ชงชาไปราวสองถ้วย เฉียวฮูหยินจึงค่อยหันกลับมา
ใบหน้าของนางซีดเผือด สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง สาวใช้รีบเข้าไปช่วยประคอง แต่กลับถูกนางผลักจนล้มลงไปกองกับพื้น
สีหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่นางกลับรีบลุกขึ้นแล้วกลับไปหาเฉียวฮูหยินโดยที่ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ครั้งนี้เฉียวฮูหยินยืนนิ่งให้สาวใช้เข้ามาประคองแต่โดยดี แต่สายตาของเฉียวฮูหยินกลับจับจ้องไปยังเฉียวเหลียนฝังที่อยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยินตาไม่กะพริบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ก้าวเท้าเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง
“เฉียวฮูหยิน” หลินฮูหยินที่เห็นหน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก ร่างกายดูอ่อนล้าและโคลงเคลงไม่มั่นคง จึงรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านไม่สบายหรือ”
เฉียวฮูหยินที่เคยสดใสอารมณ์ดีมาโดยตลอดก็ได้หันไปมองหลินฮูหยินแววตาสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งค่อยได้สติขึ้นมา จึงตอบกลับไปว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย!”
หลินฮูหยินจึงรีบพูดขึ้นว่า “เชิญหมอมาดูอาการสักหน่อยไหม” เมื่อพูดจบ นางก็ลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเรียนไท่ฮูหยินก่อน!”
เฉียวฮูหยินรีบดึงแขนของหลินฮูหยินไว้ “ไม่…ไม่ต้อง…ข้าเพียงแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง ใช่ แค่ท้องเสียเท่านั้น ลูกท้อสดที่ฮูหยินสี่ให้มา…”
หลินฮูหยินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เฉียวฮูหยินเป็นคนที่แรงค่อนข้างเยอะ จับแรงจนนางรู้สึกเจ็บแขน ไม่ว่าจะพูดสักกี่ครั้ง ก็ดูเหมือนกับคนปกติที่ไม่ได้เป็นอะไร แต่นางก็ย้ำแล้วว่าไม่เป็นไร ตัวเองจะไปทำให้มากเรื่องทำไมกัน!
เมื่อคิดได้แบบนี้ นางจึงค่อยๆ ดึงแขนกลับ แล้วยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากท่านรู้สึกไม่สบายก็บอกข้าสักคำ ข้าจะไปตามหมอมาให้”
เฉียวฮูหยินพยักหน้าตอบกลับเบาๆ แล้วจึงค่อยเอนตัวพิงไปยังพนักพิงของเก้าอี้นวม
สืออีเหนียงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจนหมด ดูเหมือนว่าหยวนเหนียงจะบอกเรื่องของเฉียวเหลียนฝังให้กับเฉียวฮูหยินแล้ว ถ้าเช่นนั้นนายหญิงใหญ่จะรู้เรื่องหรือยังนะ
นางจึงทอดสายตามองไปยังนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่และกานฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างเบิกบานใจ
สืออีเหนียงกำลังจะหันหน้ากลับไป แต่จู่ๆ ก็เห็นนายหญิงใหญ่ลุกขึ้น กระซิบอะไรบางอย่างกับกานฮูหยินอยู่สองสามคำ กานฮูหยินก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ แล้วนางก็เดินเข้าไปในโถงบุปผา เรียกสาวใช้นางหนึ่ง “พาข้าไปที่ห้องชำระหน่อย” จากนั้นก็ออกคำสั่งกับลั่วเชี่ยวว่า “เจ้าตามข้ามา”
ลั่วเชี่ยวย่อตัวถอนสายบัว ก่อนที่จะเดินตามนายหญิงใหญ่ไป โดยมีสาวใช้เดินนำทางไปยังห้องชำระ
นายหญิงใหญ่หยุดลงตรงหน้าห้องชำระ จากนั้นก็ได้ยื่นก้อนเงินก้อนหนึ่งให้กับสาวใช้นางนั้น “เจ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้าต่อแล้ว ข้าไม่ชิน”
สาวใช้นางนั้นหันไปมองลั่วเชี่ยวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบรับก้อนเงินด้วยความดีใจ แล้วจึงถอยออกไป
นายหญิงใหญ่ได้กำชับกับลั่วเชี่ยวว่า “เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ หากว่ามีคนมา ให้รออยู่ข้างนอก เข้าใจหรือไม่”
ลั่วเชี่ยวจึงรีบตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ นางยืนอยู่หน้าห้องชำระแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงได้เดินออกไปจากประตูด้านข้าง ผ่านโถงเตี่ยนชวน ตรงไปยังลานสวนเล็ก
หน้าห้องโถงมีหญิงชรายืนอยู่ตรงขั้นบันไดสองสามคน กำลังยืนเขย่งเท้าเพื่อดูความครึกครื้น เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่เดินมา ก็รีบเข้าไปทำความเคารพ “ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ ฮูหยินสี่ของเราดื่มจนเมาแล้ว หากท่านมีธุระเชิญมาพรุ่งนี้เช้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นว่า “ฟ้ามืดแล้ว ตาของพวกเจ้าก็บอดตามไปด้วยกระนั้นหรือ”
หญิงชราทั้งสองรีบหันกลับไปทำความเคารพพร้อมกับขานเรียกขึ้นว่า “ป้าเถา”
ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มสลัว หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งสีหน้าเคร่งขรึมสวมชุดเป้ยจื่อ ลายดอกไม้สีเขียวเดินผ่านห้องโถงมา นางคือป้าเถา บ่าวปรนนิบัติข้างกายคนสนิทของหยวนเหนียง เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่ ก็ยิ้มขึ้นมาทันที “นายหญิงใหญ่ ท่านมาแล้ว!”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า พร้อมกับถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “หยวนเหนียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“กำลังรอท่านอยู่เจ้าค่ะ!” ป้าเถาตอบกลับพร้อมกับเดินพานายหญิงใหญ่เข้าไปในลานสวนเล็ก
ในลานสวนเล็กมืดสนิท มีโคมไฟที่แขวนอยู่ตรงใต้ชายคาของเรือนเพียงสองดวงเท่านั้น ที่หน้าประตูมีสาวใช้นางหนึ่งกำลังยืนฉีกเล็บตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อเห็นว่ามีคนมา นางก็เบิกตากว้างพร้อมกับถามขึ้นด้วยความตื่นตัวว่า “ผู้ใดกัน”
ป้าเถาตอบกลับไปว่า “ข้าเอง!” นายหญิงใหญ่ก็เห็นว่าสาวใช้นางนั้นได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ พร้อมกับหมุนตัวไปเปิดประตู “เมื่อครู่นี้ฮูหยินสี่ก็พึ่งถามไปเองเจ้าค่ะ!”
ป้าเถาพยักหน้า เชิญนายหญิงใหญ่เข้าเรือนไป และได้หันไปกำชับกับสาวใช้นางนั้นว่า “เฝ้าดีๆ” จากนั้นก็ได้ปิดประตูลง
เสียงประตูปิดลง เอี๊ยด… ดังขึ้นชัดเจนท่ามกลางความเงียบงันทั่วทั้งลานสวนเล็กแห่งนี้ จนทำให้สาวใช้พลอยสะดุ้งไปด้วย
หยวนเหนียงกำลังพักผ่อนอยู่บนเตียงไม้ที่หันหน้าไปยังหน้าต่างของทางทิศตะวันออก เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่มา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง ภายใต้แสงโคมไฟสีขาวนวล ดูอ่อนโยนและสงบร่มเย็น
“ป้าเถา ท่านไปเอาของให้ข้าหน่อย” นางพูดขึ้นเสียงเบา ถึงแม้ว่าสีหน้าจะดูอ่อนล้าเต็มที แต่แววคู่นั้นกลับเป็นประกายชัดเจน
ป้าเถาขานรับ แล้วจึงได้ไปนำชุดกระโปรงสีขาวที่ถูกปักลายต้นไผ่ดอกเหมย และดอกกล้วยไม้ออกมา
นายหญิงใหญ่รับมาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “ทำไมเจ้าถึงต้องพยายามเช่นนี้…จวนสกุลเฉียวใช่ว่าจะยุ่งได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน”
“ท่านแม่ ท่านน่าจะกระจ่างกว่าข้าเป็นไหนๆ นะเจ้าคะ” หยวนเหนียงยิ้มขึ้นช้าๆ นัยน์ตาดำขลับภายใต้แสงไฟที่ลุ่มลึกประดุจบ่อน้ำ “ข้างเตียงนอนของตัวเอง จะให้ผู้อื่นมานอนได้อย่างไร พวกเขานึกว่าข้าป่วยแล้ว จะไม่มีปัญญาทำอะไรได้ จึงได้เข้าๆ ออกๆ อย่างไร้ซึ่งยางอายเช่นนี้ หากข้าไม่เลือกอันที่แข็งที่สุดมาทุบให้แตกละเอียดเสียก่อน ก็จะเกิดปัญหาตามมาไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่คือทางเลือกที่ไร้ซึ่งทางเลือก หากว่าไปตามจริง กับดักนี้ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนสร้าง แต่หากว่านางไม่ไปเห่อเหิมต่อหน้าท่านโหวจนเกินหน้าเกินตา แล้วจะติดกับดักได้อย่างไรกัน เหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูจวนอื่นมาร่วมประสมโรงด้วยล่ะ หากจะโทษ ก็ควรโทษตัวนางเองที่ร้อนรนจนเกินไป จะมาตำหนิข้าไม่ได้!”
นายหญิงใหญ่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ราวกับว่าได้เห็นด้วยกับบุตรสาวของตนแล้ว
“กระโปรงชุดนี้ท่านเก็บไว้ให้ดี” หยวนเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงผู้มีเจตนาไม่ดี จะไปคิดเอาเองว่าหนุนหมอนสูงแล้วจะหลับได้อย่างไร้กังวล”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ “ข้ารู้แล้ว” จากนั้นนางก็ถอดชุดกระโปรงออกต่อหน้าบุตรสาวตัวเอง นำกระโปรงชุดนั้นมาสวม แล้วค่อยสวมชุดของตัวเองซ้อนทับข้างนอกอีกที
เฉียวเหลียนฝังสูงไม่เท่านายหญิงใหญ่ ชุดกระโปรงในสมัยนั้นเป็นจีบเสียส่วนใหญ่ เมื่อนายหญิงใหญ่สวมทับลงไป จึงดูไม่ออกเลยว่าได้สวมอีกชุดซ้อนอยู่ด้านใน
“ท่านโหวมีความคิดเห็นอย่างไร” นางถามขึ้นในขณะที่กำลังสวมชุด “เห็นด้วยกับความคิดของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
หยวนเหนียงกลับตอบไม่ตรงคำถาม นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไท่ฮูหยินรับปากจะไปขอดองกับบ้านสกุลเจียงให้กับจุนเกอแล้ว!”
สีหน้าของนายหญิงใหญ่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางนึกไม่ถึงเลยว่าหยวนเหนียงจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาได้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “แล้วท่านโหว…เรื่องสืบทอดนั่นอีก…”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” หยวนเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไว้จัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยก่อน เรื่องนั้นไม่รีบ ถึงแม้อยากจะรีบก็รีบไม่ได้ ก็คงต้องรอให้ข้าตายไปเสียก่อนกระมัง!” นางเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าแววตาคละเคล้าไปด้วยความประชดประชัน
เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นแล้วดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางพยายามอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่งแต่ท้ายที่สุดก็อดทนต่อไม่ไหว น้ำตาจึงร่วงหล่นลงมา
“ท่านแม่ ท่านอย่าเป็นอย่างนี้เลยเจ้าค่ะ” หยวนเหนียงดึงมือของมารดามากุมไว้ “ที่ข้าให้ท่านมา ไม่ได้ต้องการจะทำให้ท่านร้องไห้เสียหน่อย!”
นายหญิงใหญ่จึงรีบพยักหน้าทันที แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ข้าฟังอยู่ จะต้องช่วยเจ้าทำสำเร็จให้จนได้” แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นว่า “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงเชียว จวนสกุลเจียงมีความข้องเกี่ยวกับเสนาบดีฝ่ายปกครองและฝ่ายค้านมาช้านาน หากสามารถเกี่ยวดองกับจวนสกุลนี้ วันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะรุ่งโรจน์และมีหน้ามีตามากมายสักเพียงไหน แต่เหตุใดท่านโหวถึงได้ไม่เห็นด้วยเพียงนี้ หากเขารับปากตั้งแต่แรก จะเหนื่อยลำบากเจ้าได้อย่างไร…” นางพูดอยู่ครู่หนึ่งแต่จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ น้ำเสียงของนางก็เบาลงและระมัดระวังขึ้นมาทันที “หรือว่าเขามีแผนการอยู่แล้ว ยกเลิกบุตรเอกแล้วโอนสิทธิ์ให้กับบุตรสามัญอย่างนี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายของต้าโจว จะถูกผู้ตรวจการคาดโทษเอาได้! หรือว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมานับร้อยปีจะเสื่อมเสียหรือไงกัน”
“ท่านแม่ หลายปีมานี้ ท่านไม่ได้เข้าใจบ้างเลยหรือเจ้าคะ” หยวนเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้ากฎหมายนั้นเป็นผลจริงๆ จะตั้งสำนักตรวจการอีกทำไมกัน”
“ก็จริง” นายหญิงใหญ่ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสนิทใจเท่าไรนัก
“ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรีบเกี่ยวดองกับทางบ้านสกุลเจียงให้เสร็จสิ้น” หยวนเหนียงสีหน้าแววตาเรียบเฉย “ถึงเวลานั้น เมื่อจุนเกอมีตระกูลที่แข็งแกร่งหนุนนำเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็จะไม่สามารถมาสั่นคลอนตำแหน่งทายาทของเขาได้อีก” เมื่อพูดจบท้ายประโยค น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นทรงพลังอำนาจขึ้นมาทันที
“อืม” นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ “เจ้าคิดเอาไว้หรือยังว่าจะจับจองคุณหนูเรือนไหนให้กับจุนเกอ ข้าดูแล้วบัณฑิตเจียงไป่แห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินหย่วนดีที่สุด ตอนนี้เขาเองก็เป็นถึงขุนนางขั้นสองของสำนักราชบัณฑิตหลวงแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด การก้าวเข้าสู่ตำแหน่งมหาเสนาบดีก็ไม่นานเกินรอแล้ว”
“เจ้าค่ะ!” หยวนเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านแม่และข้าคิดไปในทิศทางเดียวกันแล้ว ตระกูลเขามีบุตรสาวอยู่นางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบุตรเอกอีกด้วยปีนี้พึ่งอายุครบสองขวบ ใกล้เคียงกับอายุของจุนเกอเลย ส่วนทางตระกูลหวัง ข้าได้ให้คนนำของกำนัลไปยังจวนไท่หยวนแล้ว บวกกับทางฝั่งเรายินดีที่จะหมั้นหมายกับหวังหลัง ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธที่จะเป็นแม่สื่อให้จุนเกออย่างแน่นอน”
นายหญิงใหญ่ลังเลเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าจวนเม่ากั๋วกงจะไม่ได้ล่มสลาย แต่หากให้สกุลหวังไปเป็นแม่สื่อ ไม่รู้ว่าทางสกุลเจียงจะให้หน้านางหรือไม่” แต่นางเองก็กลัวว่าบุตรีของนางจะคิดว่านางไม่เห็นด้วย จึงรีบอธิบายไปว่า “ข้าไม่ได้ไม่อยากให้บุตรสาวข้า แต่ข้ากลัวว่าจะเสียเปล่าให้กับทางสกุลหวัง!”
“มีบางเรื่องที่ท่านยังไม่รู้” หยวนเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม้ว่าสกุลหวังจะมีพื้นหลังที่สูงส่ง แต่เมื่ออยู่ในบ้านสกุลเจียงกลับอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เป็นอย่างมาก ในตอนแรกที่เจียงไป่เข้าไปเป็นเสนาบดีชั่วคราวที่เยี่ยนจิงนั้น ฮูหยินของเจียงไป่ก็เกิดป่วยหนักขึ้นมา นางไม่เพียงแต่คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ไม่ไปไหน ยังตระเวนถามหมอหายารักษาไปทั่วและยังได้ไหว้พระขอพรไม่หยุดหย่อน หลังจากนั้นฮูหยินของเจียงไป่ก็ได้ทานยาที่นางหามาได้ อาการป่วยก็ทุเลาลงจนหายดีในที่สุด จึงได้สนิทสนมกับสกุลหวังเป็นอย่างมาก ข้าเองก็เคยให้คนไปทาบทาม แต่บ้านสกุลเจียงได้ปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพ ไม่เช่นนั้น ทำไมข้าจะต้องไปขอร้องนางให้ช่วยด้วยเล่า”
“เรื่องเหล่านี้เจ้ารู้มากกว่าข้า” นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าตัดสินใจเองก็เพียงพอ”
หยวนเหนียงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ เรื่องการแต่งงานของทั้งสามพี่น้อง ท่านจะต้องลำบากใจเสียหน่อยแล้ว! เพราะถึงอย่างไร อายุน้อยหรืออาวุโสก็ต้องมีลำดับอยู่ดี!”
นายหญิงใหญ่เลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าแล้วแววตาเผยความเย็นยะเยือกออกมา “เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร!”
หยวนเหนียงถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางเผยสีหน้ากังวลใจออกมาเป็นครั้งแรก “บางครั้งคนเราจะไม่เชื่อในโชคชะตาไม่ได้! เป็นนางที่บังเอิญอยู่ที่โถงบุปผาพอดี เรื่องนี้ก็เลยบังเอิญสำเร็จพอดี และบังเอิญที่นางไม่ได้ตื่นตระหนก…ตอนแรกก็ตั้งใจอยากจะไปดู…แต่เวลาไม่เคยคอยใคร…ตอนนี้ก็คงต้องเลือกนางเท่านั้น หวังเพียงว่าฟ้าสวรรค์จะปกปักรักษา เห็นแก่ความเพียรพยายามของข้าในครั้งนี้ ขอให้นางปากตรงกับใจ อย่าให้ข้าดูคนผิดไป…”
*****
ในขณะที่นายหญิงใหญ่กำลังคุยกับหยวนเหนียงเป็นการส่วนตัวอยู่นั้น ฮูหยินสามก็ได้อาศัยจังหวะที่กำลังยกชาให้กับนายหญิงใหญ่ส่งสายตาให้กับฮูหยินห้าให้ไปที่โถงบุปผา
“…ส่งโดยม้าเร็วที่วิ่งตรงมาจากหนานจิง แต่ละเส้นใช้เงินราวยี่สิบตำลึง แต่จู่ๆ ก็หายไปจนหมด เจ้าว่ามันไม่น่าแปลกหรือ” เสียงพูดของฮูหยินสามค่อนข้างเบาเป็นอย่างมาก “ถ้าหากข้าไม่ได้สนิทคุ้นเคยกับทางหลิวจี้ เกรงว่าวันนี้คงได้ปล่อยไก่ตัวโตไปแล้ว จัดงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก นายหญิงใหญ่สั่งปลาตะลุมพุกด้วยตัวเองแต่กลับไม่มีใครยกมา! พอข้าไปตรวจสอบดู ก็พบว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามหลานชายของจวนแม่เจ้า พูดตามตรง จวนแม่ข้าไม่ใช่แขกนอกคนอื่นคนไกล บ่าวรับใช้จวนแม่ยังจะต้องจ้างคนนอก ทำไมถึงตามมาเป็นบ่าวรับใช้จวนสกุลสวีได้ น้องสะใภ้ห้า เรื่องนี้ข้าแทรกแซงยากจริงๆ เจ้าควรจะไปถามไถ่เรื่องราวเองดีกว่า!”
ฮูหยินห้าจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้สามวางใจเถิด หากว่าคนใช้คนนั้นเป็นคนของข้าจริง ข้าจะต้องแจ้งท่านอย่างแน่นอน”
“ข้าเชื่อเจ้า” ฮูหยินสามยิ้มขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้จะทำเรื่องให้มากความแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าแปลกเกินไป! ข้าเองก็พึ่งเข้ามารับหน้าที่ในบ้าน เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถทำได้ และย่อมมีคนต้องการใช้อำนาจข่มข้าเป็นธรรมดา…ข้าจะชะล่าใจหรือไม่ระวังตัวไม่ได้เลย!” พูดจบ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าหวังว่าน้องสะใภ้สี่จะหายในเร็ววัน ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงและกังวลเช่นนี้ จะได้รีบมอบหน้าที่นี้คืนไปโดยเร็ว!”
สีหน้าและแววตาของนางดูไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก
ฮูหยินห้ารับฟังด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ตั้งใจจะพูดคำพูดปลอบใจสักหน่อยแต่จู่ๆ ก็มีเสียงอุทานด้วยความตกใจดังมาจากทางชายคาของโถงบุปผา “เฉียวฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไป”