ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ป้าสวี่เชิญทุกคนมานั่ง คุณนายใหญ่บอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามา อี๋เหนียงหกยืนจัดอาหารอยู่ข้างนายท่านใหญ่ ซิวเกอมีแม่นมอุ้มนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง เพราะเช่นนี้บนโต๊ะกลมมีแค่นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ หลัวเจิ้นซิ่ง อู่เหนียง สืออีเหนียง และอีกสามที่นั่ง
นายท่านใหญ่โบกมือแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก ทุกคนนั่งลงและกินข้าวเถิด!”
คนในห้องต่างพากันหยุดนิ่งแล้วมองไปที่นายหญิงใหญ่
คนหนึ่งเป็นลูกสะใภ้ของตัวเอง อีกคนเป็นคนที่สนิทกับตัวเอง แน่นอนว่านายหญิงใหญ่ไม่มีทางคัดค้านอะไร นางยิ้มและพูดว่า “นายท่านพูดถูก ที่นี่ไม่มีคนนอก ทุกคนนั่งลงและกินข้าวกันเถิด!”
คุณนายใหญ่ยิ้มและนั่งลงข้างๆ หลัวเจิ้นซิ่ง อี๋เหนียงหกกลับคำนับนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่อยู่นานกว่าจะนั่งลง ส่วนป้าสวี่ยืนกรานที่จะไม่นั่ง “…มีแต่นายท่าน จะมีที่ของบ่าวได้เช่นไรกันเจ้าคะ”
นายท่านใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่สะทกสะท้าน เขาก็ไม่ได้บังคับ นายหญิงใหญ่เห็นว่านายท่านใหญ่ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร นางจึงพยายามให้ป้าสวี่นั่งลง ถึงขั้นไปลากป้าสวี่มาด้วยตัวเอง “หยวนเหนียง ซิ่งเกอ ล้วนแต่เป็นเจ้าที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าไม่นั่งแล้วใครจะมีสิทธิ์นั่ง”
อี๋เหนียงหกได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
ป้าสวี่เห็นว่าไม่นั่งไม่ได้แล้ว นางจึงยิ้มแล้วนั่งลง “เช่นนั้นบ่าวขอล่วงเกินแล้วนะเจ้าคะ”
นายท่านใหญ่ยิ้ม สั่งให้ซิ่งหลินสาวใช้ยกอาหารขึ้นโต๊ะ “ยกอาหารขึ้นมาเถิด”
ซิ่งหลินคนนี้คือสาวใช้ของคุณนายใหญ่ ตั้งแต่พวกเขาย้ายมาที่เรือนหลังนี้ นางก็คอยช่วยคุณนายใหญ่ดูแลเรือนมาตลอด
ได้ยินคำสั่งของนายท่านใหญ่ นางก็ตอบรับทันที “เจ้าค่ะ” และบอกให้สาวน้อยยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ปลานึ่งหวง ปลาเปรี้ยวหวานซีหู ไก่ฝอยเงิน ขาหมู ตับหมู เนื้อปูก้อนตุ๋น… ล้วนแต่เป็นอาหารเจียงหนานที่ทุกคนคุ้นเคย วางเต็มอยู่บนโต๊ะ เมื่อทุกคนคิดว่าอาหารครบแล้ว ซิ่งหลินก็นำชามสีแดงสีขาวออกมาให้นายหญิงใหญ่ “นายหญิงใหญ่ นายท่านใหญ่บอกให้ทำมาให้ท่านโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ตกใจ
นายท่านพูดว่า “นี่คือซุปเกอตาทังที่มีชื่อเสียงของเยี่ยนจิง สีแดงๆ คือมะเขือเทศ เป็นของหายากจากกว่างตง สีขาวๆ คือบะหมี่ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ไม่หมือนกับอาหารของเราที่นั่น กินเรียกน้ำย่อย เจ้าลองชิมดู”
นายหญิงใหญ่ตอบ “อืม” นางหยิบช้อนตักขึ้นมากินด้วยสีหน้าที่งงงวย
นายท่านใหญ่ยิ้มพลางเอ่ยถาม “เป็นเช่นไร อร่อยหรือไม่!”
นายหญิงใหญ่รีบเก็บสีหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนกับที่ท่านพี่พูด ซุปรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยมาก ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ!”
นายท่านใหญ่ยิ้ม หยิบตะเกียบออกไปคีบปลาหวงในชาม ทุกคนก็เริ่มกินข้าว
ท่าทางของทุกคนสง่างาม เคี้ยวช้าๆ บนโต๊ะนอกจากเสียงของถ้วยชามสังคโลกเบาๆ ก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นอีก
กินข้าวเสร็จ บรรดาสาวใช้ก็ยกชาเข้ามา จู่ๆ นายหญิงใหญ่ก็พูดกับอู่เหนียงและสืออีเหนียงว่า “พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ไปหาพี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ากับข้าด้วย!”
ทั้งสองคนตกใจ แต่ก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว พากันยิ้มและตอบรับ “เจ้าค่ะ”
เพราะว่าดึกแล้ว เวลานี้ปกติซิวเกอต้องเข้านอนแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงขยี้ตาและงอแง
นายหญิงใหญ่เห็นเช่นนี้จึงบอกคุณนายใหญ่ว่า “ให้ซิวเกอมาอยู่ที่เรือนข้า…เรือนข้ามีทั้งเตาไฟและเตียงอุ่น ไม่เหมือนเรือนพวกเจ้า ยังต้องจุดถาดไฟ”
“ท่านแม่!” ฟังน้ำเสียงของหลัวเจิ้นซิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่
คุณนายใหญ่รีบพูดขัดจังหวะสามีของตัวเอง “ท่านแม่พูดถูก เช่นนั้นข้าจะบอกให้ท่านป้าย้ายของของซิวเกอเข้ามานะเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มและพยักหน้า
หลัวเจิ้นซิ่งหมดหาทาง
นายหญิงใหญ่หัวเราะเยาะเขา “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้ายังไม่ได้แก่จนสับสน ข้าตามใจซิวเกอ แต่หากเขาทำผิด ข้าก็ไม่มีทางปล่อยปะละเลย ไม่มีทางสอนบุตรชายเจ้าแย่ๆ แน่นอน”
เช่นนี้ หลัวเจิ้นซิ่งทำได้เพียงยืนขึ้นกล่าวขอบคุณนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ปิดปากยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ดึกมากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเกิด!”
หลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่ อู่เหนียงและสืออีเหนียงจึงคารวะและขอตัวออกไป หลัวเจิ้นซิ่งและภรรยากลับไปที่เรือนของตัวเอง อู่เหนียงและสืออีเหนียงก็กลับไปที่เรือนข้างหลัง
ระหว่างทาง อู่เหนียงยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ไปหาพี่หญิงใหญ่ เจ้าจะต้องแต่งตัวให้สวยๆ หน่อยนะ อย่าให้พี่หญิงใหญ่ต้องขายหน้า”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะใส่ชุดอะไร เช่นนั้นพี่หญิงมาช่วยดูให้ข้าดีหรือไม่!”
อู่เหนียงยิ้มแห้ง “ข้าจะกล้าได้เช่นไร? มีคนบางคน ความคิดเยอะแยะไป!” พูดจบนางก็เชิดหน้าเดินออกไป
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
คิดไม่ถึงว่า ปฏิกิริยาของอู่เหนียงจะรุนแรงขนาดนี้…แต่ว่า ปีนี้นางอายุสิบเก้าแล้ว ควรจะแต่งงานได้แล้ว ความกังวลนี้เข้าใจได้ แต่ว่า หลัวหยวนเหนียงอยากจะหาใครสักคนในบรรดาพี่น้องไปเป็นอนุภรรยาเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานหรือเพื่อมีลูกกันแน่? พูดตามจริงแล้ว ถึงแม้ว่าสุขภาพของหลัวหยวนเหนียงไม่ไหวแล้ว อยากจะหาใครสักคนในบรรดาพี่น้องมาดูแลลูกชายตัวน้อยที่ร่างกายอ่อนแอของนาง เช่นนั้นก็ต้องรอให้นางเสียชีวิตก่อนสิ! หากหลัวหยวนเหนียงยืดเวลาไปอีกหนึ่งปี นางก็ต้องรออีกหนึ่งปี หากยืดเวลาออกไปสองปี นางก็ต้องรออีกปีเลยเช่นนั้นหรือ…ใช้อนาคตที่ตัวเองควบคุมไม่ได้และเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงไปเดิมพันกับโชคชะตา มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า!
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
หรือว่า ที่นายหญิงใหญ่พาพวกนางมาด้วยก็เพราะเช่นนี้!
หากหยวนเหลียงยังรอได้ เช่นนั้นก็คือนาง… แต่หากหยวนเหลียงรอไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็คืออู่เหนียง…
นางรู้สึกว่าความคิดของตัวเองสับสนไปหมด!
แล้วสกุลสวีล่ะ?
พวกเขามีชื่อเสียงและอำนาจมากกว่าสกุลหลัว หรือว่าพวกเขาจะปล่อยให้สกุลหลัวเป็นคนจัดการ?
หรือว่า…หยวนเนียงมีวิธีเกลี้ยกล่อมสกุลสวี?
ในใจของสืออีเหนียงสับสนวุ่นวายไปหมด นางนอนไม่หลับทั้งคืน ตื่นมาตอนเช้า นางก็ขอบตาดำเล็กน้อย
ตงชิงต้มไข่มานวดที่เปลือกตาให้นาง “อาจจะจางลงเพียงเล็กน้อยนะเจ้าคะ แต่เดี๋ยวนายหญิงใหญ่เห็นแล้วก็จะถามอีก ท่านคงจะไม่บอกว่าตัวเองติดเตียงใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงยิ้ม “ข้ออ้างเจ้าก็ช่วยข้าหามาแล้ว”
ตงชิงไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของสืออีเหนียง “หากคุณหนูว่างนัก ก็คิดเรื่องของบ่ายวันนี้เถิดเจ้าค่ะ!”
“เราไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของคนอื่น จะป้องกันตัวเช่นไรก็ไม่มีประโยชน์” เมื่อเรื่องใกล้มาถึงตัวเองจริงๆ สืออีเหนียงกลับสงบลง “ตอนนี้ทำได้แค่สังเกตดูอย่างเงียบๆ” จากนั้นก็สั่งหู่พั่ว “เดี๋ยวเจ้าออกไปเดินดู แม้ว่าที่นี่จะมีแต่คนของคุณนายใหญ่ แต่ท่ามกลางคนของนายท่านใหญ่จะต้องมีคนของนายหญิงใหญ่อยู่ด้วยอย่างแน่นอน…แล้วก็ที่อี๋เหนียงเช่นกัน เจ้าลองไปแอบสืบดูว่านายท่านแล้วพี่ใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ที่เยี่ยนจิงเช่นไร เมื่อวานข้าเห็นเช่นนั้น คนของคุณหนูใหญ่ที่จู่ๆ ก็มาคารวะนายหญิงใหญ่ นายท่านใหญ่และพี่ใหญ่ท่าทางตกใจเป็นอย่างมาก เจ้าลองไปถามดูว่าปกติคุณหนูใหญ่มาที่นี่บ่อยหรือไม่”
หู่พั่วท่าทางเคร่งขรึม “คุณหนูไม่ต้องกังวล บ่าวรู้ว่าจะต้องทำเช่นไรเจ้าค่ะ”
“ให้ตงชิงกับปินจวี๋ไปกับข้าก็พอ เดี๋ยวข้าจะต้องแต่งตัวให้ดูดีสักหน่อย ไม่เช่นนั้น นายหญิงใหญ่จะคิดว่าข้าไม่ให้เกียรติจวนของหย่งผิงโหว สำหรับชิวจวี๋และจู๋เซียง หากช่วยเจ้าได้จะดีมาก งั้นเจ้าก็ให้พวกนางคอยช่วยเจ้า แล้วยังมีของที่ป้าอู๋ฝากเรามา พวกเราไปเป็นแขกที่จวนสกุลสวี ไม่คุ้นเคยกับที่นั่น รบกวนคนอื่นมันคงจะไม่ค่อยดี หู่พั่วเจ้าไปถามด้วยว่าที่นี่มีคนที่สนิทสนมกับสกุลสวีหรือไม่ หากสามารถช่วยเรื่องนี้ได้จะดีมาก”
สาวใช้สองสามคนรับฟังคำสั่งของสืออีเหนียงด้วยความเคารพ จากนั้นป้าสวี่ก็มา
สืออีเหนียงระงับความตกใจในใจและต้อนรับป้าสวี่ “ท่านป้ามีอะไรหรือเจ้าคะ”
ป้าสวี่ยิ้มและพูดว่า “บ่าวไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แต่นายหญิงใหญ่สั่งให้บ่าวมาดูว่าคุณหนูสิบเอ็ดจะสวมชุดอะไรไปจวนหย่งผิงโหวเจ้าค่ะ”
ให้เกียรติมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ…
สืออีเหนียงแอบตกใจ
เดิมทีนางอยากสวมชุดสีแดง…เช่นนี้จะทำให้นางที่ผอมอยู่แล้วไม่เพียงแต่ดูผอมลงแล้วยังดูอ่อนแอ หากหยวนเหนียงถาม ถึงตอนนั้น นางก็จะเอาเรื่องที่ตัวเองเมาเรือบอกหยวนเหนียงว่าร่างกายของนางแย่มาก…ยิ่งไปกว่านั้น เมาเรือเป็นเรื่องจริง แม้แต่นายหญิงใหญ่ก็จับผิดไม่ได้
ไม่ว่าหยวนเหนียงและคนอื่นๆ พาตัวเองมาที่เยี่ยนจิงเพราะจุดประสงค์อะไรก็ตาม ภายใต้คำสอนสำคัญที่ว่า ‘การอกตัญญูต่อบิดามารดามีสามประการ ประการที่ใหญ่ที่สุดคือการที่ไม่มีบุตร’ ผู้หญิงที่ร่างกายไม่แข็งแรงก็หมายความว่ามีลูกได้ยาก เช่นนี้โอกาสที่นางจะถูกเลือกก็จะน้อยลง…ไม่เช่นนั้น นายหญิงใหญ่ของสกุลสวีก็คงจะไม่เพียงแต่หยุดยาของหยวนเหนียงตั้งแต่นางคลอด แล้วยังแต่งอนุภรรยาให้ลูกชายของตัวเองหรอก!
คิดเช่นนี้ จิตใจของสืออีเหนียงก็รู้สึกสงบลงไม่น้อย
จะว่าไปแล้ว ความคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสือเหนียง ที่อยากจะเป็นโรคหอบตอนไหนก็เป็นตอนนั้น…
แต่ตอนนี้ ความคิดนี้พังไปแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
เวลาส่วนใหญ่ของหญิงสาวล้วนหมดไปกับการแต่งตัว ไม่ต้องพูดถึงนายหญิงใหญ่ แม้แต่ป้าสวี่ก็รู้ดี และอาจารย์เจี่ยนที่สอนพวกนางเย็บปักถักร้อย ก็เคยบอกพวกนางของเรื่องการผสมสีของเสื้อผ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อการเย็บปักถักร้อยและก็เพื่อทำให้ตัวเองสวมชุดเสื้อผ้าดูดีขึ้น… สืออีเหนียงจะแสร้งทำเป็นอยากเป็นที่สะดุดตาจึงสวมชุดสีแดง แต่นางกลับไม่สามารถใส่มันต่อไปได้หลังจากที่แค่ลองใส่ไป
ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของนาง นางยิ้มแล้วให้ตงชิงไปหยิบชุดสีเหลืองลายดอกและเครื่องประดับไข่มุกที่นายหญิงใหญ่มอบให้นางออกมาให้ท่านป้าดู “ท่านคิดว่าชุดนี้เป็นเช่นไร”
ท่านป้าสวี่ยิ้มและพยักหน้า สายตาของนางเต็มไปด้วยความพอใจ “คุณหนูสิบเอ็ดสุภาพอ่อนน้อม สวมชุดสีเรียบๆ และเครื่องประดับที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้เหมาะสมที่สุดเจ้าค่ะ…สมแล้วที่เรียนรู้การเย็บปักถักร้อยกับอาจารย์เจี่ยน”
สืออีเหนียงแอบยิ้มในใจอย่างขมขื่น
ทันทีที่ป้าสวี่เดินออกไป นางก็กินไข่ที่ตงชิงเอามานวดเปลือกตาให้นางจนหมด และยังเกือบจะสำลัก ปินจวี๋จึงหัวเราะเยาะนาง “คุณหนูหิวตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือหรือเจ้าคะ ตอนนี้อะไรก็อร่อยไปหมด!”
สืออีเหนียงไม่สนใจนาง และออกไปหาคุณนายใหญ่
เรือนตรงข้ามเรือนหลักมีเจ็ดห้อง ห้องทางทิศตะวันตกปล่อยให้ทำเรือนเฝ้ายามตอนกลางคืนของท่านป้า ตรงประตูฉุยฮวาทำเป็นห้องเก็บฟืน มีสวนดอกไม้เล็กๆ ด้านข้าง มีห้องอีกสามห้องอยู่ทางทิศตะวันตก ไม่ต้องเทียบกับลานหลัก แค่เทียบกับเรือนข้างหลังที่อู่เหนียงและสืออีเหนียงอยู่ ที่นี่มีพื้นที่น้อยกว่าตั้งหนึ่งในสาม
ตอนที่สืออีเหนียงเดินเข้าไป แปลงดอกไม้หน้าประตูฉุยฮวามีหญิงห้าหกคนกำลังล้อมรอบซิ่งหลินและพูดคุยอะไรสักอย่างอยู่ สีหน้าของซิ่งหลินดูรำคาญ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็ทักทายสืออีเหนียงอยู่ไกลๆ “คุณหนูสิบเอ็ด ท่านมาแล้ว!” นางพูดพร้อมกับปลีกตัวออกมาจากบรรดาหญิงเหล่านั้นที่ล้อมรอบตัวนาง แล้วเดินเข้ามาต้อนรับสืออีเหนียง
“ข้ามาหาพี่สะใภ้” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้ามีเรื่องยุ่งอยู่ก็อย่าได้รอช้า”
ซิ่งหลิ่งกลับทำท่าทางถอนหายใจอย่างโล่งใจ นางยิ้มและพูดว่า “โชคดีที่ท่านมา ไม่เช่นนั้น บ่าวคงไม่รู้ว่าจะปลีกตัวออกมาได้เช่นไร จะบอกว่ารอช้าได้เช่นไรเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้ม แต่ก็ไม่ถามนางว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่เอ่ยถามว่า “คุณนายใหญ่อยู่ที่เรือนหรือไม่”