นายหญิงใหญ่คุยกับบุตรชายไปครึ่งค่อนวัน รู้สึกเหนื่อยไม่น้อย จึงพูดขึ้นว่า “วันนี้เจ้าเองก็วิ่งวุ่นมาทั้งวัน รีบไปพักผ่อนเถิด!”
หลัวเจิ้นซิ่งจึงพึ่งจะนึกถึงความตั้งใจในตอนแรกของเขาได้
เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่าน!”
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “มีเรื่องอันใดเจ้าก็พูดมาตามตรงเถิด”
หลัวเจิ้นซิ่งจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านคิดว่าเฉียนหมิงเป็นอย่างไร”
นายหญิงใหญ่อึ้งไปชั่วขณะ
หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นว่า “ปีนี้เขาอายุยี่สิบเจ็ดปี ยังไม่ได้แต่งงาน” จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องซื้อหมูหันขึ้นมาด้วย “…ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนกระตือรือร้น วันข้างหน้าการงานหน้าที่อาจจะก้าวหน้าใหญ่โต…ท่านว่า…ข้าควรหาใครสักคนมาแนะนำเขาดีหรือไม่”
นายหญิงใหญ่ดูสนใจขึ้นมาทันที “เจ้าต้องสืบถามมาให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่ใช่ว่าที่บ้านยังซ่อนอีกคนไว้ แล้วออกไปป่าวประกาศไปทั่วว่ายังไม่ได้แต่งงาน ถึงเวลานั้น สกุลหลัวของเราจะกลายเป็นตัวตลกเอาได้!”
“ท่านวางใจเถิดขอรับ!” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปสืบเป็นอย่างดี”
นายหญิงใหญ่นึกแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่น้อย “เฉียนหมิงคนนี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว ไหวพริบความฉลาดของเขาไม่มีใครเทียบเทียม หากว่าสำเร็จลุล่วงขึ้นมาจริงๆ นี่ถือเป็นงานแต่งที่ไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใดเลย”
นางนึกถึงลุงเขยสี่ของวงศ์สกุลที่สองขึ้นมา
สกุลหลัวออกแรงออกเงิน ไม่ง่ายเลยที่จะมีบัณฑิตจวี่เหริน[1]สักคน…
หลัวเจิ้นซิ่งเห็นว่าท่านแม่ของตนรับปากแล้ว เขาจึงลุกขึ้นพร้อมกับพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “งั้นท่านพักผ่อนเถิด! หากข้าได้ข่าวที่แน่นอนแล้วข้าจะบอกท่าน”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ แล้วจึงให้ลั่วเชี่ยวออกไปส่งหลัวเจิ้นซิ่งที่หน้าประตู และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก
*****
สืออีเหนียงนอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมาไม่หยุด วันรุ่งขึ้นจึงไปส่องกระจก ใบหน้าของนางเกลี้ยงเกลาดุจไข่ต้มที่ถูกปอกเปลือก ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น
นี่ก็คือข้อดีของการที่อายุน้อยสินะ!
นางถอนหายใจเบาๆ ในใจ จากนั้นเมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ไปกล่าวทักทายนายหญิงใหญ่พร้อมอู่เหนียง และสือเหนียง
นายหญิงใหญ่ยังคงเป็นเหมือนเดิมเฉกเช่นที่ผ่านมา รอยยิ้มอบอุ่นและเป็นมิตร น้ำเสียงอ่อนโยนและใจดี พูดคุยกับพวกนางอยู่ครู่หนึ่ง ป้าสวี่ก็ได้นำบัญชีรายวันที่ต้องคำนวณและบันทึกประจำวันเข้ามา นายหญิงใหญ่จึงหันไปส่งสัญญาณให้พวกนางถอยออกไปได้
นางไม่ได้ถามเลยว่าทำไมสือเหนียงถึงมาที่นี่ได้ และไม่ถามด้วยว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ราวกับว่าเวลาไม่เคยผ่านพ้นเสียด้วยซ้ำ เดินทางถึงเมืองเยี่ยนจิง พบเจอกับหยวนเหนียง ทุกอย่างราวกับว่าเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่งก็ไม่ปาน
ไม่พูดถึงเรื่องอื่นใด เพียงแค่ระงับโทสะไว้เช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะให้ผู้อื่นนับถือแล้ว!
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างสับสน
อู่เหนียงเดินมาควงแขนของนาง พร้อมกับพูดขึ้นอย่างสนิทสนมว่า “น้องหญิงสิบเอ็ด อีกประเดี๋ยวเจ้าจะไปทำอะไร ไปเล่นหมากล้อมกับพวกข้าดีหรือไม่ ข้าต่อให้เจ้าสิบเม็ดเป็นอย่างไร”
“อีกเดี๋ยวข้าต้องเย็บปักถักร้อย” นางหันไปยิ้มให้กับอู่เหนียง “พี่หญิงห้าเล่นหมากล้อมกับพี่หญิงสิบดีหรือไม่ ข้าเองก็จะนั่งเย็บผ้าอยู่ข้างๆ”
อู่เหนียงหันไปยิ้มให้กับสือเหนียงอย่างเป็นมิตร “ได้สิ!”
สือเหนียงเชิดหน้าให้กับอู่เหนียง หมุนตัวกลับเรือนไปอย่างไม่สนใจ
อู่เหนียงบ่นพึมพำอยู่ด้านหลังว่า “เฮ้อ ไม่รู้ว่าไป่จือกับจิ่วหงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว วันห้าค่ำที่เรือนซื้อตัวไป่จือมา ข้าถูกใจแล้วแท้ๆ นายหญิงใหญ่กลับรับปากว่าจะปล่อยให้นางกลับไปตอนฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้…”
สืออีเหนียงเห็นสือเหนียงชะงักฝีเท้าไป จากนั้นก็ยืดตัวตรงแล้วเดินเข้าไปในเรือนด้านข้าง
“น้องหญิงสิบเอ็ด ความคิดเห็นของเจ้าดูท่าจะล้มเหลวแล้ว” อู่เหนียงเห็นนางยิ้มขึ้นบางเบา จึงได้พูดกับสืออีเหนียงว่า “ข้ากระตือรือร้นเข้าหาคนเย็นชา น่าขายหน้าจริงเสียนี่กระไร ข้ากลับเรือนก่อนแล้ว” พูดจบก็พาจื่อเวยและจื่อย่วนกลับไปยังที่พักของตน
“ใช่ว่าคุณหนูของบ่าวเป็นคนบอกให้คุณหนูสิบปฏิเสธเสียหน่อย” ปินจวี๋ที่กำลังออกมารับสืออีเหนียง อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา จึงถูกตงชิงส่งสายตาว่ากล่าว
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับเดินกลับไปยังที่พักของตน จากนั้นก็นำเข็มและเส้นด้ายออกมา นั่งลงบนเตียงเตาติดกับขอบหน้าต่างปักเย็บชุดปีใหม่ให้กับซิวเกอ
เมื่อถึงยามเที่ยง ก็ได้ให้หู่พั่วไปดูว่าทางฝั่งนายหญิงใหญ่มีอะไรเคลื่อนไหวหรือเปล่า
หู่พั่วกลับมารายงานว่า “…นายหญิงใหญ่กับคุณนายใหญ่และป้าสวี่ทำบัญชีทั้งวันเจ้าค่ะ”
“ตอนพลบค่ำไปดูอีกรอบ” สืออีเหนียงชะงักไป แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ดูว่ามีใครมาเยี่ยมเยียนท่านแม่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เมื่อถึงยามพลบค่ำ หู่พั่วจึงได้ไปดูอีกรอบ “…ป้าเถารับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่มากล่าวทักทายนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
เจียงฮูหยินไม่ได้มา…สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกพึงพอใจแค่ไหน…แต่ก็ต้องหยิ่งเพื่อหยั่งเชิงสักหน่อยสินะ!
เมื่อถึงยามค่ำ นางและอู่เหนียง พร้อมด้วยสือเหนียง ได้ไปกล่าวทักทายนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่กำลังพูดคุยกับคุณนายใหญ่ “…จวนฝ่ายหญิงจะร่ำรวยแค่ไหนก็เป็นแค่จวนแม่ สามีสูงศักดิ์ร่ำรวย ภรรยาก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย จะก้าวพลาดไม่ได้เป็นอันขาด” เมื่อเห็นทั้งสามเดินเข้ามา นายหญิงใหญ่จึงหยุดคำพูดลง
กำลังพูดถึงใครอยู่
สืออีเหนียงงุนงงสงสัย แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เดินเข้าไปกล่าวทักทายกับนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่คุยกับพวกนางด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ยังได้ให้พวกนางอยู่ทานมื้อค่ำอีกด้วย
นี่ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก เมื่อกลับถึงเรือนแล้วก็ได้ให้หู่พั่วไปสืบต่อ “ป้าเถามาพูดเรื่องอันใด”
หู่พั่วแสร้งนำผ้าปักลวดลายประณีตไปให้กับซานหู เมื่อไปถึงที่เรือนนายหญิงใหญ่แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็ได้รีบกลับมารายงานกับนาง
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” ท่าทางของนางดูตื่นตูมเป็นอย่างมาก รีบจูงมือของสืออีเหนียงไปยังเรือนหน่วนเก๋อ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ซานหูบอกว่า ท่านโหวจะสู่ขออนุแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงหัวใจของสืออีเหนียงหล่นดัง ตุ้บ! “พูดให้ละเอียดหน่อย!”
นางกุมมือของหู่พั่วไว้แน่น
หู่พั่วพยายามสงบลมหายใจลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “คืนพรุ่งนี้ท่านโหวจะพาคุณหนูหกสกุลเฉียวเข้าจวน บ้านสกุลสวีได้จัดเลี้ยงอาหารหลายโต๊ะใหญ่ ยังเชิญนายท่านและคุณนายใหญ่ของเราด้วย นายหญิงใหญ่ได้ให้คุณนายใหญ่นำชุดเครื่องประดับผมไปเป็นของขวัญร่วมแสดงความยินดีเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝัง…
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ ในหัวของสืออีเหนียงก็ปรากฏภาพนางขึ้นมา นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เงียบสงบ ใบหน้าที่งดงามอ่อนโยน ขาวสะอาดหมดจดดุจกลีบดอกบัว
หญิงสาวเช่นนี้ จะต้องแต่งงานเข้าไปเป็นอนุของผู้อื่นงั้นหรือ…
คุกเข่ายกน้ำชาให้กับภรรยาเอกแทนงานแต่งที่รื่นเริง สวมชุดเป้ยจื่อสีชมพูแทนชุดแต่งงานและคำอวยพร ก้มหน้าต่ำถ่อมตนและเจียมตัวแทนการเชิดหน้าชูตาอย่างภาคภูมิ…
ในใจของนางท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานามากมาย
นี่คงเป็นสิ่งที่หยวนเหนียงต้องการสินะ!
จุดจบของคนที่โลภในตำแหน่งของนาง
สืออีเหนียงครุ่นคิดต่ออยู่ในใจ นางคงมีความรู้สึกนึกคิดที่ว่า…เพราะมีแค่ทางเลือกนี้ทางเดียวเท่านั้นสินะ แผนการของหยวนเหนียงจึงสามารถสำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ได้
ภรรยาคนต่อมามีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ส่วนอนุมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง คนที่มีชาติกำเนิดสูงส่งถูกคนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเห็นฉากที่ตกต่ำย่ำแย่ที่สุดในชีวิต
เมล็ดแห่งความกังวลถูกหว่านลงในใจของนาง
หญิงที่แตกต่างจากตนอย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะดูถูกในตัวเองหรือ หรือว่านางตั้งใจจะนำเรื่องนี้มาเป็นจุดอ่อนเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ
ใครจะยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวกัน
การต่อต้านจึงเป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีตระกูลของนางที่คอยสนับสนุนเป็นที่พึ่งพิง
หากสามารถครองตำแหน่งนั้นได้ ทางตระกูลก็คงจะรอดูวันที่จะสำเร็จอยู่
แล้วคนที่มีภูมิหลังที่ต่ำต้อยเล่า
นอกจากตำแหน่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาคอยสนับสนุนอีกเลย
ไม่ว่าจะเพื่อความอยู่รอดหรือเพื่อศักดิ์ศรี นางจึงจำเป็นต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสิ่งที่ตนมี ใครกล้าที่จะท้าทาย ก็จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีเชือดไก่ให้ลิงดู จึงจะสามารถข่มขู่ผู้คนรอบด้านได้…
คนสองคนนี้ ใส่ไว้ในกรงเดียวกัน ก็มีแต่จะต่อสู้กัน ไม่เพียงแค่ต่อสู้เท่านั้น แต่ยังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย…จนบ้านเรือนไม่เป็นอันสงบสุข เพื่อให้ไท่ฮูหยินรู้สึกผิดหวัง เพื่อให้ท่านโหวรู้สึกเอือมระอา…เมื่อเป็นเช่นนี้ จุนเกอก็จะยิ่งปลอดภัย
เมื่อไม่มีศัตรู ก็สร้างศัตรูขึ้นมาใหม่ ให้พวกนางขัดแย้งและยับยั้งกันเอง…นี่ถึงจะเป็นกลยุทธ์ที่เฉียบแหลมที่สุด!
เมื่อครุ่นคิดจนจบ สืออีเหนียงจึงได้ถอนลมหายใจออกมา
ใช้ชีวิตท่ามกลางความเป็นกังวลใจเยี่ยงนี้นานไป นางรู้สึกกลัวจริงๆ ว่าจู่ๆ วันหนึ่งนายหญิงใหญ่จะไม่ชอบใจขึ้นมา ก็จับนางมาเป็นที่ระบายอารมณ์ บังคับแต่งงานออกไปอย่างง่ายๆ
เป็นเช่นนี้ก็ดี!
อย่างน้อย…ข้างหน้ายังมีหนทางให้เห็นชัดเจน อย่างน้อย…ก็ยังมีโอกาสได้ระมัดระวังตัว สวีลิ่งอี๋ก็เป็นคนที่มีความคิดอ่านธรรมดาแต่ไร้ซึ่งข้อบกพร่อง อย่างน้อย…สวีลิ่งอี๋ที่ดูแล้วเป็นคนสุขุมเย็นชาไม่น่าคบหา แต่ระหว่างที่หยวนเหนียงใช้แผนการนี้ เขากลับไม่เคยชักสีหน้าหรือพูดจาหยาบคายเลย อย่างน้อย…สวีลิ่งอี๋ที่เป็นคนหยิ่งผยองและยโสโอหัง ปกติแล้วคนแบบนี้ มักจะไม่ค่อยถือเรื่องบุญเรื่องคุณ แต่ระหว่างความเป็นความตายเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ละเลยปล่อยทิ้งภรรยาและบุตรชายของตน…
นางนึกถึงสายตาของเจียงฮูหยินที่ราวกับแสงไฟก็ไม่ปาน
แต่ก็คงจะยังดีกว่าถูกนายหญิงใหญ่พาไปให้ใครก็ไม่รู้มาจับจ้องมองเลือกด้วยสายตาที่พิจารณาและติติงเหล่านั้น
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วกระมัง
มากเกินไป นางเองก็ขอไม่ไหว และก็คงจะไม่มีใครให้!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะนึกขำตัวเอง กลางดึกกลับหลับสนิท ไม่แม้แต่จะพลิกตัวเลย
*****
เมื่อไปกล่าวทักทายนายหญิงใหญ่ในวันถัดมา
สีหน้าของนายหญิงใหญ่แดงระเรื่อดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ดูออกชัดเจนว่ากำลังอารมณ์ดี แถมยังคุยกับพวกนางด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “…เวลานี้หน่อไม้ของต้นฤดูใบไม้ผลิคงจะเริ่มขายทั่วไปแล้วสินะ! ประเดี๋ยวให้ป้าสวี่ไปซื้อกลับมา ค่ำนี้เราทานหน่อไม้ผัดผักดองกัน”
“สลัดต้นจีนคงจะเริ่มขายตามท้องตลาดแล้ว!” เหมือนดังเช่นเคย สืออีเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ นางนั่งฟังอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร สือเหนียงสีหน้าเรียบเฉย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีเพียงอู่เหนียงที่ตอบกลับนายหญิงใหญ่ “ข้าจำได้ว่าท่านชอบทานใบสลัดต้นจีนผัดไข่ที่สุด จะให้ห้องครัวผัดมาให้ท่านสักจานหรือไม่เจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ “ข้าล่ะไม่ชินกับกลิ่นของผักเซียงชุนเสียจริง แต่สืออีเหนียงทานได้อย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้”
ได้ยินนายหญิงใหญ่เรียกชื่อของตัวเอง สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับขยับแขนเสื้อเบาๆ
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “นายหญิงใหญ่ หวังฮูหยินมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
“หวังฮูหยิน?” นายหญิงใหญ่ถามขึ้นด้วยความฉงนใจ “หวังฮูหยินคนไหน”
“บอกว่าเป็นฮูหยินของใต้เท้าหวัง คนของฝ่ายปกครองมณฑลฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ…” เสียงของสาวใช้แผ่วเบาลงไปมาก
นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด!”
อู่เหนียง สือเหนียงและสืออีเหนียงก็กำลังเตรียมตัวไปยังหอนอนของนายหญิงใหญ่
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงของหวังฮูหยินดังขึ้น “นายหญิงใหญ่ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะสนิทสนมกับทางเจียงฮูหยินด้วย ครั้งนี้ เจียงฮูหยินไหว้วานให้ข้ามา…”
นางไม่ทันจะได้พูดจบ ก็ถูกนายหญิงใหญ่ตัดบทสนทนาไปก่อน “ท่านเป็นแขกหายาก ตอนที่ท่านมาคราวที่แล้วข้าเองก็ไม่ได้อยู่ต้อนรับ ยังนึกว่าท่านตามใต้เท้าหวังไปที่มณฑลฝูเจี้ยนเสียแล้ว จึงไม่ได้ให้คนเข้าไปกล่าวทักทายท่าน หวังว่าหวังฮูหยินจะไม่ถือโทษโกรธกัน”
คำพูดที่ว่า ‘เจียงฮูหยินไหว้วานให้ข้ามา’ ของหวังฮูหยินได้ดึงดูดความสนใจของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก
หรือว่า หวังฮูหยินอาจจะเป็นคนที่เจียงฮูหยินไหว้วานให้มาเป็นแม่สื่อ?
อย่างไรก็ตาม นี่ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน
ทั้งสองสกุลล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงของเมืองเยี่ยนจิงทั้งคู่ การทับถมถือเป็นเรื่องธรรมดา
นางกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ก็ได้ยินเสียงของนายหญิงใหญ่พูดขึ้นว่า “เราไปนั่งคุยกันที่เตียงเตาทางด้านทิศตะวันออกกันเถิด…ตรงนี้ค่อนข้างเสียงดังวุ่นวายไปเสียหน่อย”
เห็นได้ชัดว่ากำลังหลีกเลี่ยงพวกนาง
สืออีเหนียงหันไปสังเกตอู่เหนียงและสือเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง
สีหน้าและแววตาของทั้งสองสงบเรียบเฉย คนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างบานหน้าต่าง ส่วนอีกคนอยู่ที่มุมกำแพงห้อง ยืนลูบใบของต้นตงชิงที่วางประดับอยู่ตรงนั้น
การถูกผู้อื่นคิดร้ายมันไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการที่ถูกผู้อื่นคิดร้าย แต่กลับไม่รู้ตัวต่างหาก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ สืออีเหนียงรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัว
จะว่าไปแล้ว อู่เหนียงเองได้ปล่อยวางศักดิ์ศรีและความเคารพในตนเองไปแล้ว เมื่อสบโอกาสก็มักจะเหยียบย่ำคนอื่นเสมอ เป็นคนที่มีอุบายชั้นเชิงไม่น้อย แต่ถึงกระนั้น เมื่อความลับถูกเปิดเผย ถึงแม้ว่าจะมีกลอุบายมากมายแค่ไหน เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้มันแล้ว
หวังฮูหยินไม่ได้อยู่นาน หลังจากที่ส่งนางกลับไปแล้ว ใบหน้าของนายหญิงใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างไม่อาจปกปิดได้ สืออีเหนียงกลับมองเห็นความสับสนในแววตาของอู่เหนียง
เข้าสู่ยามบ่าย ก็มีฮูหยินท่านหนึ่งของจงหวงเหรินจากกรมอาญาอะไรนั่นมาเยี่ยมเยียนนายหญิงใหญ่
เวลานั้นพวกนางล้วนกำลังอยู่ในห้องของตนเอง ซานหูเข้ามารายงานกับสืออีเหนียงว่า “เห็นว่ามาช่วยสู่ขอให้คุณชายเฉียนเจ้าค่ะ” พูดจบก็จ้องมองไปยังสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ลุ่มลึก
คงอยากจะให้ตนไปยื้อแย่ง…
สืออีเหนียงครุ่นคิด อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นเจื่อนๆ
หากว่าตอนนั้นตัวเองไม่ได้อยู่ดูละครอยู่ที่เรือนด้านข้าง ไม่แน่บางทีอาจจะมีโอกาสก็ได้ แต่ตอนนี้ เมื่อได้เข้าใจถึงแผนการของหยวนเหนียงแล้ว สืออีเหนียงจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีโอกาสอีกแล้ว
[1] บัณฑิตจวี่เหริน บัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบระดับมณฑล