กลับมาถึงตรอกกงเสียนของเป่าต้าฟัง ก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว
คุณนายใหญ่ สะใภ้กู้พยุงนายหญิงใหญ่ลงมาจากรถม้าแล้วพูดเบาๆ “ท่านแม่ นายท่านสองกับนายหญิงสามมาแล้วเจ้าค่ะ!”
นายหญิงใหญ่ตกใจ “ยังไม่กลับไปอีกหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ!” คุณนายใหญ่พูดเบาๆ “คุณหนูสี่ก็ตามมาด้วยเจ้าค่ะ…”
นายหญิงใหญ่เลิกคิ้ว “นางมาทำอะไรที่นี่”
มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากเรือนหลัก
สืออีเหนียงกำลังจะเดินลงจากรถม้า ได้ยินเสียงหัวเราะนั้นนางก็หยุดเดินทันที
มันคือเสียงหัวเราะของนายท่านสอง…
เยี่ยนจิงปิดเมืองตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ก็จะทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าหวงหวาฟังไกลจากที่นี่มากแค่ไหน ครึ่งชั่วโมงจะกลับไปทันหรือไม่…
นางครุ่นคิด เสียงหัวเราะนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ได้ยินเสียงพูดของนายท่านสองอย่างชัดเจน“…พี่ใหญ่ เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าข้ามาหาเจ้า”
เสียงที่อ่อนโยนของนายท่านใหญ่ตอบกลับ “เช่นนั้นข้าจะรอเจ้า กินข้าวเช้าด้วยกันแล้วค่อยไป”
ทันทีที่พูดจบ เงาของนายท่านใหญ่และนายท่านสองก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูฉุยฮวา ทั้งนอกทั้งใน ทุกคนเจอกันเข้าจังๆ
“กลับมาแล้วหรือ!” นายท่านใหญ่ยิ้มทักทายนายหญิงใหญ่ และนายท่านสองก็ตะโกนว่า “พี่สะใภ้”
นายหญิงใหญ่คุกเข่าคำนับทั้งสองคน พูดว่า “ท่านพี่” ด้วยความเคารพ จากนั้นก็เรียกนายท่านสองว่า “น้องรอง”
จากนั้นก็มีผู้หญิงอายุราวสี่สิบเดินออกมาจากข้างหลังของทั้งสองคน ผิวขาว หน้ายาว สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกและผีเสื้อสีชาเขียว เครื่องประดับบนหัวมีหยกเจ้าแม่กวนอิมสีทอง ไข่มุกซีหยางเม็ดใหญ่และดอกเหมย ถูกโคมไฟที่แขวนอยู่บนประตูฉุยฮวาสาดส่อง ไข่มุขเป็นประกายระยิบระยับ
“พี่สะใภ้ใหญ่” นางยิ้มและคำนับนายหญิงใหญ่ “ข้ารู้ว่าท่านมา ข้าจึงพาลูกๆ สองสามคนมาคารวะท่าน ใครจะไปรู้ว่าท่านกลับไปจวนหย่งผิงโหว… จึงรอจนถึงตอนนี้ โชคดีที่รอจนเจอท่าน”
นางคือนายหญิงสอง สะใภ้อวี้
“ทำให้เจ้ารอนานแล้ว” นายหญิงใหญ่คำนับนายหญิงสอง จากนั้นก็มีหญิงสาวเดินออกมาจากข้างหลังนายหญิงสองและตะโกนออกมาว่า “ท่านป้า”
ผู้หญิงคนนั้นอายุราวยี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงผอม ผิวขาว คิ้วโค่งงาม มองดูสบายตา
“ซื่อเหนียง!” นายหญิงใหญ่ยิ้มและทักทายผู้หญิงคนนั้น “คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มาด้วย!”
“เดิมทีข้าไปหาท่านแม่ ถึงได้รู้ว่าท่านมาเยี่ยนจิง จึงมาคารวะท่านกับทานแม่” ซื่อเหนียงยิ้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “ได้ยินมาว่าท่านไปจวนหย่งผิงโหว พี่หญิงสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”
นายหญิงใหญ่ยิ้มและพยักหน้า “สบายดี! เจ้ายังรู้จักเป็นห่วงนาง”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ” ซื่อเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ข้าได้ยินคนบอกว่าพี่หญิงป่วยหนัก และข้าก็กำลังอยู่เดือน ไม่สะดวกที่จะออกไปนอกเรือน ข้าเป็นห่วงนางมาตลอด!”
เมื่อเจ็ดปีก่อน นายหญิงสามเป็นคนรับรอง แนะนำซื่อเหนียงให้แต่งงงานกับอวี๋อี๋ชิงลูกชายคนโตของอวี๋ไหน่กุยขุนนางศาลต้าหลี่ ใครจะไปรู้ นางเพิ่งจะแต่งเข้าไปยังไม่ถึงสองปี อวี๋ไหน่กุยก็ล้มป่วยตาย นางกลับไปอยู่ที่ฟู่หยางกับแม่สามี เดิมทีสกุลอวี๋เป็นสกุลยากจน หลังจากที่อวี๋ไหนกุยเข้าไปเป็นบัณฑิตชั้นสูงถึงได้ค่อยๆ ทำกิจการของตะกูล กิจการสัตว์น้ำทั้งหมดมีไม่เกินสี่ห้าร้อยไร่ มีเรือนทั้งในเมืองและนอกเมือง รวมถึงอวี๋อี๋ชิงมีพี่น้องเยอะ ชีวิตค่อนข้างจะตึงเครียด นายหญิงสองสงสารลูกตัวเอง นางจะบอกให้คนเอาเงินห้าร้อยตำลึงของตัวเองส่งไปที่ฟู่หยางทุกปี
อวี๋อี๋ชิงก็เป็นคนมีความรู้ เป็นจู่เหรินในปีเจี้ยนอู่ที่ห้าสิบเก้า ปีต่อมาฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ เปิดการสอบอีกครั้ง เขาสอบไม่ผ่าน นายหญิงสองจึงให้เหตุผลว่าฟู่หยางไม่มีอาจารย์ที่ดี รับลูกสาวและลูกเขยกลับมาที่เยี่ยนจิง จากนั้นก็ใช้เส้นของนายท่านสองเข้าไปเรียนในสำนักศึกษา ช่วยเช่าเรือนที่อยู่ใกล้ๆ กับตรอกเหล่าจวินถังให้พวกเขาอยู่
อาจจะเพราะว่ามีความช่วยเหลือจากท่านแม่ ซื่อเหนียงที่สงบเสงี่ยมมาโดยตลอดคลอดลูกชายติดต่อกันสองคน คนเล็กเพิ่งจะเกิดเมื่อเดือนที่แล้ว
“ลูกเจ้าสบายดีหรือไม่?” นายหญิงใหญ่ยิ้มและพูดคุยกับนาง “สองสามวันก่อนข้าส่งคนส่งเออเจียว[1]ของซานตงไปให้เจ้า เจ้าได้รับแล้วหรือยัง ชอบหรือไม่ ของสิ่งนั้นเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นดี”
“ได้รับแล้วเจ้าค่ะ!” ซื่อเหนียงรีบตอบกลับนายหญิงใหญ่ “ขอบพระคุณท่านป้าที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงถือโอกาสเดินเข้าไปคำนับนายหญิงใหญ่และซื่อเหนียง
ซื่อเหนียงคำนับกลับ สะใภ้ติงนายหญิงสามพาชีเหนียงออกมาคำนับนายหญิงใหญ่ อู่เหนียงและสืออีเหนียง เต็มไปด้วยบรรดาหญิงสาว คึกคักเป็นอย่างมาก
นายท่านใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ยืนอยู่ที่นี่คงจะไม่งาม เช่นนั้น เข้าไปดื่มชาในเรือนกันเถิด”
นายหญิงสองอยากจะเข้าไป แต่นายท่านสองกลับพูดว่า “ดึกแล้ว พรุ่งนี้ข้ากับเจ้ายังต้องไปจวนสกุลหลิ่ว ยังมีเวลาอีกมากมาย”
นายท่านใหญ่ไม่ได้รั้งแขกไว้ เขาพูดแค่ว่า“เดินทางปลอดภัย” จากนั้นก็เรียกหลัวเจิ้นซิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยส่งแขก ตัวเองและนายหญิงใหญ่ยืนอยู่ที่ประตูฉุยฮวา มองรถม้าแล่นออกไปแล้วถึงได้กลับเข้าไปในเรือน
นายหญิงใหญ่เอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้ท่านจะไปจวนสกุลหลิ่วเช่นนั้นหรือ ทำไมถึงไม่บอกข้า ข้าจะได้เตรียมตัว ท่านจะทำอะไรที่จวนสกุลหลิ่ว”
นายท่านสามของสกุลหลัวแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของหลิ่วเก๋อเหล่าสกุลหลิ่ว หลังจากที่นายท่านคนก่อนของสกุลหลัวส่งมอบบรรดาศักดิ์ หลิ่วเก๋อเหล่าคอยดูแลสามพี่น้องสกุลหลัว และสามพี่น้องสกุลหลัวก็เคารพหลิ่วเก๋อเหล่าเป็นอย่างมาก นอกจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์และเทศกาลตรุษจีน วันเกิดของหลิ่วเก๋อเหล่า รวมไปถึงตอนที่คุณชายของสกุลหลิ่วแต่งอนุภรรยา สกุลหลัวก็จะส่งผู้ดูแลไปแสดงความยินดีเสมอ
“พึ่งตัดสินใจ” นายท่านใหญ่ขมวดคิ้ว ท่าทางดูไม่ค่อยสบายใจ “หลิ่วเก๋อเหล่าทะเลาะกับเฉินเก๋อเหล่าเรื่องของภาษีชา เขาส่งมอบบรรดาศักดิ์ไปด้วยความโมโห ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้กลับอนุญาต…”
“อะไรนะ” นายหญิงใหญ่ตกใจ “เป็นเช่นไรได้เช่นไรกัน”
“เขาจะออกไปจากเมืองหลวงวันมะรืน” นายท่านใหญ่สีหน้ามืดมนลง “ข้าได้ยินที่น้องสามบอก น้องสองได้ยินมาว่าเจ้ามา กะว่าจะชวนน้องสามมาที่เรือน ใครจะไปรู้ กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น น้องสามจึงรีบกลับไปที่จวนสกุลหลิ่ว!”
นายหญิงใหญ่สีหน้าสับสน นางโบกมือให้อู่เหนียงและสืออีเหนียงด้วยความหงุดหงิด “วันนี้พวกเจ้าก็เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนกันเถิด!”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงย่อเข่าคำนับอย่างรู้ความ “เจ้าค่ะ” และเมื่อทั้งสองคนยืนขึ้น นายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่ก็เดินเข้าไปในห้องแล้ว แต่ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยกันของพวกเขาอย่างแผ่วเบา
“หยวนเหนียงสบายดีหรือไม่?”
“สบายดีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ตึงเครียด “พอดีเลย ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน…”
เสียงเบาลงเรื่อยๆ ในเรือนกลับมาสงบเหมือนเดิม
อู่เหนียงและสืออีเหนียงเดินกลับไปที่เรือนข้างหลัง
******
รุ่งสางของวันต่อมา นายท่านใหญ่กินข้าวเช้ากับนายท่านสอง จากนั้นทั้งสองคนก็ออกไปจวนสกุลหลิ่วด้วยกัน
ตอนที่อู่เหนียงและสืออีเหนียงไปคารวะนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่กำลังเหม่อลอย แม้แต่การมาของซิวเกอก็ไม่ทำให้นางมีความสุขขึ้นมาได้ นางให้แม่นมอุ้มซิวเกอออกไป เหลือไว้แค่คุณนายใหญ่คนเดียว…
พวกนางทั้งสองเดินออกมา อู่เหนียงยิ้มและมองมาที่สืออีเหนียง “จะว่าไปแล้ว เราสองคนพี่น้องไม่ได้นั่งคุยกันตั้งนานแล้ว ถือโอกาสวันนี้ไม่มีอะไรทำ น้องหญิงมาดื่มชาที่ห้องข้าสิ!” ไม่เย็นชาเหมือนแต่ก่อนแล้ว
สืออีเหนียงตกใจ
หากอู่เหนียงยังไม่บรรลุเป้าหมาย นางก็ไม่มีทางทำดีกับตัวเองแน่นอน
ความอ่อนโยนและสนิมสนมเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะมีเป้าหมายอะไรแน่นอน!
แต่ไม่ว่านางจะมีเป้าหมายอะไร หากตัวเองไม่สนใจ อู่เหนียงอาจจะคิดว่าตัวเองกำลังจะประกาศสงครามกับนาง?
สืออีเหนียงครุ่นคิด นางยิ้มและพูดว่า “ได้เจ้าค่ะ! เราไม่ได้นั่งดื่มชาด้วยกันตั้งนานแล้วจริงๆ!”
อู่เหนียงยิ้ม ท่าทางพอใจสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก จากนั้นก็พานางไปที่ห้องของตัวเอง
มองออกว่า คุณนายใหญ่ตั้งใจต้อนรับพวกนางมากแค่ไหน ไม่เพียงแต่ของตกแต่งของเรือนทิศตะวันออกและทิศตะวันตกที่เหมือนกันเท่านั้น แม้แต่สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นถ้วยและเบาะรองเก้าอี้ก็เหมือนกัน ไม่แบ่งแยก
พวกนางนั่งลงบนเตียงใกล้หน้าต่าง จื่อเวยยกชาขึ้นมา อู่เหนียงยิ้มและพูดกับสืออีเหนียงว่า“ข้าอยากจะพูดเรื่องส่วนตัวกับเจ้า” นางพูดแล้วก็บอกให้จื่อเวยและคนอื่นๆ ออกไปข้างนอก
สืออีเหนียงก็ยิ้มและบอกให้หู่พั่วออกไปข้างนอก
เหลือเพียงพวกนางสองคนอยู่ในห้อง อู่เหนียงถอนหายใจ มองหน้าสืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิด “น้องหญิง ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเห็นหน้าเจ้า… เจ้าอย่าได้โกรธข้าเลย”
สืออีเหนียงตกใจ
น้ำเสียงที่แผ่วเบาเช่นนี้ ดูเหมือนว่า อู่เหนียงแน่ใจแล้วว่าตัวเองจะได้มันมาครอบครอง?
นางทำท่าทางไม่สบายใจ “พี่หญิง อย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ จะต้องเป็นข้าที่ทำอะไรผิดไปแน่นอน ถึงได้ทำให้พี่หญิงเข้าใจผิด” นางพูดแล้วเบิกตามองอู่เหนียง “พี่หญิง ข้า…”
“มันเป็นความผิดของข้าเอง” อู่เหนียงทำท่าทางรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “เจ้าไม่รู้ว่า ท่านแม่เลือกเจ้ากับข้ามาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่ที่เยี่ยนจิง ก็แค่เพราะว่าพี่หญิงใหญ่แต่งงานแล้ว พี่ชายใหญ่ก็อยู่ที่เยี่ยนจิง ไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้าง อยากจะหาบุตรสาวที่นางพอใจสองคนมาเป็นเพื่อน คอยพูดคุยหยอกล้อแก้เบื่อก็แค่นั้น” สีหน้าของนางเคร่งขรึม “ใครจะรู้ว่า เมื่อมีคนที่จิตใจไม่ดีรู้เรื่องนี้ ก็กลับกลายเป็นว่าจุนเกอร่างกายอ่อนแอ พี่หญิงอยากจะเลือกใครสักคนในบรรดาพี่น้องแต่งเข้าไปดูแลจุนเกอแทนนาง…”
สืออีเหนียงแสร้งตกใจให้ความร่วมมือกับนาง “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยิน”
“คนพวกนั้นบอกว่าน้องหญิงยังเด็ก ไม่อยากพูดต่อหน้าน้องหญิง” อู่เหนียงกลอกตาไปมา “แต่กลับมาพูดที่เรือนของข้า” นางหยุดพูดไปพักหนึ่ง “ข้าบอกเจ้าตามความจริง คนที่พูดเช่นนี้ก็คืออี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสอง”
สืออีเหนียงมองอู่เหนียงด้วยความตกใจ
นางแต่งเรื่องเก่งจริงๆ!
แต่ว่าอี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสองก็ชอบวิ่งไปทั่ว บางที พวกนางอาจจะพูดเช่นนี้จริงๆ ก็ได้
อู่เหนียงเห็นอาการของสืออีเหนียง นางพอใจเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เพียงเท่านี้ แล้วยังบอกว่าที่ท่านแม่พาพวกเราไปด้วยก็เพราะว่าจะให้พี่หญิงใหญ่เลือกหนึ่งคนจากพวกเรา ดังนั้น วันนั้นเจ้าไม่สบายแล้วยังมาถามเรื่องพี่หญิงกับข้า ข้าจึงโกรธมาก!”
“พี่หญิง!” สืออีเหนียงมองอู่เหนียงด้วยความกังวลใจ “พี่หญิงคงจะไม่ได้คิดว่าข้าอยาก…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้… ข้าแค่อยู่บนเรือจนเบื่อ จึงอยากจะไปพูดคุยกับพี่หญิงก็แค่นั้น” นางพูดพร้อมกับทำท่าทางรู้สึกผิด “หากข้ารู้ ข้าควรจะบอกพี่หญิงให้ชัดเจน พี่หญิงจะได้ไม่เข้าใจผิดข้า!”
“ไม่ ไม่ ไม่” อู่เหนียงรีบพูด “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ต้องโทษข้า ที่ไม่ได้บอกน้องหญิงให้ชัดเจน ข้าถึงได้…” นางก้มหน้าลง หน้าแดงก่ำ ท่าทางดูเขินอาย “ท่านแม่เคยบอกเรื่องนี้กบข้า…บอกว่าพี่หญิงไม่ค่อยสบาย กลัวว่าหากตัวเองเป็นอะไรไปจะไม่มีใครดูแลจุนเกอ พี่หญิงจึงอยากจะให้ใครสักคนในบรรดาพี่น้องไปช่วยดูแลจุนเกอ บอกว่าคนที่อายุเหมาะสมมีแค่ข้ากับสือเหนียง…แต่เจ้าก็รู้ว่า ท่านแม่ไม่ค่อยชอบสือเหนียง แล้วยังถามข้าว่า ข้าอยากไปหรือไม่…ผู้หญิงที่ไม่เคยออกเรือนอย่างข้า จะกล้าตอบได้เช่นไร…ดังนั้น ตอนที่ท่านแม่ให้ข้าไปเยี่ยนจิง ให้ตายเช่นไรข้าก็ไม่ยอมไป…ท่านแม่จึงบอกข้า บอกว่าหากไปคนเดียวทุกคนก็คงจะรู้กันหมด…ท่านแม่จึงให้ข้ากับเจ้ามาที่เยี่ยนจิง…”
สืออีเหนียงตกใจ
เพื่อตำแหน่งนั้นของหยวนเหนียง อู่เหนียงยอมทำทุกวิถีทาง…
ด้วยนิสัยของนายหญิงใหญ่ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องนี้จริงๆ แต่นางก็ไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหยวนเหนียงก็ยังไม่ตาย!
สำหรับคนที่ตัวเองรักที่สุด ไม่ว่าจะมีสติสัมปชัญญะมากแค่ไหน แต่นางก็จะต้องมีความหวัง คิดว่าหยวนเหนียงจะต้องกลับมาแข็งแรง แผนการที่เตรียมไว้ก็ไม่มีทางเอาออกมาใช้แน่นอน…
[1] เออเจียว เป็นยาจีนที่ทำจากหนังลา มีสรรพคุณบำรุงเลือด บำรุงทารกในครรภ์ ใช้บรรเทาอาการประจำเดือนผิดปกติ นิยมใช้บำรุงร่างกายทั้งก่อนและหลังคลอด ในผู้ชายก็ใช้บำรุงเลือด ลดพิษบวม ปรับสมดุลในปอดและลำไส้ใหญ่