ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 56 เรื่องงานแต่ง (ปลาย)

ตอนที่ 56 เรื่องงานแต่ง (ปลาย)

วัดฮู่กั๋วตั้งอยู่ทิศทางทิศตะวันตกของเมืองเยี่ยนจิง วันเจ็ดค่ำ วันแปดค่ำของทุกเดือนจะมีการจัดงานวัด ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่มีงานวัด แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายเข้ามาเที่ยวชม และยังมีผู้แสวงหาบุญจำนวนมาก ผู้คนต่างนั่งรถม้ามาบ้าง ขี่ลาบ้าง เพื่อมาถวายเครื่องหอมที่วัดด้วยจิตศรัทธา  

 

 

สืออีเหนียงลงรถม้าตามสือเหนียง ก็เห็นเข้ากับร้านแผงลอยเล็กๆ กางเพิงด้วยผ้าสีฟ้าขาว ขายอาหารบ้าง ขายเครื่องหยกบ้าง และยังขายถ้วยชา ผ้าไหม ของใช้จิปาถะอีกมากมาย ดูตระการตาอย่างยิ่ง มีหมดแทบทุกสิ่งอย่าง บรรยากาศเหมือนที่ที่นางเคยไปเลยเชียว  

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งและคุณชายเฉียนเพื่อนร่วมคณะของเขาเดินนำอยู่ข้างหน้า ข้างๆ ล้อมรอบไปด้วยสาวใช้ คนใช้แรงงานรวมไปถึงชายร่างใหญ่ที่คอยเฝ้าอารักขาความปลอดภัย แค่มองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นคนสูงศักดิ์ฐานะร่ำรวย แน่นอนว่าชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าเข้าใกล้ 

 

 

เพียงไม่นานพวกเขาก็ไปถึงห้องโถงใหญ่เพื่อจุดธูป จากนั้นก็ถูกผู้ดูแลของที่นี่เชิญไปพักผ่อนที่ห้องรับรองบนเขาหลังวัด 

 

 

อู่เหนียงและสือเหนียงรู้สึกตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ทั้งคู่สวมหมวกผ้าคลุมและได้ทอดสายตาสอดส่องไปทั่ว เมื่อถึงห้องรับรองบนเขา ทั้งคู่ก็พากันไปมองดูทิวทัศน์ที่นอกหน้าต่าง นายหญิงใหญ่มองสืออีเหนียงที่สีหน้าสงบเรียบเฉย จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ  

 

 

ส่วนหลัวเจิ้นซิ่งก็อยู่เป็นเพื่อนคุณชายเฉียนเข้าไปกล่าวทักทายนายหญิงใหญ่  

 

 

จากนั้นอู่เหนียงและคนอื่นๆ ก็ได้พากันเข้ามาด้านใน 

 

 

คุณชายเฉียนเป็นคนอัธยาศัยดีพูดคุยค่อนข้างเก่ง พูดคุยกับนายหญิงใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ชวนคุยถึงเรื่อง “…มีหวีไม้ขายด้วย ทำจากวัสดุที่แตกต่างกันออกไป มีครั้งหนึ่งข้าเคยซื้อหวีที่ทำจากเขาควายจริงๆ ขายเพียงสิบอีแปะเท่านั้น ทางทิศตะวันตกมีร้านขายรองเท้าอยู่ร้านหนึ่ง มีรองเท้าครบแทบทุกสีทุกลวดลาย ถึงแม้ว่าไม่อาจเทียบเท่าเจียงหนาน แต่ก็ค่อนข้างโดดเด่นเลยทีเดียว อีกประเดี๋ยวท่านสามารถลองให้ท่านป้าไปเดินดูได้ ทางทิศใต้มีร้านน้ำชาแผงลอยเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่งชื่อว่าเหนียนเกาหลี่ ขายผาเกา[1] ก๋วยเตี๋ยวเย็นเส้นใส ไส้ก้วนฉังทอด หมูปั้นน้ำแดง รสชาติดั้งเดิมของเมืองเยี่ยนจิง ท่านควรลองชิมดูสักครั้ง! ไส้ก้วนฉังทอดท่านเคยได้ยินมาบ้างหรือไม่ ข้างในไส้เป็นแป้ง น้ำข้าวหมักแดง กานพลู กระวาน พิถีพิถันเป็นอย่างมากขอรับ…” เขายังคงพูดจาคล่องแคล่วลื่นไหลไม่หยุด พลอยทำให้นายหญิงใหญ่ อู่เหนียง และสือเหนียงที่อยู่ในห้องต่างพากันหัวเราะชอบใจเป็นอย่างมาก เหลือเพียงสืออีเหนียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่าคนผู้นี้พูดมากเกินไป ชอบพูดจาเกินจริงอยู่บ่อยครั้ง ทำตัวไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่นายหญิงใหญ่กลับชอบใจมาก ยังสั่งคนไปซื้ออาหารที่ร้านเหนียนเกาหลี่มาชิมอีกด้วย 

 

 

สืออีเหนียงมองไส้ก้วนฉังทอดที่มีหน้าตาคล้ายกับขนมเข่งทอด ไม่กล้าชิมแม้แต่ชิ้นเดียว ส่วนสือเหนียงกลับทานอย่างเอร็ดอร่อย  

 

 

เพราะมีเหตุการณ์เช่นนี้ ความเหินห่างระหว่างนายหญิงใหญ่และคุณชายเฉียนจึงลดลง ความสนิทสนมเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย  

 

 

คุณชายเฉียนได้ถามนายหญิงใหญ่ว่า “ข้างวัดฮู่กั๋วมีโรงน้ำชาชื่อว่าซุ่นเต๋อจวง ที่นั่นมีคณะอุปรากรที่เชี่ยวชาญในการขับร้องสำเนียงอวี๋หัง ท่านจะลองไปฟังหน่อยหรือไม่” 

 

 

นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้านั่งอยู่นี่ก็พอ” 

 

 

เมื่อพูดจบ ก็มีเสียงหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก “ใช่ครอบครัวจากจวนสกุลหลัวเมืองอวี๋หังหรือไม่ ฮูหยินของเราคือภรรยาของใต้เท้าเจียงจวนไท่หยวนเจ้าค่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที 

 

 

ตอนที่ได้ยินมาว่าจะมาที่วัดฮู่กั๋วก็รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ พอมาตอนนี้จึงพึ่งกระจ่าง! 

 

 

อู่เหนียงและสือเหนียงที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ทั้งคู่นั่งอยู่คนละทิศคนละทาง ต่างก็กำลังสนใจแต่เรื่องของตัวเอง ไม่ได้แปลกใจกับการปรากฏตัวของฮูหยินเจียงเลยแม้แต่น้อย  

 

 

นางได้ยินเสียงคุณชายเฉียนอุทานขึ้นว่า “หืม?” พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “หรือจะเป็นใต้เท้าสกุลเจียงที่เมืองเล่ออาน?” 

 

 

“ใช่แล้ว” นายหญิงใหญ่ตอบกลับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “หากเป็นเช่นนี้ ข้าและเจิ้นซิ่งก็ขอตัวก่อน” เมื่อพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น 

 

 

อู่เหนียงเห็นว่าสืออีเหนียงกำลังเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกห้อง นางจึงยิ้มแล้ววิ่งมาหาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น้องหญิงสิบเอ็ด เจ้ากำลังฟังอะไรอยู่” น้ำเสียงดูสนิทสนมกว่าที่ผ่านมา 

 

 

สืออีเหนียงรู้ว่าอู่เหนียงทำไปเพราะจะดึงนางไปเป็นพวกเพื่อแยกตัวจากสือเหนียง นางรู้สึกว่าไร้สาระเป็นอย่างมาก จึงยิ้มให้กับสือเหนียง และตอบกลับคำถามของอู่เหนียงไปว่า “ดูเหมือนว่าท่านแม่จะเจอคนรู้จักเข้า” 

 

 

อู่เหนียงเดินเข้าไปใกล้จึงได้ยินด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดมาเช่นนี้ จึงได้เงี่ยหูฟังเสียงด้านนอกอย่างตั้งใจ  

 

 

เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงที่เป็นมิตรของหญิงนางหนึ่ง “นายหญิงใหญ่สกุลหลัว เป็นวาสนาโดยแท้ ข้าพึ่งกลับจากเมืองเยี่ยนจิง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเจอท่านที่นี่ ถึงแม้ว่าข้ากับท่านจะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ข้ากับหยวนเหนียงสนิทกันเสมือนพี่น้อง จึงได้ตั้งใจมากล่าวทักทายท่านโดยเฉพาะ หากไม่เหมาะควรประการใด ข้าก็ขออภัยที่ล่วงเกิน” น้ำเสียงและคำพูดคำจาสุภาพอ่อนน้อมน่าฟัง ไพเราะเป็นอย่างมาก  

 

 

“เจียงฮูหยิน เกรงใจไปแล้ว” นายหญิงใหญ่และเจียงฮูหยินกล่าวทักทายกันแล้ว จึงได้เชื้อเชิญไปนั่งคุยกันต่อ 

 

 

เจียงฮูหยินอุทานขึ้นว่า “เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นคุณหนูจวนท่านเลย ได้ยินหยวนเหนียงเล่าว่า แต่ละคนงดงามดุจเทพธิดาเชียว!” 

 

 

“หยวนเหนียงก็แค่ยกยอปอปั้นน้องสาวตัวเองก็เท่านั้น!” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างถ่อมตน จากนั้นก็ได้ให้ป้าสวี่ไปเรียกคุณหนูทั้งสามออกมา  

 

 

เจียงฮูหยินอายุราวสามสิบกว่าๆ โครงคิ้วเรียวยาว งดงามอย่างยิ่ง แต่มีดวงตาที่คมกริบ ขณะที่สายตาของนางทอดมองมายังสืออีเหนียงนั้น ราวกับกำลังถูกสายตานั้นกรีดแทงก็ไม่ปาน จึงรู้สึกค่อนข้างอึดอัดไม่สบายใจ  

 

 

“งดงามดุจเทพธิดาสมคำร่ำลือโดยแท้” เจียงฮูหยินจ้องมองไปยังคุณหนูทั้งสามที่กำลังย่อตัวทำความเคารพ กล่าวคำชื่นชมไม่ขาดสาย จากนั้นจึงได้มอบลูกปัดไม้จันทน์คนละหนึ่งเส้นและปิ่นมุกคนละเล่มให้กับคุณหนูทั้งสามคน  

 

 

นายหญิงใหญ่จึงรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก 

 

 

เจียงฮูหยินได้ถามสามพี่น้องว่าอายุเท่าไหร่กันแล้ว ฝีมือการเย็บปักถักร้อยเป็นอย่างไรบ้าง รู้หนังสือหรือไม่ 

 

 

ถึงแม้ว่าจะถามทั้งสามพี่น้อง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่อู่เหนียงเสียส่วนใหญ่ 

 

 

ทั้งสามตอบกลับคำถามเจียงฮูหยินทีละคน สุดท้ายเจียงฮูหยินก็เตรียมตัวลุกขึ้นเพื่อกล่าวคำลา “…ท่านแม่ของข้าถือศีลทานเจตลอดทั้งปี เรื่องในจวนไม่ค่อยจะยุ่ง ล้วนมอบหมายให้ผู้ดูแลและคนติดตามคนสนิททำแทน ทุกอย่างจึงค่อนข้างวุ่นวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงจะต้องรีบกลับไปดูเสียหน่อย” พูดจบก็ได้ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หากน้องชายของข้าได้แต่งสะใภ้ในเร็ววันก็คงจะดี ข้าจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นทั้งสองที่เช่นนี้” 

 

 

“ท่านเป็นนายหญิงแล้ว ถึงแม้ว่าน้องชายจะแต่งสะใภ้ แต่ท่านก็ยังอยู่ตำแหน่งสูงสุดอยู่ดี” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างเกรงใจ “เกรงว่าหน้าที่นี้ ท่านคงจะยังวางไม่ได้หรอก” 

 

 

เจียงฮูหยินหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถึงเวลาก็เพียงแค่ต้องเสียเงินเพิ่มสักหน่อย ส่วนเรื่องดูแล ข้าจะไปดูแลไหวได้อย่างไรกันเล่า” 

 

 

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ หัวเราะถูกอกถูกใจ นายหญิงใหญ่ออกไปส่งเจียงฮูหยินที่หน้าประตูด้วยตัวเอง จากนั้นก็ได้สั่งขึ้นว่า “เราจะไปทานมื้อค่ำที่เรือนของนายหญิงสามกัน” 

 

 

ช่างน่าสนใจจริงเชียว! 

 

 

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำในใจ ดูจากสีหน้าท่าทีของเจียงฮูหยินในวันนี้ นางน่าจะค่อนข้างพึงพอใจอู่เหนียงที่โตกว่า ก็ถือว่าตัวเองรอดพ้นแล้ว คุณชายหวังก็อายุไม่น้อยแล้ว คงเพราะที่บ้านคอยเฝ้ารอและเร่งให้รีบแต่งงานจะได้มีลูกมีหลานให้กับจวนสกุลหวัง 

 

 

***** 

 

 

ระหว่างทาง คุณชายเฉียนได้ถามหลัวเจิ้นซิ่งว่า “ตระกูลของเจ้ารู้จักกับทางสกุลเจียงเมืองเล่ออานได้อย่างไรกัน” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมา “ตระกูลข้าไม่สนิทหรอก รู้สึกว่าจะสนิทกับพี่หญิงใหญ่ของข้า” 

 

 

คุณชายเฉียนพยักหน้าเบาๆ แววตาของเขาฉายแววอิจฉาขึ้นมา “เป็นเหมือนเช่นพวกท่านดีจริงเชียว เดินทางไปถึงไหนต่อไหนก็มีญาติสนิทมิตรสหายเสียทุกที่” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งหัวเราะขึ้นเบาๆ  

 

 

คุณชายเฉียนพูดต่อว่า “จะว่าไปแล้ว ท่านลุงและท่านอาอีกสองท่านกำลังรอเรียกตัวอยู่ใช่หรือไม่ ท่านกั๋วจิ้วไม่ได้สนใจหรือ” แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงค่อยได้สติขึ้นมา ท่านกั๋วจิ้วที่คุณชายเฉียนพูดถึงก็คือพี่เขยของเขา สวีลิ่งอี๋จวนหย่งผิงโหว 

 

 

เขามองไปยังคุณชายเฉียนที่ดูเหมือนว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว จึงยิ้มขึ้นบางเบา “พี่เขยของข้าบอกให้ท่านพ่อข้าอย่าได้รีบร้อน” 

 

 

คุณชายเฉียนได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ อย่างครุ่นคิด และได้ถามหลัวเจิ้นซิ่งต่ออีกว่า “เจ้าไปที่จวนท่านโหวบ่อยหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่นิสัยใจคออ่อนโยนมาก เป็นเรื่องจริงหรือไม่” 

 

 

“ข้าไม่ได้ไปบ่อย!” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไรนัก…” 

 

 

แววตาของคุณชายเฉียนดูผิดหวังเล็กน้อย  

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งดูสีหน้าของเขาออก จึงได้พูดขึ้นว่า “แต่ว่าเขาดีกับข้าไม่น้อย ได้ยินท่านผู้อาวุโสบอกว่าพี่เขยข้าเคยเข้าไปหาท่านผู้อาวุโสโดยเฉพาะ เพื่อถามระดับความรู้ของข้า ยังไหว้วานให้ท่านผู้อาวุโสดูแลข้าให้ดีๆ ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ก่อนหน้าวันที่ข้าจะได้ยินเรื่องนี้จากท่านผู้อาวุโส พี่เขยยังเชิญข้าไปที่หอชุนซีโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะถามเรื่องความรู้ของข้าด้วย แต่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่เคยไปหาท่านผู้อาวุโสเลย คิดว่าคงจะเพราะกลัวข้าจะได้ใจ พลอยจะทำให้การเรียนของข้าล่าช้า” 

 

 

คุณชายเฉียนได้ยินแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่เขยของเจ้าก็ชอบไปดื่มสุราที่หอชุนซีหรอกหรือ ข้าเองก็ชอบไปมาก เขาชอบทานอะไรเป็นพิเศษงั้นหรือ ปลาตะลุมพุก ปลาปักเป้า พืชน้ำแปดเซียน หรือเนื้อกวาง?” 

 

 

ปลาตะลุมพุก ปลาปักเป้า มีขายตามตลาดในช่วงเดือนห้า พืชแปดเซียนมีในช่วงในฤดูร้อน ส่วนเนื้อกวางหาได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว… 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งบางทีก็รู้สึกนับถือคุณชายเฉียนไม่น้อย  

 

 

หนังสือตำราก็เรียนได้ดี หาลู่ทางผลประโยชน์ก็เก่ง…บางครั้ง ก็รู้จักคบค้าสมาคม  

 

 

“สิ่งที่เจ้าพูดมา ที่จวนของเขามีหมด แล้วทำไมถึงต้องดันทุรังไปถึงหอชุนซีด้วยเล่า” หลัวเจิ้นซิ่งสังเกตสีหน้าของคุณชายเฉียนอย่างละเอียดถี่ถ้วน  

 

 

คุณชายเฉียนยิ้มขึ้น แต่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก “ก็จริง เขาเป็นถึงท่านกั๋วจิ้ว หย่งผิงโหว หอชุนซีจะดีแค่ไหน ก็มิอาจเทียบเทียมงานเลี้ยงฉลองของฮ่องเต้ได้หรอก ไม่มีอะไรน่าแปลก”  

 

 

นี่เป็นครั้งที่สองที่พูดถึงหย่งผิงโหวที่เป็นท่านกั๋วจิ้ว 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งตัดสินใจอะไรบางอย่างในใจ 

 

 

เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่เขยชอบกินอะไรข้าไม่รู้ แต่ทว่า อาสะใภ้สามของข้าชอบกินหมูหันเป็นที่สุด…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ได้อุทานขึ้นว่า “เอ๊ะ! ข้าลืมไปได้อย่างไรกัน ควรจะไปสั่งที่หอชุนซีมาสักตัว ให้อาสะใภ้ของข้าดีใจเสียหน่อย”  

 

 

คุณชายเฉียนจึงรีบพูดขึ้นว่า “อาสะใภ้สามที่เจ้าว่า หมายถึงบุตรสาวของหลิวเก๋อเหล่าหรือ” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้าเบาๆ “หลิวเก๋อเหล่าได้ลาออกจากข้าราชการและกลับได้ไปยังบ้านเกิดแล้ว” 

 

 

คุณชายเฉียนกลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ข้ากลับได้ยินมาว่าการเก็บภาษีชาของหลิวเก๋อเหล่าไม่ได้ราบรื่นนัก!” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้ไปเยี่ยมเยียนญาติ เราไม่คุยเรื่องพวกนี้กัน!” 

 

 

คุณชายเฉียนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็จริง” แล้วพูดต่อว่า “เช่นนี้ ข้าก็ไม่ควรไปทานข้าวที่เรือนคนอื่นมือเปล่าน่ะสิ ข้าจะรีบควบม้าเร็ว ไปสั่งหมูหันที่หอชุนซีสักตัวส่งไปที่เรือนของท่านอาสามตอนนี้เลย”  

 

 

ใต้เท้าหลัวกลายเป็น ‘ท่านอาสาม’ ในทันที 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้อง ไม่ต้อง จะให้เจ้ามาสิ้นเปลืองเงินทองได้อย่างไรกัน” 

 

 

“หากเจ้าพูดต่อเราก็ไม่ใช่พี่น้องไม่ใช่สหายกันแล้วนะ” คุณชายเฉียนพูดขึ้นอย่างองอาจ ไม่รอให้หลัวเจิ้นซิ่งได้ตอบอะไร เขาก็ควบม้าออกไปทันที  

 

 

***** 

 

 

คุณชายเฉียนรีบจัดการเรื่องหมูหันเสร็จสิ้นก่อนที่คนสกุลหลัวจะเดินทางไปถึงตรอกเฉียนถัง และได้พาคนของหอชุนซีมาด้วยสองคนยืนรออยู่หน้าประตูหลัวหวาอี้ 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าป้ายหยกเจริญก้าวหน้าสีขนแกะที่คุณชายเฉียนมักแขวนอยู่ข้างเอวเป็นประจำไม่อยู่แล้ว 

 

 

เขาจึงแอบพยักหน้าโขกกับประตูเรือนของท่านอาสามเบาๆ อย่างเหลืออด 

 

 

เมื่อนายหญิงสามเห็นพวกเขาแล้ว ก็ได้รีบมองมาอย่างดีใจ พร้อมกับเรียกนายท่านสามให้ออกมาต้อนรับแขกทันที และเตรียมตัวจะเข้าครัวทำอาหารมื้อค่ำมาต้อนรับด้วยตัวเอง 

 

 

นายหญิงใหญ่จึงรีบรั้งนางไว้ “ข้างนอกมีหมูหัน ซิ่งเกอซื้อมา เจ้าทำผัดง่ายๆ มาสักสองสามอย่างก็พอ สะใภ้อย่างเราๆ มานั่งคุยกัน” 

 

 

นายหญิงสามได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ เรียกเหล่าบรรดาท่านป้าออกไปนำหมูหันเข้าไปไว้ในครัว จากนั้นก็ประคองนายหญิงใหญ่ไปยังห้องโถงหลักของเรือน 

 

 

เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นายหญิงใหญ่ก็ถามถึงเรื่องของคุณชายห้าและคุณชายหกขึ้นมา 

 

 

“ไปเข้าเรียนแล้ว” นายหญิงสามยิ้มขึ้นอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “นายท่านถูกขังอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิง แต่ก็ไม่ควรที่จะให้เรื่องนี้มากระทบและชะลอการศึกษาของลูกๆ ประจวบกับที่จวนจงซานโหวอยู่ห่างจากที่นี่เพียงหนึ่งตรอก ก็เลยพาลูกๆ ไปเข้าเรียนที่นั่น”  

 

 

นายหญิงใหญ่รู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย “เจ้าสนิทกับทางจวนจงซานโหวสกุลถังด้วยหรือ”  

 

 

  

 

 

 

 

 

[1] ผาเกา เค้กบักวีต 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท