ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 66 ร่วงโรย (ปลาย)

ตอนที่ 66 ร่วงโรย (ปลาย)

เมื่อนายหญิงใหญ่ร้องไห้ออกมาเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่เห็นว่าหยวนเหนียงอายุยังน้อยแท้ๆ วัยที่กำลังรุ่งเรืองดั่งดวงอาทิตย์เที่ยงวันก็ไม่ปาน แต่กลับกำลังจะสลายหายไปง่ายๆ เช่นนี้ ไม่อาจหลีกเลี่ยงสัจธรรมที่ว่าโลกนี้ไม่เที่ยง จึงพากันร้องไห้ตาม 

 

 

อาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์แห่งมารดาและบุตร จุนเกอรับรู้ได้ถึงความกลัว จึงตกใจจนร้องไห้ออกมา 

 

 

แม่นมรีบเข้ามาปลอบใจ หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ได้เข้ามาช่วยเช็ดน้ำตาให้จุนเกอ 

 

 

จุนเกอจึงตีมือของหญิงวัยกลางคนผู้นั้น แล้วทิ้งตัวซบลงในอ้อมกอดของมารดา 

 

 

หญิงวัยกลางคนผู้นั้นทำตัวไม่ถูก จึงค่อยๆ ถอยออกไปยืนอยู่ตรงมุมห้อง 

 

 

แม่นมจึงพูดขึ้นว่า “จุนเกอ ฉินอี๋เหนียงจะช่วยเช็ดหน้าน่ะเจ้าค่ะ!” 

 

 

เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินแล้ว ก็ได้รีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองไปยังหญิงวัยกลางคนผู้นั้น 

 

 

ก็เห็นว่าหญิงวัยกลางคนผู้นั้นอายุราวๆ สามสิบปีเห็นจะได้ รูปร่างกลางๆ สวมชุดเป้ยจื่อสีม่วงอ่อน ใบหน้างดงาม ดวงตาราวกับผลท้อ ขาวสะอาดหมดจด มองดูแล้วพลอยทำให้ผู้พบเห็นสบายตายิ่งนัก 

 

 

เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ขาวซีดของบุตรี แล้วหันกลับไปมองอนุผู้นี้ที่คลอดบุตรชายคนโตแล้ว แต่ยังคงอวบอิ่มและกลมดุจเม็ดไข่มุก แวววาวดุจหยกงาม นายหญิงใหญ่จึงรู้สึกยิ่งโศกเศร้าเข้าไปใหญ่ ร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม 

 

 

จุนเกอตกใจกลัวรีบมุดเข้าไปในอ้อมกอดของมารดาแล้วแอบมองท่านยายของตน 

 

 

หยวนเหนียงได้ยินแล้ว น้ำตาก็เอ่อไหลร่วงหล่นลงบนหมอนอย่างเงียบเชียบ 

 

 

“นายหญิงใหญ่สกุลหลัวอย่าร้องไห้เลย!” น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นปลอบใจ “ฮูหยินสี่เป็นคนเข้มแข็งมาโดยตลอด หลายปีมานี้ ไม่ว่าพบเจอเรื่องราวอันตรายและเลวร้ายแค่ไหนมา ก็ยังยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ได้ เชื่อว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ฮูหยินสี่จะยังคงสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี เปลี่ยนภัยร้ายให้กลายเป็นมงคลได้” 

 

 

นายหญิงใหญ่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา เป็นขันทีเน่ยซื่อผู้นั้น 

 

 

ขันทีเน่ยซื่อยิ้มให้กับนายหญิงใหญ่ แล้วจึงปลอบใจนายหญิงใหญ่อีกว่า “ท่านร้องไห้อย่างนี้ ทำจุนเกอตกใจขวัญเสียหมดแล้ว ไม่ห่วงผู้ใหญ่ก็ต้องห่วงเด็กเสียบ้างจึงจะถูก” เมื่อได้ยินแล้วนายหญิงใหญ่ก็ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา ใช้มือปิดปากพยายามกลั้นร้องไห้ 

 

 

ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบเช็ดน้ำตา “เหลยกงกงพูดถูก” 

 

 

เมื่อคนด้านนอกได้ยินแล้วก็พากันเงียบเสียงร้องไห้ลง 

 

 

ขันทีเน่ยซื่อผู้ถูกเรียกนามว่าเหลยกงกงก็ถือโอกาสลากลับ “…สายมากแล้ว ข้าน้อยต้องรีบกลับไปกราบทูลฮองเฮา” 

 

 

ไท่ฮูหยินออกไปส่งเหลยกงกงด้วยตัวเอง เมื่อถึงหน้าประตู เหลยกงกงก็ได้ชะงักฝีเท้าลง “จะกล้ารบกวนท่านออกไปส่งได้อย่างไรเล่า!” เขายืนกรานที่จะไม่ให้ไท่ฮูหยินออกไปส่ง 

 

 

ฮูหยินห้าจึงอาสาออกไปส่งแขกแทนไท่ฮูหยินเอง 

 

 

“ก็ดี” เหลยกงกงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยไม่ได้เจอตานหยางเสี่ยนจู่มานานแล้ว” 

 

 

ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วจึงได้พูดคุยกับเหลยกงกงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงให้ฮูหยินห้าพาตนออกไปส่งแขกด้วย 

 

 

เมื่อเหลยกงกงเดินไปไกลแล้ว ทุกคนจึงได้พากันประคองไท่ฮูหยินกลับเข้าไปในห้อง 

 

 

เพิ่งเดินเข้าประตูไป ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินสองมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

คนจึงหันกลับไปมอง ก็เห็นฮูหยินสองที่สวมชุดผ้าย้อมเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ 

 

 

“ท่านแม่ น้องสะใภ้สี่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ!” ดวงตาของนางบวมแดง เหมือนเพิ่งจะร้องไห้ไป “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ข่าวคราว…” 

 

 

ไท่ฮูหยินเช็ดน้ำตาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าไม่อยากจะทำให้เจ้าตกใจ…” 

 

 

ฮูหยินสองได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าท่านแม่เป็นห่วงกลัวว่าข้าจะโศกเศร้าเสียใจ แต่ข้าเองก็เป็นห่วงน้องสะใภ้สี่ และกลัวว่าท่านจะเสียใจมากจนเกินไป…ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

“เด็กดี” ไท่ฮูหยินกุมมือของฮูหยินสองไว้ “ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” 

 

 

ฮูหยินสองจึงประคองไท่ฮูหยินเดินเข้าไปในห้อง 

 

 

เมื่อเดินเข้าไปข้างในแล้ว ก็เห็นจุนเกอซบอยู่ในอ้อมกอดของหยวนเหนียง มือที่ผอมแห้งของหยวนเหนียงกำลังลูบหัวของจุนเกออย่างไร้เรี่ยวแรง กำลังพึมพำพูดอะไรบางอย่างกับจุนเกอ 

 

 

ทุกคนดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจตาม 

 

 

“น้องสะใภ้สี่” ฮูหยินสองเดินเข้าไปทักทายหยวนเหนียงด้วยน้ำเสียงที่สะอื้น 

 

 

“พี่สะใภ้สองมาแล้วหรือ!” ดวงตาของหยวนเหนียงขยับเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันจะถึงจุดหมาย ก็เปลี่ยนเป็นไปเงี่ยหูฟังแทน 

 

 

ฮูหยินสองน้ำตาไหลไม่หยุด 

 

 

สาวใช้ก็ได้รีบไปนำเก้าอี้มา 

 

 

ไท่ฮูหยิน นายหญิงใหญ่ ฮูหยินสอง ฮูหยินสามและคนอื่นๆ นั่งล้อมหยวนเหนียง ส่วนคนอื่นๆ ยืนล้อมอยู่วงนอก 

 

 

หยวนเหนียงพูดกับจุนเกอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ไปเถิด ไปเล่นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์…แม่จะคุยกับท่านยายและท่านย่าเสียหน่อย” 

 

 

จุนเกอเห็นว่ามารดาของตนไม่เป็นเหมือนเช่นเมื่อก่อน จึงได้ออกไปกับแม่นมอย่างเชื่อฟัง 

 

 

หยวนเหนียงจึงได้ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ด้วยความอ่อนล้า 

 

 

ไท่ฮูหยินตกใจเป็นอย่างมาก ฮูหยินรองรีบเข้าไปจับชีพจรของหยวนเหนียง 

 

 

แต่จู่ๆ หยวนเหนียงก็ลืมตาขึ้นมา “ข้ารู้สึกเหนื่อย อยากนอนพักสักประเดี๋ยว” 

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ไม่กล้าจะถามอะไรต่อ จึงพากันค่อยๆ ทยอยถอยออกจากห้องไป เหลือเพียงไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่ที่ยังอยู่ในห้อง 

 

 

ฮูหยินรองหันไปถามเหยาหวงด้วยความกังวลใจว่า “วันนี้ไท่ฮูหยินทานอะไรแล้วหรือยัง ที่บ้านมีนมแพะหรือเปล่า นำไปให้ไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่สักคนละถ้วย จะได้ผ่อนคลายลงบ้าง” 

 

 

เหยาหวงกำลังจะตอบกลับ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ท่านโหวมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

ไท่ฮูหยินจึงพูดขึ้นว่า “รีบเชิญเข้ามา” สิ้นเสียงคำพูด สวีลิ่งอี๋ที่สวมชุดขุนนางสีแดงระดับสามเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ ด้านหลังของเขามีฮูหยินสาม ฮูหยินห้าและคนอื่นๆ เดินตามเข้ามาด้วย 

 

 

สีหน้าของเขาหนักแน่น “หยวนเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง” พูดจบ ก็เดินตรงไปยังข้างเตียงของหยวนเหนียง 

 

 

เขามองปราดเดียว สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยทันที 

 

 

ในสนามรบเห็นคนตายมานับไม่ถ้วน… 

 

 

เขายืนอยู่ข้างเตียงเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีลิ่งอี๋จึงค่อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “นางมีอะไรกำชับหรือเปล่า” 

 

 

เมื่อคำพูดของเขาสิ้นสุดลง บรรยากาศในห้องก็เงียบลงในทันที 

 

 

ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “หยวนเหนียงอยากให้น้องสิบเอ็ดของตนมาช่วยนางดูแลจุนเกอต่อ” 

 

 

สวีลิ่งอี๋หันไปมองผู้คนที่อยู่เต็มห้อง สีหน้าเคร่งขรึม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว” 

 

 

นายหญิงใหญ่หันไปเห็นเฉียวอี๋เหนียงที่กำลังยืนสั่นเทา 

 

 

ในใจก็รู้สึกแอบสะใจไม่น้อย 

 

 

***** 

 

 

ค่ำคืนนั้น นายหญิงใหญ่อยู่พักค้างแรมที่จวนสกุลสวี เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ก็มีผู้ดูแลมาเคาะประตูใหญ่ของจวนสกุลหลัว 

 

 

“ฮูหยินสิ้นใจแล้ว!” 

 

 

แม้ว่าจะทำใจเตรียมไว้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อคำพูดประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหูของคุณนายใหญ่ นางก็ยังรู้สึกสับสนมึนงงไปหมดอยู่ดี 

 

 

สามีไปสอบคัดเลือกยังไม่ทันจะกลับมา หลัวเจิ้นเซิงก็ไม่เอาไหน เมื่อหันไปมองนายท่านใหญ่ที่จู่ๆ ก็ดูเหมือนแก่ชราเพิ่มขึ้นเป็นสิบปี เขานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่พูดอะไรออกมา…ไม่มีความเป็นเจ้าบ้านเลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

คุณนายใหญ่จึงได้หันไปถามผู้ดูแลว่า “ฮูหยินสิ้นใจตอนไหนหรือ จากไปอย่างสงบหรือเปล่า” 

 

 

ผู้ดูแลจึงรีบตอบกลับไปว่า “สิ้นใจตอนยามอิ๋น[1] ท่านโหว คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยสี่และคุณหนูใหญ่ก็ได้อยู่ข้างๆ ด้วย สิ้นใจอย่างสงบ” 

 

 

นายท่านใหญ่ได้ยินแล้ว น้ำตาก็คลอเบ้าขึ้นมา 

 

 

คุณนายใหญ่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ได้เรียกอู๋เซี่ยวเฉวียนพาผู้ดูแลไปทานอาหารเช้า “…ข้ากำชับเรื่องในบ้านเรียบร้อยแล้วก็จะรีบไปกับท่านทันที” 

 

 

ผู้ดูแลจึงได้เดินตามอู๋เซี่ยวเฉวียนไป 

 

 

นายท่านใหญ่จึงปิดหน้าพร้อมกับร้องไห้ออกมา 

 

 

คุณนายใหญ่ตกใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกสะใภ้ แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะที่จะพูด จึงได้ให้คนรีบไปตามอี๋เหนียงหกมา “…คุณหนูใหญ่สิ้นใจแล้ว เจ้าเป็นคนเดียวในบ้านที่สามารถดูแลท่านพ่อได้ ข้ากับคุณชายสี่และคุณหนูทั้งสามจะไปร่วมพิธีศพ” 

 

 

อี๋เหนียงหกได้ยินแล้วก็น้ำตาไหลออกมา จากนั้นก็ได้เข้าไปสัมผัสตัวนายท่านใหญ่เบาๆ “ท่านจะต้องทำใจให้ได้….นายหญิงใหญ่เองก็เศร้าโศกเสียใจมากพอแล้ว หากท่านเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน ตระกูลเราจะอยู่ต่อได้อย่างไรเล่า!” 

 

 

นางปลอบใจนายท่านใหญ่พลางประคองนายท่านใหญ่เดินกลับเข้าห้อง 

 

 

คุณนายใหญ่เองก็กลับเข้าห้องเพื่อไปเปลี่ยนเป็นชุดเป้ยจื่อสีขาวทั้งชุด จากนั้นก็ได้กำชับป้าหังให้ไปเร่งคุณหนูทั้งสาม แล้วจึงสั่งให้คนไปแจ้งข่าวมรณะกับทางฝั่งของนายท่านสองและนายท่านสาม 

 

 

อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ได้ดึงซิ่งหลินที่มาแจ้งข่าว ถามนางไปว่า “พี่หญิงใหญ่ได้สั่งเสียอะไรไว้หรือเปล่า” 

 

 

ซิ่งหลินเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร จึงตอบไม่ตรงคำถามไปว่า “ได้ยินว่าก่อนที่คุณหนูใหญ่จะสิ้นใจ ท่านโหว เหล่าคุณชายน้อยและคุณหนูต่างก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเจ้าค่ะ” 

 

 

อู่เหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง และค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลใจ 

 

 

ถ้าเกิดบ้านสกุลหลัวไม่มีคนมาแทนตำแหน่งของหยวนเหนียง เช่นนั้นอนาคตในวันข้างหน้าของคุณชายเฉียนก็จะขาดกำลังประโยชน์สำคัญไปอีกหนึ่ง… 

 

 

ส่วนสือเหนียงเมื่อได้ยินว่าหยวนเหนียงเสียชีวิต ก็ได้หัวเราะอย่างเย็นชาต่อหน้าสาวใช้ที่มาแจ้งข่าว “จากไปเร็วเสียจริง” 

 

 

สาวใช้คนนั้นก็ได้ก้มหน้าก้มตาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี 

 

 

สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ 

 

 

นึกถึงตอนที่เจอหยวนเหนียงครั้งแรก รอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนนั่น ไหนจะคำพูดหัวเราะตัวเองที่เรือนเล็ก…ทุกอย่างดูเหมือนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก แต่กลับรู้สึกแปลกหน้าเช่นนั้น… 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ น้ำตาของสืออีเหนียงก็เอ่อล้นขึ้นมา 

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตนเองถึงได้รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา นางอาจจะโศกเศร้าเสียใจแทนหยวนเหนียง หรือว่า…กำลังโศกเศร้าแทนพวกนางกันนะ! 

 

 

***** 

 

 

ขณะที่กำลังรอสืออีเหนียง อู่เหนียงและสือเหนียงออกไปพร้อมคุณนายใหญ่นั้น ป้าหังก็กำลังกลับจากการไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียนพอดี ขณะที่คุณนายใหญ่กำลังรอบ้านนายท่านสองและนายท่านสามอยู่นั้น เมื่อเห็นพวกนางมาแล้ว ก็รีบถามขึ้นว่า “ทานอาหารเช้ากันแล้วหรือยัง” 

 

 

ทุกคนต่างพากันส่ายหน้า 

 

 

คุณนายใหญ่จึงรีบสั่งให้ห้องครัวเตรียมหมั่นโถวและขนมมาจำนวนหนึ่ง “…ท่านอาสะใภ้สองกับท่านอาสะใภ้สามมาถึงเราก็จะออกเดินทางทันที ทานหมดก็ดี หากทานไม่หมดก็เอาขึ้นรถม้าไปทานระหว่างทางด้วย” 

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกว่าคุณนายใหญ่ที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ แต่การกระทำเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงรู้สึกค่อนข้างนับถือเป็นอย่างมาก 

 

 

ทุกคนทานไปครึ่งเดียว ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาเรียนว่า “นายหญิงสองและนายหญิงสามมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

นายหญิงสอง คุณนายสามและชีเหนียงเป็นตัวแทนบ้านนายท่านสอง ส่วนนายหญิงสามเป็นตัวแทนของบ้านนายท่านสาม บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้นและเสียงถอดถอนลมหายใจ ใบหน้าท่วมท้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลพราก 

 

 

นายหญิงสองก็ได้เร่งขึ้นว่า “สายมากแล้ว ทุกคนรีบไปกันเถิด! หากไปสายจะไม่เป็นการดี ผู้คนจะนินทาเอาได้” 

 

 

ทุกคนจึงพากันแยกย้ายทยอยขึ้นรถม้า เคลื่อนขบวนออกเดินทางไปยังเหอฮวาหลี่ 

 

 

ระหว่างทาง สืออีเหนียงมองผ่านหน้าที่สือเหนียงเปิดม่านขึ้น เห็นผู้คนมากมายเดินตามหลังรถม้ามา ตอนแรกรู้สึกค่อนข้างสงสัย ผ่านไปพักใหญ่จึงได้เข้าใจ 

 

 

ที่แท้แล้วคนเหล่านี้กำลังเดินทางไปยังจุดหมายทิศทางเดียวกันกับนาง… 

 

 

รถม้าวิ่งผ่านสวนไท่ฉือย่วน ล้วนเป็นสีขาวสุดลูกหูลูกตา 

 

 

เมื่อถึงจวนหย่งผิงโหว ก็เห็นบานประตูใหญ่ถูกเปิดออกทั้งหมด เพิงแสดงความกตัญญู ซุ้มประตูจีนถูกสร้างเรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ ผู้ดูแลและบ่าวรับใช้ล้วนแต่สวมชุดไว้ทุกข์ไป๋จื่อสีขาวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นซุ้มบัญชีชั่วคราวข้างๆ ที่พึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ ต่างพากันวิ่งวุ่นเข้าๆ ออกๆ ยุ่งไม่หยุด 

 

 

เมื่อเห็นรถม้าสกุลหลัว ผู้ดูแลก็ได้รีบออกมาต้อนรับทันที พร้อมกับให้สะใภ้ที่รับหน้าที่ต้อนรับแขกพาพวกนางเข้าไปในเรือน 

 

 

ยังไม่ทันจะเข้าเรือน สืออีเหนียงก็ได้ยินเสียงจุนเกอร้องไห้ 

 

 

เมื่อเข้าเรือนไปแล้ว เสียงร้องไห้ของจุนเกอก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ในเสียงร้องไห้ของจุนเกอยังมีเสียงสะอื้นของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นปนมาด้วย 

 

 

“มากันแล้วหรือ” คนที่มาต้อนรับพวกนางก็คือฮูหยินสาม 

 

 

คุณนายใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงหันไปแนะนำฮูหยินสามให้กับคนของบ้านนายท่านสองและนายท่านสาม 

 

 

ทุกคนย่อตัวทำความเคารพ ดวงตาของฮูหยินเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “รีบเข้าไปดูเถิด!” 

 

 

คุณนายใหญ่ตอบรับแล้วจึงเดินตามฮูหยินสามเข้าไปในห้อง 

 

 

หยวนเหนียงนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่น บนศีรษะประดับด้วยปิ่นบุปผาเก้ายอด สวมชุดตี๋อีสีแดงสดปักด้วยลายไก่ฟ้าหางยาว ใบหน้าสงบนิ่ง สีหน้าอ่อนโยน ราวกับว่าเพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น 

 

 

เหนือศีรษะของนางมีตะเกียงจุดอยู่ ทางปลายเท้าของนางมีหญิงวัยกลางคนผู้นั้นราวสี่ห้าคนกำลังนั่งร้องไห้อยู่รอบๆ จุนเกอ เจินเจี่ยเอ๋อร์และเด็กผู้ชายอายุราวสิบกว่าปีสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว ทั้งสามยืนอยู่ข้างเตียงของหยวนเหนียง เจินเจี่ยเอ๋อร์และเด็กผู้ชายคนนั้นก้มหน้าน้ำตาไหลเงียบๆ มีเพียงจุนเกอคนเดียวที่ร้องไห้เสียงดังลั่น 

 

 

เมื่อสืออีเหนียงเห็นแล้ว จู่ๆ ก็น้ำตาไหลออกมา 

 

 

คุณนายใหญ่และคนอื่นๆ เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ 

 

 

เวลานั้นเอง ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ 

 

 

จู่ๆ ก็มีเสียงๆ หนึ่งพูดขึ้นว่า “จุนเกอ น้าหญิงสิบเอ็ดของเจ้ามาแล้ว” 

 

 

เมื่อจุนเกอได้ยินก็ร้องไห้เสียงดังหนักกว่าเก่า เขาร้องไห้พลางสะอึกสะอื้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะเอาท่านแม่ ข้าไม่เอาน้าหญิงสิบเอ็ด” 

 

 

สายตาทุกคนก็จ้องมองไปยังสืออีเหนียงทันที 

 

 

ผู้คนต่างหันหน้ามาสบตากัน บางคนก็ครุ่นคิด บางคนก็รู้สึกตกใจ บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก 

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกตกตะลึงอย่างที่สุด เวลาเดียวกัน นางเองก็ไม่ได้เก็บซ่อนสีหน้าอารมณ์ของตัวเอง เดิมทีนางตั้งใจจะถามให้กระจ่างเพื่อให้ตัวเองหายแคลงใจ แต่กลับบ่นพึมพำขึ้นในใจว่า จุนเกอทำไมถึงพูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้นะ… 

 

 

ยังดีที่ฮูหยินสามฉลาดหัวไว เมื่อเห็นว่าบรรยากาศแปลกๆ จึงรีบเรียกเหล่าบรรดาสะใภ้ให้พาพวกนางเข้าไปหานายหญิงใหญ่ก่อน “…ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องลี่จิ่งเซวียน คิดว่านายหญิง คุณนายและคุณหนูทุกๆ ท่านคงจะคิดถึงและเป็นห่วงมากแล้ว” 

 

 

คุณนายใหญ่เองก็ได้เป็นห่วงนายหญิงใหญ่อยู่แล้ว 

 

 

จึงได้กล่าวขอบคุณ จากนั้นทุกคนก็เดินตามเหล่าบรรดาสะใภ้เข้าไปในห้องลี่จิ่งเซวียน 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]ยามอิ๋น ช่วงเวลา 03.00-05.00 นาฬิกา 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท