คุณหนูหกสกุลเฉียวตกใจ
นางคิดไม่ถึงว่าฮูหยินสองจะทำชาไม้ด้วยตัวเองเหมือนนาง…
สะใภ้เซี่ยง ฮูหยินสองของสกุลสวีเกิดในสกุลนักปราชญ์ ท่านพ่อเป็นจอหงวน[1]เมื่อสามสิบปีที่แล้ว เคยเป็นบัณฑิตของสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วน เป็นผู้เป็นที่เคารพนับถือของสำนักศึกษา ตอนยังเด็กเขาก็มีชื่อเสียงที่ดี ตระกูลสวีเคยไปสู่ขอสามครั้งแต่กลับถูกปฏิเสธ ต่อมานายท่านใหญ่สกุลเซี่ยงได้เจอกับสวีหลิ่งอานที่หน้าตาหล่อเหลาและฉลาดหลักแหลม แล้วยังมีสนมไป๋ไท่เฟยเป็นคนรับรอง เขาถึงได้รับปากงานแต่ง
ใครจะรู้ว่า เซี่ยงซื่อแต่งเข้ามายังไม่ถึงสามปี สวีหลิ่งอานก็ป่วยตาย
“ฮูหยินสอง นางไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ!” นายหญิงใหญ่ถามด้วยสีหน้ามืดมน
ไท่ฮูหยินซ่อนสีหน้าที่เศร้าโศกไว้ไม่อยู่ “ตั้งแต่อานเอ๋อร์จากไป นางก็หัวใจว่างเปล่า ไม่ค่อยออกมาเดินเล่นสักเท่าไหร่”
คุณหนูหกสกุลเฉียวทำหน้าเศร้า
เฉียวฮูหยินหันหน้ามา นางยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นท่านก็ต้องชวนนางออกมาเดินเล่นเสียบ้าง นางเป็นคนฉลาด ไม่มีใครคอยดูแลอยู่เคียงข้าง นางก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา หากไม่ใช่เพราะว่าฮูหยินสามยกถ้วยชาดอกกุ้ยฮวาออกมา ข้าก็คงนึกไม่ออกว่าคุณหนูหกของข้าก็ชอบทำอะไรเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ เช่นนั้น เราถือโอกาสนี้ไปหาฮูหยินสองดีไหมเจ้าคะ หนึ่งคือให้เรือนของนางครึกครื้นเสียบ้าง สองคือให้นางได้เจอกับคุณหนูหกของข้า พวกนางอาจจะถูกชะตากัน ได้ไปมาหาสู่กันก็เป็นเรื่องที่ดี”
ไท่ฮูหยินสั่นไหว “เป็นความคิดที่ดี” นางลุกขึ้น ไม่ดื่มชาแล้ว “เราไปนั่งที่นั่นกันเถิด” จากนั้นก็เรียกสาวใช้ที่ชื่อว่าตงซิ่ว “เจ้าไปบอกฮูหยินสองว่า นายหญิงใหญ่มา เราจะไปหานางที่เรือน”
ตงซิ่วตอบรับและเดินออกไป
ฮูหยินสามบอกสาวใช้ของตัวเองที่ชื่อว่าจินหรุ่ย “ไปเตรียมเกวียนมาสองสามเล่ม”
แต่ไท่ฮูหยินสะบัดมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้อากาศดี เราเดินไปกันเถิด แล้วค่อยนั่งเกวียนกลับมาตอนขากลับ”
ฮูหยินสามตอบรับ พวกนางเดินกลับไปทางทิศเหนือ กลับไปทางประตูก่วงเลี่ยงที่เดินผ่านมาเมื่อครู่
ท่านป้าที่เฝ้าประตูอยู่ก็รีบเข้ามาต้อนรับ เดินเข้าประตูไปกับไท่ฮูหยิน
ข้างหน้ามีภูเขาปลอมที่ทำมาจากหินไท่หูสีขาว ข้างภูเขามีต้นไม้เก่าแก่ที่สูงใหญ่สองสามต้น เดินอ้อมภูเขาปลอมไป ทางซ้ายคือภูเขาใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ทางขวาคือป่าไม้ที่มีเส้นทางคดเคี้ยว
ฮูหยินสามพยุงไท่ฮูหยินพาพวกนางเดินเข้าไปในป่าไม้ เดินไปตามทางที่ปูด้วยหิน ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชาก็เห็นป่าไผ่สีเขียว เดินตรงไปตามทางเดินก็เห็นเรือนเล็กๆ อยู่ในป่าไผ่
มีบันไดหินตรงทางเข้าเจ็ดแปดขั้น ผู้หญิงที่สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกสีขาวคนหนึ่งมีตงซิ่วและสาวใช้ที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งยืนอยู่เป็นเพื่อน ยืนอยู่บนขั้นบันใดแล้วมองออกมาหาพวกนาง
เห็นพวกนางเดินมา ตงซิ่วและสาวใช้คนนั้นก็พยุงนางเดินลงมาจากบันได
ผู้หญิงคนนั้นก็คือฮูหยินสองของสกุลสวี…
สืออีเหนียงครุ่นคิดและอดไม่ได้ที่จะมองดูนาง
ดูแล้วอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก รูปร่างผอมบาง ผิวขาว หน้าตาสวยงาม สายตาสงบร่มเย็น นางค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยความสงบเสงี่ยม
“อี๋เจิน!” ไท่ฮูหยินยิ้ม
“ท่านแม่!” ฮูหยินสองยิ้มและคำนับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินรีบพยุงนางลุกขึ้น นายหญิงใหญ่และเฉียวฮูหยินก็พากันทักทายนาง จากนั้นก็แนะนำคุณนายใหญ่สกุลหลัว อู่เหนียง สืออีเหนียงและคุณหนูหกสกุลเฉียวให้นางรู้จัก
ฮูหยินสองสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างมาก นางยิ้มและพูดว่า“ไม่มีของดีอะไร ลูกปัดไม้จันทน์หอม พวกเจ้าเอาไปถือเล่นเสียเถิด” สาวใช้คนนั้นหยิบกล่องเล็กๆ ที่แกะสลักสีแดงสองสามกล่องออกมาให้พวกนาง
พวกนางรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณ ฮูหยินสองพยุงไท่ฮูหยินเดินขึ้นบันได “ช้าๆ เจ้าค่ะ เรือนข้าเดินไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ หากท่านมีเรื่องอันใด ใช้คนมาเรียกข้าก็ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามก็รีบเดินเข้าไปช่วยพยุง
“ไม่ได้มีเรื่องอันใด” ไท่ฮูหยินก้าวขาอย่างระมัดระวัง “นายหญิงใหญ่มาเยี่ยนจิง เราจึงจะมานั่งที่เรือนเจ้าสักหน่อย”
พวกนางที่เดินตามมาข้างหลังก็มีสาวใช้คอยพยุงเดินขึ้นบันไดมา
สืออีเหนียงเห็นว่าขั้นบันไดทำด้วยหินไท่หูที่มีลวดลายน้ำ ตามรอยแยกของหินก็มีหญ้าต้นเล็กๆ แทรกขึ้นมาเป็นครั้งคราว เดินขึ้นบันไดไป ก็เห็นป้ายที่อยู่บนประตูเขียนคำว่า ‘เสาหวา’ สองคำ เมื่อเดินเข้าไปข้างในลาน มีต้นไผ่และหญ้าเขียวที่หนาแน่น มีลมพัดมาทำให้เกิดเสียงเป็นครั้งคราว ทำให้รู้สึกเงียบสงบเหมือนอยู่ในภูเขาลึก
เดินเข้ามาในประตู เรือนเล็กๆ ที่มีสามห้อง เสาสีดำปูพื้นด้วยกระเบื้องสีขาว กลางห้องโถงมีภาพดอกไม้เจ้าแม่กวนอิมและภาพลายก้อนเมฆลายมังกรพระโพธิสัตว์กวนอิมสีม่วงดำแขวนอยู่ โต๊ะยาวสีดำมีแค่กระถางลายครามต้นมะงั่วสองสามกระถาง ข้างหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำ ซ้ายและขวามีเก้าอี้ไท่ซือข้างละหนึ่งตัว
ฮูหยินสองให้ไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่นั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ สาวใช้นำเก้าอี้เหมยกุยสีดำออกมาให้เฉียวฮูหยินนั่ง และก็มีสาวใช้นำเก้าอี้จิ่นอู้มาให้คนอื่นๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ห้องโถงเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยผู้คน
ไท่ฮูหยินเรียกคุณหนูหกสกุลเฉียวตามมา พูดกับฮูหยินสองว่า“นางได้ยินว่าเจ้าทำชาดอกกุ้ยฮวา อยากจะมาหาเจ้า จึงพานางมาที่นี่”
คุณหนูหกสกุลเฉียวรีบเดินเข้าไปคำนับฮูหยินสอง “ข้าใช้ผ้าห่อใบชาวางไว้ในดอกบัวที่ยังไม่บาน แต่กลิ่นมันอ่อนไปหน่อย ไม่หอมเหมือนชาดอกกุ้ยฮวาของฮูหยินเลยเจ้าค่ะ” นางทำท่าทางกระตือรือร้นอยากจะขอคำแนะนำ
“ทำชาดอกบัวหรือ!” ฮูหยินสองยิ้มจางๆ “ควรจะเลือกดอกบัวขาวดีที่สุด ตอนเช้าตอนที่ดอกยังไม่บาน ใช้ใบหมาผีมัดเบาๆ เช้าของวันต่อมาก็มาเด็ดดอก ตากใบชาให้แห้ง ทำเช่นนี้สามสี่ครั้ง จะไม่ทำให้รสชาหายไปแล้วยังมีกลิ่นของดอกบัว”
“อ้อ!” คุณหนูหกเบิกตากว้าง นางถอนหายใจเบาๆ อย่างไร้เดียงสา “ควรใช้ดอกบัวขาวหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินสองพยักหน้า “กลิ่นหอมของดอกบัวขาวแรงกว่าดอกบัวแดง”
ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน ก็มีสาวใช้ยกชาขึ้นมา
มันมีกลิ่นหอมของดอกเหมย…
สีหน้าของคุณหนูหกเต็มไปด้วยความตกใจ “ฮูหยินยังทำชาด้วยดอกเหมยด้วยหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินสองยิ้มและพูดว่า “แค่เป็นดอกที่มีกลิ่นหอมก็ทำได้หมด…” พูดจบ นางก็มองออกไปนอกหน้าต่าง “ในสวนมีดอกไม้บานตลอดทั้งปี อยากทำชาดอกอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ไม่มีกลิ่นอายของความเหงาและโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่กลับมีกลิ่นอายของความเป็นอิสระและไร้ความกังวล
สืออีเหนียงจึงนึกถึงบันไดหน้าเรือนขึ้นมา
ขึ้นบันไดค่อนข้างชันราวกับปีนภูเขา คนธรรมดาคงจะไม่มาที่นี่!
คุณหนูหกก็ขอคำแนะนำเรื่องการทำชาดอกไม้ ทำขนม ทำข้าวต้มจากฮูหยินสอง สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันเกินจริงมากเกินไป ดูเสแสร้งแกล้งทำไปหน่อย แต่ก็ดูสมเหตุสมผล
ท่าทางของฮูหยินสองอ่อนโยนและสุภาพแต่กลับมีความเหินห่างเล็กน้อย สายตาของไท่ฮูหยินมีความผิดหวัง
เฉียวฮูหยินเห็นเช่นนี้ นางก็รีบเสนอออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้“ ดอกมะลิเหมันต์ข้างๆ ศาลาชุนเหยี่ยนถิงน่าจะบานแล้วนะเจ้าคะ!”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มและพูดว่า “พึ่งบานเมื่อวานเจ้าค่ะ!” นางลุกขึ้นและพาพวกนางไปดูดอกมะลิเหมันต์
ไท่ฮูหยินจูงมือฮูหยินสองเดินออกมาจากเรือนเสาหวา เดินผ่านทางเดินในป่าไม้ เดินมาถึงถนนที่ปูด้วยหินสีฟ้า เดินไปทางเหนือ ข้างหน้าคือแม่น้ำที่คดเคี้ยวราวกับมังกร บนแม่น้ำมีศาลาที่ชื่อว่าศาลาปี้อี เดินผ่านศาลาปี้อีไป มีทางเดินแยกออกไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก พวกนางเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก ข้างหนึ่งคือแม่น้ำ อีกข้างหนึ่งคือป่าเขา ข้างหน้ามีลมเย็นพัดผ่าน ทำให้ผู้คนจิตใจสดชื่น
สืออีเหนียงค่อยๆ เดินช้าลงเรื่อยๆ นางห่างจากพวกนางไกลขึ้นเรื่อยๆ
มีสาวใช้มาถามนางว่า “คุณหนูเหนื่อยแล้วหรือเจ้าคะ อยากพักผ่อนก่อนไหมเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรีบพูด “ไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อย” แต่กลับเดินช้าลงเรื่อยๆ
ตงชิงและหู่พั่วที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นห่วง อยากจะเดินเข้าไปพยุงนางแต่กลับถูกนางปฏิเสธ “…เดี๋ยวท่านแม่จะถามเอาได้”
สาวใช้คนนั้นได้ยินจึงเดินตามนางอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ได้เร่งนาง
ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของฮูหยินสาม…ช่างเป็นมิตรเสียจริง…
สืออีเหนียงครุ่นคิด นางขยิบตาให้หู่พั่ว จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ชื่ออะไรเจ้าคะ”
สาวใช้ยิ้มและพูดว่า “ข้าชื่อชิวหลิง”
หู่พั่วอุทาน “หา” แล้วพูดว่า “ข้ามีพี่สาวคนหนึ่งก็ชื่อว่า ‘ชิว’ เหมือนเจ้า…”
ชิวหลิงยิ้ม สืออีเหนียงพาตงชิงเดินไปข้างหน้าแล้ว
หู่พั่วและชิวหลิงก็กระซิบกระซาบ “เรือนนี้ช่างงามจริงๆ เลย! ได้ยินมาว่าจวนถัดไปคือจวนของติ้งกั๋วกงกับเวยเป่ยโหวหรือ?”
ชิวหลิงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ติ้งกั๋วกงสกุลเจิ้งอยู่ข้างหน้าเรา เวยเป่ยโหวสกุลหลินอยู่ทางทิศตะวันตก”
หู่พั่วทำท่าทางอิจฉา “เช่นนั้นคนที่ไปมาหาสู่กันก็ล้วนแต่เป็นสกุลที่สูงส่งเช่นนั้นหรือ”
ชิวหลิงยิ้มและพยักหน้า
“เชั้นนั้นพวกนางก็เหมือนพวกเรา มาเยี่ยมกันเป็นครั้งเป็นคราวเช่นนี้หรือ?” หู่พั่วถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน” ชิวหลิงยิ้ม “คุณนายใหญ่สกุลหลินสนิทกับฮูหยินสี่ของพวกข้าเป็นอย่างมาก มักจะมาเยี่ยมฮูหยินสี่อยู่บ่อยๆ”
หู่พั่วหันหน้าไป “เช่นนั้นเม่ากั๋วกงสกุลหวังก็มาบ่อยหรือ?”
สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก จากนั้นก็พาตงชิงเดินตามอู่เหนียงไป
ชิวหลิงตกใจ “ทำไมเจ้าถึงถามถึงสกุลนั้น!”
หู่พั่วรีบอธิบาย “ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงสกุลขุนนางของเยี่ยนจิง เขาพูดถึงจวนพวกเจ้า แล้วยังพูดถึงจวนเม่ากั๋วกง…”
“สกุลของพวกเขาจะมาเทียบกับสกุลของพวกข้าได้เช่นไรกัน” ไม่รอให้หู่พั่วพูดจบ ชิวหลิงก็ทำสีหน้าดูถูก “ถึงแม้ว่าสกุลของข้าก็อาศัยวาสนาของบรรพบุรุษ แต่นายท่านใหญ่คนก่อนของเราก็เคยรับตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีกรรม แต่ท่านกั๋วกงของพวกเขา ได้รับตำแหน่งหัวหน้าเลขาธิการกรมบำรุงรักษาม้า มาจากความช่วยเหลือของสกุลญาติ แต่แม้แต่จำนวนม้าที่เลี้ยงก็ยังนับไม่ครบ จึงถูกปลดจากตำแหน่ง…”
หู่พั่วตกใจ “ได้รับตำแหน่งมาจากความช่วยเหลือของสกุลญาติ? สกุลญาติของเม่ากั๋วกงคือผู้ใดกัน”
“เจียงเจี๋ยบัณฑิตของสำนักศึกษาเหวินหยวนเก๋อไง” ชิวหลิงยิ้ม
“เจียงเจี๋ย?” หู่พั่วกะพริบตา “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“เจ้าต้องไม่เคยได้ยินแน่นอน” ชิวหลิงปิดปากยิ้ม “ใต้เท้าเจียงเสียชีวิตไปสิบกว่าปีแล้ว”
หู่พั่วยิ้ม“พี่ชิวหลิงเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ… เมื่อก่อนข้าเอาแต่เย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือน ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน” สายตาของนางเป็นประกาย “พี่ชิวหลิงรู้อะไรเยอะแยะจัง!”
ชิวหลิงยิ้มและพูดว่า“ก็เพราะว่าฮูหยินของข้าชอบถามเรื่องพวกนี้กับท่านโหว ถึงได้รู้บ้างนิดหน่อย”
หู่พั่วเดินเข้าไปจับแขนของชิวหลิง “พี่ชิวหลิงคนดี เล่าให้ข้าฟังหน่อย ข้าจะได้เอากลับไปเล่าให้คุณหนูของข้า ให้นางได้ฟังบ้าง”
ชิวหลิงยิ้ม
“พี่ชิวหลิงคนดี…” หู่พั่วขอร้องนาง
“เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่ความลับอะไร” ชิวหลิงยิ้ม “สกุลเจียงในเล่ออานเจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”
หู่พั่วส่ายหน้า
“สกุลของพวกเขาเคยมีคนเป็นท่านอาจารย์ของฮ่องเต้สองคน…” ชิวหลิงพูดเบาลงเรื่อยๆ พวกนางเดินช้าลงเรื่อยๆ
พวกนางหยุดเดินแล้วยืนพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
[1] จอหงวน เป็นตำแหน่งราชบัณฑิตซึ่งได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางของประเทศจีนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์