ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 83 ไม่หยุดหย่อน

ตอนที่ 83 ไม่หยุดหย่อน

หลังจากกำหนดวันหมั้นเพียงไม่กี่วัน สวีลิ่งอี๋ก็ได้ยกทัพกลับราชสำนัก

กองทัพใหญ่หยุดพักอยู่ที่ค่ายใหญ่ซีซาน ซึ่งมีระยะห่างจากเมืองเยี่ยนจิงราวหกสิบลี้ ยามอู่ของวันที่หกเดือนหก สวีลิ่งอี๋ได้นำพลทหารภายใต้บังคับบัญชาจำนวนสามพันนายมาจัดพิธีส่งมอบนักโทษที่ประตูพระราชวัง

ในวันนั้น คนทั้งเมืองต่างก็พากันไปดูขุนนางสวี่…

สืออีเหนียงกลับชวนหู่พั่วและตงชิงตากเสื้อผ้า ตากผ้านวม และถือโอกาสนี้เก็บข้าวเก็บของลงหีบ

จู๋เซียงก็ได้ยกน้ำถั่วเขียวเข้ามาให้นางดื่มแก้กระหาย

“พักเสียหน่อยนะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงแหงนมองแสงแดดจ้าที่ร้อนจัด จากนั้นก็รีบกวักมือเรียกหู่พั่วและตงชิง

ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยไอที่ร้อนระอุ ตักน้ำถั่วเขียวขึ้นมา จากนั้นก็ดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วจึงค่อยวางถ้วยลง

“ใส่น้ำตาลกรวดด้วยหรือ” ตงชิงถามจู๋เซียงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

จู๋เซียงพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าบอกว่าคุณหนูสิบเอ็ดเป็นคนสั่ง ในครัวก็เลยใส่น้ำตาลกรวดให้ด้วย”

ยังไม่ทันได้แต่งเข้าบ้านสกุลสวี แต่ทุกคนกลับเริ่มปฏิบัติต่อคนในเรือนของสืออีเหนียงค่อนข้างแตกต่างจากเดิมไปมาก

จู๋เซียงพูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “ป้าเซินที่อยู่ในครัวฝากมาบอกว่า หลานสาวของนางสู้งานเป็นอย่างมาก ตอนที่คุณหนูไป พาหลานสาวของนางไปด้วยได้หรือไม่เจ้าค่ะ”

ทุกคนต่างพากันหันมาจ้องมองสืออีเหนียงพร้อมกัน

สืออีเหนียงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “บอกนางไปว่า เรื่องแบบนี้ต้องให้นายหญิงใหญ่เป็นคนตัดสินใจ”

จู๋เซียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เก็บถ้วยแล้วจึงนำไปไว้ที่ห้องครัว

หู่พั่วก็พูดขึ้นด้วยความคลุมเครือว่า “คุณหนู ท่านลองเลือกเสียหน่อยไหม จะต้องมีวิธีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…”

สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ

ตงชิงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “อากาศร้อนขนาดนี้ ไม่รู้ว่าท่านโหวจะทนไหวหรือไม่ หวังว่าคงไม่ร้อนจนป่วยเอานะเจ้าคะ!”

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น “เจ้าวางใจเถิด บ้านสกุลสวีส่งมอบสินสอดทองหมั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ข้าก็จะต้องแต่งเข้าบ้านสกุลสวีอยู่ดี”

เมื่อตงชิงได้ยินแล้วก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “คุณหนู ท่านโหวดีต่อคุณหนูถึงเพียงนั้น ท่านอย่าพูดจาเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ!”

คำว่า ‘ดี’ ที่นางพูดออกมาจากปากนั้น หมายถึงสินสอดทองหมั้นที่ทางบ้านสกุลสวีมอบให้กับสืออีเหนียง คือเงินห้าพันตำลึง หากเปรียบเทียบกับสินสอดทองหมั้นหนึ่งพันตำลึงที่ทางบ้านสกุลหวังมอบให้กับสือเหนียง และสองร้อยตำลึงที่บ้านสกุลเฉียนมอบให้กับอู่เหนียง ถือว่าได้ให้เกียรติตนมากพอแล้ว

สืออีเหนียงตัดสินใจเงียบและไม่เอ่นอันใด

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ นางไม่สามารถที่จะคุยไปในทิศทางเดียวกันกับตงชิงได้เลย

สินสอดทองหมั้นเป็นเพียงแค่สิ่งของบังหน้า ศักดิ์ศรีของบ้านสกุลหลัวก็เท่ากับศักดิ์ศรีของบ้านสกุลสวี ยิ่งไปกว่านั้น สินสอดทองหมั้นของบ้านสกุลสวีมีมูลค่าเกินหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน นายหญิงใหญ่จึงต้องรีบฉวยโอกาสนี้ถึงจะถูก จึงรีบเตรียมสินเดิมมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน แน่นอนว่าสืออีเหนียงอยากเห็นบทสรุปเช่นนี้เป็นที่สุด ใครจะมารังเกียจว่าสินเดิมของตัวเองเยอะกัน บวกกับสินสอดทองหมั้นจำพวกเครื่องประดับเงินเครื่องประดับทองที่มีมูลค่าจริงๆ รวมไปถึงผ้าไหมผ้าแพร ก็จะต้องมอบให้ตนทั้งหมด ถึงเวลานั้นก็จะนำมาใช้เป็นสินเดิมแต่งเข้าบ้านสกุลสวี หากนำมาบวกลบคำนวณดีๆ บ้านสกุลสวีก็จะจ่ายไปเพียงสอง สามพันตำลึงเท่านั้น แต่ตนนั้นกลับนำโฉนดที่นาไปสองผืน เรือนอีกสองเรือน เท่านี้ ก็ปาไปราวห้าพันกว่าตำลึงเงินเห็นจะได้ บ้านสกุลสวีถึงจะเรียกว่าได้ทั้งหน้าและได้ทั้งเงินอย่างแท้จริง!

หากเปรียบเทียบกันแล้ว ถือว่าคนบ้านสกุลหลัวเสียเปรียบให้กับทางบ้านสกุลสวีด้วยซ้ำ

หากว่าเป็นตนมอบสินสอดทองหมั้นเพื่อสู่ขอลูกสะใภ้ให้กับบุตรชาย เกรงว่าตนนั้นก็คงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน!

แต่ทว่าความใจกว้างของนายหญิงใหญ่กลับเกินกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มาก

อย่างไรก็ตาม ตอนที่อู่เหนียงและสือเหนียงแต่งงานออกเรือนนั้น นายหญิงใหญ่ก็ยุติธรรมเป็นอย่างมาก ที่ดินหนึ่งร้อยหมู่พร้อมด้วยเรือนอีกหนึ่งหลังเท่าๆ กัน…

ตงชิงเห็นว่าสืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางรู้ว่าสืออีเหนียงนั้นไม่ชอบให้ตนพูดจาเช่นนี้ แต่นางเองก็ทนต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ

สามีคือที่พึ่งของภรรยา แต่งงานเข้าเรือนสกุลสวีไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ล้วนขึ้นอยู่กับท่านโหวผู้เดียวเท่านั้น หากไม่ปรนนิบัติท่านโหวให้ดี จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไรเล่า หากคุณหนูไม่เข้าใจในสัจธรรมข้อนี้ ภายภาคหน้าก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก!

นางจึงโน้มน้าวสืออีเหนียงต่อว่า “คุณหนู หนังสือที่ท่านอ่านนั้นเยอะกว่าบ่าวเป็นไหนๆ หลักทำนองคลองธรรมท่านก็รู้มากกว่าบ่าวมากมาย การที่ครอบครัวจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ สามีและภรรยาจะต้องกลมเกลียวแน่นแฟ้นเป็นหนึ่งเดียว…”

เวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามา “คุณหนูสิบเอ็ด เกี้ยวที่ไปรับอี๋เหนียงห้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

สืออีเหนียงดีดตัวลุกขึ้นทันที “จริงหรือ ตอนนี้อยู่ที่ใด”

สาวใช้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเข้าตรอกมา ตอนนี้เกรงว่าคงจะเข้ามาในเรือนแล้วเจ้าค่ะ”

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในข้อดีของการแต่งงานกับสวีลิ่งอี๋ ทุกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับนาง คนในบ้านก็มักจะรีบมาแจ้งนางด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก

สืออีเหนียงสั่งหู่พั่วให้นำเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งเป็นรางวัลตอบแทนน้ำใจให้กับสาวใช้นางนั้น

สาวใช้รับเงินมาแล้วก็กล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงค่อยเดินออกไป

สืออีเหนียงจึงค่อยหย่อนตัวนั่งลง

ตงชิงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ท่านไม่ออกไปต้อนรับอี๋เหนียงหรือเจ้าคะ”

“ถึงเวลา ท่านแม่ก็คงจะเรียกข้าเอง” ใบหน้าของสืออีเหนียงปรากฏสีหน้าแววตาที่โศกเศร้าขึ้นมา

เรื่องบางเรื่องก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มิเช่นนั้น เหตุใดถึงมีคำพูดที่ว่า ‘บารมีมารดามาจากบุตร และความน่าเคารพเกรงขามของบุตรนั้นก็มาจากมารดา’ ด้วยเล่า ขอเพียงแค่นางอยู่ดี ผู้อื่นก็จะไม่กล้าเมินเฉยหรือดูหมิ่นดูแคลนอี๋เหนียงห้าโดยปริยาย…

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ไม่มีคนมาเรียกนางสักที

สืออีเหนียงจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา ก็เลยให้ชิวจวี๋ไปสืบความ “ไปดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”

ชิวจวี๋ขานรับแล้วก็รีบไปทันที ไม่นานนางก็กลับมาเรียนว่า “คุณหนู อี๋เหนียงไม่ได้มาเจ้าค่ะ!”

สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “ไม่ได้มา ทำไมถึงไม่มา ไม่สบายหรือไม่ หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ชิวจวี๋ส่ายหน้า “แต่ทว่า อู๋เซี่ยวเฉวียนสองสามีภรรยากลับมาแล้ว อู๋เซี่ยวเฉวียนน่าจะรู้เจ้าค่ะ!”

ภายในของสืออีเหนียงนั้นร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่กลับแสดงออกด้วยสีหน้าที่สงบและหนักแน่น รอจนบ่ายคล้อย อู๋เซี่ยวเฉวียนพึ่งจะมาถึง

อู๋เซี่ยวเฉวียนเองก็เป็นคนที่ง่ายๆ นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อี๋เหนียงบอกว่า ท่านมีครอบครัวที่ดี ย่อมดีกว่าสิ่งอื่นไหน นางเองก็ไม่มาแล้ว ตอนท่านแต่งงานออกเรือน จะทำให้ท่านเขยลำบากใจเอาได้ ยังฝากบ่าวมาบอกท่านว่า หากท่านเข้าบ้านสามีแล้ว เหนือบนสุดต้องเคารพกตัญญูต่อแม่สามี รองลงมาต้องเคารพให้เกียรติท่านเขย อย่าทำอะไรผิดพลาดและขาดตกบกพร่องต่อความสัมพันธ์ที่สำคัญยิ่งเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ

อี๋เหนียงห้า ไม่ว่าจะยามใด นางก็มักจะนึกถึงบุตรสาวอย่างตนมาเป็นอันดับแรกก่อนเสมอ…

อู๋เซี่ยวเฉวียนเห็นดวงตาของสืออีเหนียงแดงก่ำขึ้นมา นางจึงรีบยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนูสิบเอ็ดคงจะยังไม่ทราบกระมัง คุณชายสี่ของเรากำลังจะสู่ขอสะใภ้แล้วเจ้าค่ะ”

และสืออีเหนียงก็ถูกดึงดูดความสนใจจนได้ นางพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “พี่สี่จะสู่ขอสะใภ้แล้ว?”

อู๋เซี่ยวเฉวียนพยักหน้าเบาๆ “เป็นคุณหนูของบ้านหลินเฉียวโจวมณฑลอวี๋ ถือว่าชาติที่แล้วคงทำบุญมาดี ท่านปู่เคยเป็นข้าหลวงประจำการอยู่ที่เขตต้าหมิง เพียงแต่ว่าบิดาจากไปตั้งแต่นางยังเยาว์วัย ทางบ้านจึงค่อนข้างตกต่ำเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ

หากว่าไม่ดี นายหญิงใหญ่ก็คงจะไม่ยอมตกลงรับปากอย่างแน่นอน

อู๋เซี่ยวเฉวียนเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้คัดค้านต่อต้านเรื่องนี้ จึงเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “แต่ทว่าบ่าวเคยได้ยินมา ว่าคุณหนูสกุลโจวนั้นมีนิสัยโมโหร้ายเป็นอย่างมาก คนรอบข้างไม่มีใครกล้าล่วงเกินแม้แต่คนเดียว ฉะนั้น ทั้งๆ ที่อายุครบสิบแปดปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเลยเจ้าค่ะ”

“อายุสิบแปด แต่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา?” หู่พั่วพูดขึ้นเสียงเบา “นี่ก็หมายความว่านางอายุมากกว่าคุณชายสี่ของเราหรอกหรือ”

อู๋เซี่ยวเฉวียนยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ปีนี้อายุยี่สิบแล้ว พอดีกับสุภาษิตที่ว่า ‘ภรรยาแก่กว่าสามี มีข้อดีสามประการ’ เจ้าค่ะ”

“งานหมั้นครั้งนี้ใครเป็นผู้ค้ำประกันหรือ” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “อี๋เหนียงสามทราบเรื่องแล้วหรือยัง”

“ฮูหยินของใต้เท้าโจวข้าหลวงประจำการเขตหังโจวเป็นแม่สื่อที่ช่วยค้ำประกันเจ้าค่ะ” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายหญิงใหญ่เป็นคนไหว้วานให้โจวฮูหยินเป็นคนช่วยหา อี๋เหนียงสามจะทราบเรื่องหรือไม่ก็มิมีเป็นประโยชน์แต่อย่างใด ได้ยินมาว่า ใต้เท้าโจวเคยร่วมงานกับท่านปู่ของคุณหนูโจว เพราะแซ่โจวเหมือนกัน ยังมีการลำดับญาติผู้อาวุโสอีกด้วย จึงได้กำหนดวันหมั้นเป็นวันค่ำสิบเดือนเก้า ทางนั้นก็เลยกำชับบ่าวให้มาปรึกษาหารือเรื่องงานหมั้นนี้โดยเฉพาะเจ้าค่ะ”

ปรึกษาหารือเรื่องงานหมั้น คงหมายถึงมาขอเงินกับนายหญิงใหญ่กระมัง ก็ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหมั้นหรือสู่ขอ หากไร้เงินทุกอย่างก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ อีกอย่าง ตรุษจีนปีนี้ นายหญิงใหญ่ก็ได้ให้คนกลับไปเอาเงินที่อวี๋หังมาสองหมื่นตำลึงเงินอีกด้วย…

ทางนี้ อู๋เซี่ยวเฉวียนกำลังพูดคุยกับสืออีเหนียง ส่วนอีกฝั่ง นายท่านใหญ่กำลังทุกข์ใจเป็นอย่างมาก “ข้าเคยบอกไปแล้ว ในหมู่พี่น้องอย่าให้แตกต่างกันมากเกินไป แต่เจ้ากลับไม่ฟังข้าเลย เป็นอย่างไรเล่า งานแต่งเซิงเกอจะทำอย่างไร”

“มีอะไรยุ่งยากกันเล่า” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างสงบ “นำเรือนเก่าที่เขาเคยพักมาทำความสะอาดใหม่ เครื่องเรือนเดิมทีก็มีอยู่แล้ว ตอนงานหมั้นก็สั่งทำชุดเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทองสักสองสามชุด ผ้าไหมอีกสักหน่อย ใช้เงินไม่เกินสองร้อยตำลึง บวกกับหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ใช้ในงานเลี้ยง รวมแล้วไม่เกินสี่ร้อยตำลึง”

“ไม่ได้!” นายท่านใหญ่ปฏิเสธทันควัน “เจ้าให้ข้าสู่ขอสะใภ้ด้วยเงินสี่ร้อยตำลึง ไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะจนฟันร่วงก็ให้มันรู้ไป อย่างน้อยๆ ก็ต้องหนึ่งพันตำลึง”

“หนึ่งพันตำลึง?” นายหญิงใหญ่ยกถ้วยชาขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเยาะเบาๆ “ท่านเองก็ไม่ดูว่าบ้านสกุลโจวเป็นตระกูลแบบใด ท่านให้หนึ่งพันตำลึงไป บ้านสกุลโจวจะมอบของขวัญตอบแทนกลับมาหรือ ท่านอย่าได้ลืมเชียว สินสอดทองหมั้นหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงเงินที่บ้านสกุลสวีให้มาแต่งสืออีเหนียง แต่เราใช้จ่ายจริงรวมแล้วสองหมื่นตำลึงเห็นจะได้ บ้านสกุลสวีมีหน้ามีตาและมากประสบการณ์ กับเรื่องแบบนี้พวกเขาใจกว้างและมีน้ำใจเสมอ เราควรจะคิดเผื่อบ้านสกุลโจวเสียหน่อยกระมัง ไม่แน่ว่าเงินเพียงสี่ร้อยตำลึง บางทีบ้านสกุลโจวอาจจะไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อที่จะมาแต่งบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนก็เป็นได้”

นายท่านใหญ่ทำได้เพียงบ่นพึมพำว่า “นั่นมันก็น้อยเกินไป ตอนงานแต่งซิ่งเกอ ใช้ไปตั้งห้าพันกว่าตำลึง…”

นายหญิงใหญ่จ้องมองสามีตาเขม็งด้วยความเหลืออด “แต่สินเดิมของสะใภ้ก็มีตั้งสามพันตำลึง!”

นายท่านใหญ่คิดการใดก็ไม่เคยชนะนายหญิงใหญ่แม้แต่ครั้งเดียว เขาหมุนตัวกลับไปจิบชาด้วยความห่อเหี่ยวใจ

“วันสิบค่ำเดือนเก้าคงต้องเปลี่ยนเสียใหม่” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “สองวันก่อนทางบ้านสกุลสวีมาถามข้า ว่าทางสำนักดาราศาสตร์บอกมาแล้ว เดือนเก้ามีวันดีเพียงแค่วันเดียวก็คือวันสิบค่ำ หรือเราควรรอวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบ ดูจากน้ำเสียงของทางบ้านสกุลสวีแล้ว พวกเขาอยากจะกำหนดเป็นวันสิบค่ำเดือนเก้า เรื่องของเซิงเกอก็พักไว้ก่อนชั่วคราว รอทางบ้านสกุลสวีกำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราค่อยมากำหนดวันหมั้นของเซิงเกออีกที!” พูดจบ ก็หันไปสั่งกับป้าสวี่ว่า “ไปรับเขยห้ากับคุณหนูห้ามา เรื่องงานแต่งของเซิงเกอเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องปรึกษาพวกเขาสองสามีภรรยาด้วย!”

ตอนนี้อู่เหนียงเชื่อฟังเฉียนหมิงเสียทุกเรื่อง แต่เฉียนหมิงนั้นเหมือนกับนายหญิงใหญ่ไม่มีผิด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะนึกถึงบ้านสกุลสวีเป็นหลัก นายท่านใหญ่จึงไม่ได้กล่าวอันใดต่อ ตอนนี้รอทางบ้านสกุลสวีมาแจ้งเรื่องกำหนดการก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันอีกที

บ้านสกุลสวีเห็นชอบเป็นวันสิบค่ำเดือนเก้า

เพราะเรื่องนี้นายหญิงใหญ่ได้ปรึกษาหารือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายท่านใหญ่เองก็เห็นด้วย จึงได้ตอบตกลงไป

งานแต่งของหลัวเจิ้นเซิงจึงถูกเปลี่ยนไปเป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบ

สองสามีภรรยาเพิ่งจะปรึกษาหารือเสร็จ ก็มีจดหมายมาจากทางซานตง บอกว่าวันหมั้นของชีเหนียงกำหนดเป็นวันสิบค่ำเดือนสิบเอ็ด

“ไหนบอกว่าเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้ามิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนมาเป็นปลายปีนี้เล่า”

ป้าอวี้ที่มาแจ้งเรื่อง นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านไม่รู้ว่าท่านเขยของเราคนนี้เอาจริงเอาจังเพียงใด นายหญิงสองเพียงแค่บอกว่าทำเครื่องเรือนต้องใช้เวลา ท่านเขยก็รีบส่งเครื่องเรือนมาทันควัน นายหญิงสองบอกว่างานเย็บปักถักร้อยอาจจะไม่ทันการณ์ ท่านเขยก็รีบไปเชื้อเชิญอาจารย์เย็บปักถักร้อยจากหอเซียนหลิงมาช่วยเย็บผ้าถึงเรือนทันที นายหญิงสองดูท่าแล้วจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกเลย จะให้ท่านเขยจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในงานแต่งของคุณหนูเจ็ดหรืออย่างไรกัน ดังนั้นก็เลยให้บ่าวมาเรียนเรื่องนี้กับนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่และนายหญิงสาม อีกเรื่องก็คือให้บ่าวมาสั่งทำเครื่องประดับผมที่ร้านเหล่าจี๋เสียงให้คุณหนูเจ็ดด้วยเจ้าค่ะ”

นายหญิงใหญ่เหลือบมองนายท่านใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง “ดูแล้ว งานแต่งของเซิงเกอคงต้องขยับปรับเปลี่ยนอีกแล้วกระมัง”

บุตรชายแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา บิดามารดาควรอยู่ด้วยถึงจะถูก!

นายท่านใหญ่โบกมือขึ้น “งานแต่งของเซิงเกอ กำหนดเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็แล้วกัน!”

“ปีหน้า คุณหนูสกุลโจวก็อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว!” นายหญิงใหญ่คัดค้านไม่เห็นด้วยอีกครั้ง

หลานสาวกับบุตรชาย แน่นอนว่าบุตรชายจะต้องสำคัญกว่า

นายท่านใหญ่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาพูดขึ้นทันทีว่า “งั้นก็ให้ซิ่งเกอไปส่งชีเหนียง ส่วนเรากลับอวี๋หัง!”

นายหญิงใหญ่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท