลบรรพชนทั้งคืนทำให้อี๋เหนียงสี่ล้มป่วยจึงถูกย้ายให้ไปรักษาตัวที่เรือนซวงซิ่งที่ถัดออกไปอีกสองห้อง 

หลังจากที่ไปรักษาตัวในครั้งนั้นก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาสามปี 

ในเวลาสามปีนี้ สือเหนียงไปเยี่ยมอี๋เหนี่ยงสี่แทบจะนับครั้งได้เลย คิดไม่ถึงว่าการมาของอี๋เหนียงใหญ่จะทำให้นางไปที่เรือนอี๋เหนียงสี่ 

หากจะบอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าอย่างไรสืออีเหนียงก็ไม่เชื่อเด็ดขาด 

ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน อี๋เหนียงสี่ก็ให้สาวใช้ออกมาเฝ้าอยู่นอกประตู… 

นิ้วของนางตวัดด้ายอย่างรวดเร็ว “เจ้าไปหากล่องแบนๆ มา อีกสักครู่เมื่อข้าถักเสร็จแล้วจะนำด้ายที่ถักเรียบร้อยทั้งสองเส้นใส่ลงไป” 

ตงชิงประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านจะเอางานถักไปส่งให้อี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสองด้วยตัวเองหรือเจ้าคะ” 

สืออีเหนียงตอบอย่างอ้อมค้อม “ข้าจะไปคารวะนายหญิงใหญ่ แล้วก็เลยไปส่งงานถักเฉยๆ ” 

****** 

ตอนที่สืออีเหนียงมาถึง ห้องของนายหญิงใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ 

จื่อเวยกับจื่อย่วนถือรูปตัวอักษรยืนอยู่ข้างหน้านายหญิงใหญ่ อู่เหนียงนั่งอยู่ข้างๆ นายหญิงใหญ่กำลังชี้ไปที่ตัวอักษร “…ท่านดูสิ ตัวอักษรนี้สวยงามหรือไม่ ข้าเลียนแบบตัวอักษรกู่จ้วน แล้วก็ยังมีอันนี้ที่ข้าเลียนแบบมาจากตัวอักษรสิงฉ่าวของหวังซีจือ[1]…” 

นายหญิงใหญ่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะพอใจกับงานที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก 

เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นายหญิงใหญ่ก็โบกมือเรียกนาง “มาสิ มาดูตัวอักษรคำว่า ‘อายุร้อยปี’ ที่พี่หญิงของเจ้าเขียนสิ” 

เขียนเสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรือ! 

สืออีเหนียงแอบรู้สึกแปลกๆ ในใจ ยิ้มกล่าวทักทายนายหญิงใหญ่ แล้วหันไปคำนับอู่เหนียง “นี่คือแบบอย่างที่จะใช้ปักหรือเจ้าคะ พี่หญิงทำเสร็จเร็วมากเลยเจ้าค่ะ” 

อู่เหนียงคำนับตอบสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะอยากจะส่งของขวัญวันเกิดไปให้พี่หญิงใหญ่ ข้าจึงต้องรีบเขียนออกมาให้เร็ว กลัวก็แต่ว่าหากเขียนออกมาไม่ดีจะเป็นตัวถ่วงทำให้น้องสิบเอ็ดปักออกมาไม่ดี” 

“ข้าดูไม่ออกเลยว่ามีตรงไหนที่ไม่ดี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูตัวอักษรที่อู่เหนียงเขียน 

กระดาษฟางสี่เหลี่ยมที่มีขนาดหกฟุตมีตัวอักษรไข่ ลี่ จ้วน สิง ฉ่าว[2] ตัวอักษรแต่ละตัวแตกต่างกัน ขนาดก็แตกต่างกัน ดวงตาที่เปล่งประกายของนางทำให้สืออีเหนียงอดประหลาดใจไม่ได้ 

ไม่ว่าทักษะในการเขียนตัวอักษรเหล่านี้จะเป็นอย่างไร แต่เพียงแค่ความตั้งใจก็ทำให้คนรู้สึกชื่นชม 

คิดไม่ถึงว่าทักษะการเขียนตัวอักษรของอู่เหนียงจะมาถึงระดับนี้ 

นายหญิงใหญ่ยิ้ม “ข้าเองก็คิดว่าเขียนได้ดีเช่นกัน!” 

“ขอบคุณท่านแม่ที่ชม” อู่เหนียงยิ้มอย่างถ่อมตน 

นายหญิงใหญ่ให้จื่อเวยและจื่อย่วนนำภาพวาดตัวอักษรไปให้สืออีเหนียง “เช่นนั้นก็ปักตามนี้เถิด” 

สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับ “เจ้าค่ะ” หู่พั่วเดินไปรับรูปตัวอักษรมา 

นายหญิงใหญ่ชี้ไปที่กล่องในมือของหู่พั่ว “นี่คือ…” 

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นงานปักที่ทำให้ซิวเกอ” 

เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินก็ตาเป็นประกาย บอก “ขอข้าดูหน่อย” 

เมื่อหู่พั่วได้ยินก็รีบเปิดกล่องแล้วส่งให้นายหญิงใหญ่ 

ไหมหลากสีสองเส้นที่แสดงถึงธาตุทั้งห้าโดยมีห้าสีได้แก่สีขาว สีฟ้า สีดำ สีแดง สีเหลืองวางอยู่ในกล่องที่บุด้วยกำมะหยี่สีแดง เมื่อมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าไหมสองเส้นถูกถักเป็นดอกเหมยหลายๆ ดอกรวมกันเป็นรูปหัวใจ ตรงกลางมีค้างคาวขนาดเท่าลูกพุทรา 

“ช่างละเอียดอ่อนเสียจริง” นายหญิงใหญ่ชื่นชมงานที่อยู่ในมือ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่การถักด้วยด้ายสองเส้นนี้ งานถักของสืออีเหนียงเช่นนี้ แม้แต่ในเมืองหังโจวก็เห็นได้ไม่มากนัก” 

เมื่ออู่เหนียงได้ฟังก็ตาลุกวาว 

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่ลูกถักออกมาได้เช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าท่านแม่ได้เชิญอาจารย์ที่มาไกลจากหังโจวมาให้เราเจ้าค่ะ” 

เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ฟังแววตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม “รีบเอาไปส่งให้อี๋เหนียงทั้งสองเถิด เดี๋ยวจะมืดค่ำ” 

สืออีเหนียงตอบรับด้วยรอยยิ้ม กำลังจะย่อเข่าคำนับก็มีสาวใช้น้อยรายงานว่าสือเหนียงมาแล้ว 

ทุกคนแสดงสีหน้าประหลาดใจ แม้แต่นายหญิงใหญ่ก็เลิกคิ้ว 

ตั้งแต่สามปีก่อนที่นางได้คุกเข่าที่ศาลบรรพชนกับอี๋เหนียงสี่ หลังจากนั้นก็ป่วยเพราะความเย็นเข้าแทรก เมื่อถึงฤดูหนาวนายหญิงใหญ่จึงละเว้นไม่ให้นางมาคารวะทุกเช้าเย็น 

เมื่อสืออีเหนียงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ตัวเองจะมาที่นี่ในใจก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย มักจะรู้สึกว่าการมาของสือเหนียงต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน 

“รีบให้นางเข้ามา เดี๋ยวโดนลมหนาวแล้วจะหอบขึ้นมาอีก” นายหญิงใหญ่กำชับสาวใช้น้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความดูถูก 

ทุกคนในห้องพากันมองซ้ายแลขวา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่นานสาวใช้น้อยก็พาคนที่สวมเสื้อคลุมผ้าแพรสีเทานกกระเรียนเดินเข้ามา 

สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจากที่ไปหาอี๋เหนียงสี่ก็ตรงมาที่เรือนของนายหญิงใหญ่เลย…  

สาวใช้น้อยช่วยนางถอดเสื้อคลุม ทำให้เห็นเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมสีเขียวลูกพลับดิบที่ดูไม่เก่าไม่ใหม่ 

“ลูกมาคารวะท่านแม่” นางค่อยๆ คุกเข่าให้นายหญิงใหญ่ 

นายหญิงใหญ่รับการคารวะของนาง โบกมือแล้วพูดว่า “อากาศหนาวเช่นนี้เจ้าจะมาทำไม หากเจ็บป่วยขึ้นมาข้าจะวางใจได้อย่างไร  ”พูดพลางกำชับป้าสวี่ที่อยู่ข้างๆ “ไปเคี่ยวซุปขิงมาให้คุณหนูสิบสักถ้วย นางร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมือนอู่เหนียงที่เหมือนกับลิงที่เกิดออกมาจากหิน ฝนตกลมแรงก็ไม่กลัว แล้วก็ไม่เหมือนสืออีเหนียงที่พายุเหนือยังไม่ทันมานางก็สวมผ้าฝ้ายแล้ว ไม่ให้ข้าต้องเป็นกังวล” 

นางพูดไปหัวเราะไป น้ำเสียงฟังดูเหมือนเป็นห่วงมาก แต่เท่าที่สืออีเหนียงได้ฟังกลับมีความรู้สึกแปลกๆ  

เมื่ออู่เหนียงได้ฟังก็ดึงแขนเสื้อนายหญิงใหญ่ทำตัวอ้อนเหมือนเด็ก “ตอนนี้ลูกโตแล้วนะเจ้าคะ ท่านแม่ยังใช้คำเหล่านี้มาเปรียบเปรยลูกอีก ลูกไม่ยอม ทำไมลูกต้องเกิดมาจากก้อนหินด้วย ท่านอุ้มชูน้องสิบเสมอ ส่วนน้องสิบเอ็ดก็เชื่อฟังจนท่านไม่ต้องกังวล” 

“ดูสิ เขย่าจนข้าเวียนหัวหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่ลิงแล้วจะเป็นอะไร” นายหญิงใหญ่ยิ้มและจับหน้าผากของตัวเอง 

ทุกคนต่างพากันหัวเราะ 

สืออีเหนียงเดินมาคำนับสือเหนียง 

ปกติสือเหนียงเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ ทำให้คิ้วหนาของนางเบ่งบานเหมือนกับดอกไม้ในฤดูร้อน ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็จะรู้สึกประทับใจอย่างน่าประหลาด 

แต่เมื่อสืออีเหนียงเห็น ในใจกลับรู้สึกไม่เป็นสุข  

นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบอี๋เหนียงสี่  

ตอนนั้นก็เป็นฤดูหนาวเช่นกัน อี๋เหนียงสี่สวมเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมสีเขียวลูกพลับดิบสดใส ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีแดงขนลิงอุรังอุตังแทรกสีขาวของขนแฟร์ริต ในมือถือเตาผิงสีน้ำเงินหยกลายดอกไม้เดินเข้ามา 

นางพึ่งได้สติกลับมา ขณะที่กำลังมึนงง คิดว่าตัวเองสับสนแล้วฝันไปว่ามีผู้หญิงรูปงามเดินออกมาจากรูปภาพโบราณ จนกระทั่งนิ้วอุ่นๆ ของอี๋เหนียงสี่มาสัมผัสบนหน้าผากของสืออีเหนียง นางจึงได้รู้สึกว่านี่คือความจริง 

สืออีเหนียงจำได้ว่าตอนนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความน่าเอ็นดู “สาวน้อยผู้น่าสงสาร เป็นความผิดของสือเหนียง อีกสักครู่ข้าจะให้นางมาขอโทษเจ้า” 

ตอนที่พูดคำพูดนี้ คิ้วที่เหมือนใบหลิวของอี๋เหนียงสี่ขมวดเล็กน้อย ราวกับว่ากังวลเป็นอย่างมาก 

เพียงแต่ว่าอี๋เหนียงสี่ยังไม่ทันเดินออกจากเรือนของนาง ก็ถูกป้าสวี่เรียกให้ไปที่เรือนนายหญิงใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางก็ไม่ได้เจออี๋เหนียงสี่อีกเลย…ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง 

เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว นางก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว 

เสื้อผ้าที่สือเหนียงสวมอยู่ ก็คือเสื้อผ้าที่อี๋เหนียงสี่เคยใส่ในตอนนั้น เพียงแต่ว่ามันเก่าแล้ว… 

สืออีเหนียงไม่อยากคิดมาก สือเหนียงทักทายนาง “น้องสิบเอ็ดก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” 

“ข้ากำลังจะไปหาต้วนอี๋เหนียงกับหยวนอี๋เหนียง” สืออีเหนียงไม่เคยเรียกอี๋เหนียงใหญ่ว่าคนสกุลต้วนต่อหน้านายหญิงใหญ่ 

สือเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า 

สืออีเหนียงถือโอกาสบอกลานายหญิงใหญ่ “ท่านแม่ เช่นนั้นลูกขอตัวไปหาอี๋เหนียงนะเจ้าคะ” 

นายหญิงใหญ่ถูกสือเหนียงดึงดูดความสนใจไปจนหมด จึงพยักหน้าโดยไม่ได้สนใจ 

สืออีเหนียงโล่งใจรีบพาหู่พั่วเดินออกไป 

เมื่อผ้าม่านปิดลง นางได้ยินเสียงสือเหนียงหัวเราะแล้วพูดว่า “…ลูกเห็นว่าอากาศหนาว ไม่รู้ว่าท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างจึงตั้งใจมาเยี่ยมเป็นพิเศษ” 

นางก้าวเท้าเร็วโดยไม่รู้ตัว 

หู่พั่วเองก็ไม่ได้พูดอะไร รีบเดินตามสืออีเหนียงออกไปจากเรือนนายหญิงใหญ่แล้วจึงได้เรียกสืออีเหนียง “คุณหนู ท่านสวมเสื้อคลุมก่อนเถิดเจ้าค่ะ” 

สืออีเหนียงก้าวเท้าช้าลงแล้วมุ่งหน้าไปหาอี๋เหนียงทั้งสอง 

 

 

[1] หวังซีจือ นักวาดภาพและนักอักษรศิลป์มือเอกสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก 

[2] ตัวอักษรไข่ ลี่ จ้วน สิง ฉ่าว รูปแบบของตัวอักษรในการเขียนพู่กันจีน 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท