รุ่งสางของวันต่อมา คุณนายใหญ่และเฉวียนฝูฮูหยินซึ่งเป็นฮูหยินของจังเผยอวิ๋นหัวหน้าเลขาธิการกรมหงหลูพากันหัวเราะเดินเข้ามา
ชิวจวี๋รีบนำซองแดงสองซองให้จังฮูหยิน
หู่พั่วและอีกสองสามคนวันนี้ต้องนั่งรถม้าของเฉวียนฝูฮูหยินไปยังจวนสกุลสวีพร้อมกับสืออีเหนียง พวกนางก็ต้องแต่งตัว ดังนั้นชิวจวี๋และสาวใช้ของคุณนายใหญ่ซิ่งหลินจึงเป็นคนดูแลเรือนให้สืออีเหนียง
จังฮูหยินยิ้มและรับซองแดงมา แสดงความยินดีกับสืออีเหนียง จากนั้นตงชิงก็พาสืออีเหนียงไปอาบน้ำ เมื่อเดินออกมา ก็ได้ยินจังฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “…คุณชายใหญ่สอบผ่านราชบัณฑิตหลวง คุณหนูห้าก็ได้เป็นภรรยาของจู่เหริน คุณหนูสิบแต่งกับทายาท วันนี้คุณหนูสิบเอ็ดก็จะแต่งกับหย่งผิงโหว ปีนี้ช่างเป็นปีที่โชคดีเสียจริง!”
คุณนายใหญ่ยิ้มหน้าบาน “สมพรปากเจ้า สมพรปากเจ้า”
ก็แค่ตอบกลับไปตามมารยาท!
สืออีเหนียงนั่งอยู่หน้ากระจกด้วยสีหน้าที่สับสน จังฮูหยินช่วยหวีผมปักปิ่นปักผมให้นาง ชิวจวี๋และซิ่งหลินช่วยเปลี่ยนชุดแต่งงานสีแดงให้นาง จากนั้นก็วางผ้าเช็ดหน้าสีชมพูไว้บนไหล่ของนาง จังฮูหยินเดินเข้าไปเขียนคิ้วให้สืออีเหนียง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เสร็จเรียบร้อย
สืออีเหนียงมองดูตัวเองในกระจก สีหน้าที่ขาวราวกับหิมะ คิ้วที่โค้งงอและปากแดง ถึงแม้ว่าจะดูเปลี่ยนไป แต่ดูแล้วเหมือนตุ๊กตาอาฝู [1]เป็นเรื่องที่น่ายินดี
นึกถึงตอนที่อู่เหนียงแต่งงานก็แต่งตัวเช่นนี้ นางรู้ว่านี่คือการแต่งหน้าแต่งตัวของคนที่เป็นเจ้าสาวทั่วไป นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
โรงครัวยกอาหารเข้ามาให้
สืออีเหนียงกินเข้าไปคำใหญ่เหมือนตอนที่อู่เหนียงแต่งงาน จากนั้นก็คายลงบนกระดาษสีแดงในมือของจังฮูหยิน จังฮูหยินจะแบ่งข้าวที่นางคายออกมาออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเอาไปไว้บนชั้นวางข้าวของสกุลหลัว อีกครึ่งหนึ่งเฉวียนฝูฮูหยินของสกุลสวีจะเอาไปวางไว้บนชั้นวางข้าวของสกุลสวี
ไม่รู้ว่านี่คือพิธีอะไร
นางครุ่นคิด นายหญิงสอง นายหญิงสาม ซื่อเหนียง อู่เหนียงและอีกสองสามคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้
นายหญิงใหญ่รีบบอกให้พวกนางนั่งลง
ชิวจวี๋และซิ่งหลินยุ่งอยู่กับการรินชารินน้ำ
พวกนางนั่งลง ซื่อเหนียงก็มองไปที่สืออีเหนียง นางยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้งามอย่างยิ่ง!”
สืออีเหนียงยิ้มอยางแผ่วเบาแล้วถามอู่เหนียง “ทำไมไม่เห็นพี่หญิงสิบล่ะเจ้าคะ”
อู่เหนียงบึนปาก “ท่านแม่ส่งคนไปรับนางตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่หวังหลังบอกว่ามีธุระ งานเลี้ยงเมื่อครู่ก็มาสาย แต่สือเหนียงไม่ได้มาด้วย ท่านแม่ถาม หวังหลังก็บอกว่าสือเหนียงไม่ค่อยสบาย ถามอีกเขาก็ไม่พอใจ ในจวนมีแขกตั้งเยอะแยะ ท่านแม่ก็คงไม่อยากจะเอาแต่ถามเขา”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เป็นห่วง
หวังว่าสือเหนียงจะแค่ไม่พอใจ อย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย…
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “งานเลี้ยงเริ่มแล้วเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่พาทุกคนออกไปนั่งที่โต๊ะ
ชิวจวี๋ถือกล่องลายครามที่มีโสมอยู่ข้างใน “คุณหนู ท่านจะทานสักชิ้นไหมเจ้าคะ”
อาจจะกลัวว่าอยากเข้าห้องน้ำกลางคัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสืออีเหนียงก็ไม่ได้ทานอะไรเลย นายหญิงใหญ่จึงให้ชิวจวี๋นำโสมไปให้นางทาน
สืออีเหนียงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าไม่หิว!”
ราวกับได้เกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เป็นเจ้าสาว…นางค่อนข้างตื่นเต้น
“หนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจวเล่มนั้นของข้า พวกเจ้าเก็บแล้วหรือยัง ข้าอยากอ่าน”
ชิวจวี๋รู้สึกได้ว่าสืออีเหนียงตื่นเต้น นางจึงรีบตอบรับและออกไปหาหนังสือ
สืออีเหนียงนั่งอ่านหนังสือข้างหน้าต่าง
แต่ในใจของนางกลับรู้สึกกระวนกระวาย มือถือหนังสืออยู่แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องสักคำ
วางหนังสือลงก็รู้สึกเบื่อ จึงหยิบขึ้นมาอีกครั้ง
ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นาน งานเลี้ยงข้างนอกก็สิ้นสุดลงแล้ว
บางคนอยู่ดูความสนุกสนานที่ลานหลัก บางคนก็มานั่งที่เรือนของสืออีเหนียง
ขบวนขันหมากมาแล้ว
นายหญิงสามรีบลากหลัวเจิ้นไคและหลัวเจิ้นอวี้เข้ามา “พวกเจ้าอยู่ที่นี่เงียบๆ ”
ถึงแม้ว่าเรื่องครั้งก่อนจะไม่มีใครเอาเรื่องพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงภาพของสือเหนียงตอนนั้น พวกเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาทั้งสองคนจึงสุขุมขึ้นไม่น้อย
ท่ามกลางเสียงประทัด หลัวเจิ้นซิ่งและอีกสองสามคนขอซองแดงตามธรรมเนียมแล้วก็เปิดประตู
สวีลิ่งอี๋ที่สวมชุดสีแดงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่สุขุม
ข้างหลังเขายังมีชายหนุ่มที่สีหน้าสุภาพเรียบร้อยแต่น่าเกรงขามอีกสองคน
อวี๋อี๋ชิงตกใจและเผลออุทานออกมา “ซุ่นอ๋อง นายพลฟั่น!”
เฉียนหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ตัวสั่นไปหมด
บิดาของซุ่นอ๋องเป็นน้องชายของฮ่องเต้องค์ก่อน ซุ่นอ๋องจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ผู้สืบทอดบัลลังก์ที่แท้จริง ซุ่นอ๋องคือคนดูแลกรมพระราชวัง นายพลฟั่นมีนามว่าฟั่นเหวยกัง เดิมทีเป็นองครักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้ เคยติดตามสวีลิ่งอี๋ ตอนนี้เป็นแม่ทัพระดับสาม หรือเรียกอีกอย่างว่านายพล
ฟั่นเหวยกังยิ้มและพูดว่า “วันนี้มีแค่ขบวนขันหมาก ไม่มีซุ่นอ๋องหรือนายพลฟั่นอะไรทั้งสิ้น!”
หลัวเจิ้นซิ่งพูดจาติดๆ ขัดๆ “นี่ ได้เช่นไรขอรับ…”
สวีลิ่งอี๋จึงถามเขา “อยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนคุ้นชินหรือไม่”
หลัวเจิ้นซิ่งตอบกลับด้วยความเคารพ “ได้รับความรู้มากมายขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ใต้เท้าโจวและใต้เท้าหูล้วนแต่เป็นบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ เจ้ามีโอกาสได้ฟังพวกเขาสอน มันคือวาสนาและโอกาสที่ไม่ได้หายได้ง่ายๆ…”
คนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มและพูดว่า “ท่านโหว วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีของท่าน เช่นนั้น วันอื่นท่านค่อยสั่งสอนดีกว่าไหมขอรับ”
ซุ่นอ๋องและฟั่นเหวยกังต่างพากันหัวเราะ
ฟั่นเหวยกังตบไหล่คนนั้นเบาๆ “สหาย เจ้ามีนามว่าอันใด”
“ข้าน้อยมีนามว่าเฉียนหมิง ฉายาจื่อฉุน” เฉียนหมิงยิ้ม “เป็นคุณชายห้าของสกุลหลัวขอรับ”
ซุ่นอ๋องยิ้มให้สวีลิ่งอี๋และพูดว่า “พี่เขยของเจ้าน่าสนใจไม่น้อย!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปาก
เฉียนหมิงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่รอยยิ้มของเขากลับนิ่งลงกว่าเดิม “สายแล้ว ท่านพ่อตายังรอท่านโหวดื่มชาอยู่ขอรับ!” จากนั้นเขาก็ถือโอกาสพาพวกเขาไปที่ห้องโถง
สวีลิ่งอี๋ก้มหัวให้นายท่านใหญ่ และไปที่เรือนของนายหญิงใหญ่ตามธรรมเนียม
นายหญิงใหญ่ดื่มชาคารวะของสวีลิ่งอี๋แต่ก็ไม่พูดไม่จา ยื่นซองแดงให้สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋รับซองแดงมาแล้วคำนับนายหญิงใหญ่ กลับไปที่ห้องโถงอีกครั้ง เฉียนหมิงถือจอกเหล้าคารวะสวีลิ่งอี๋
ซุ่นอ๋องอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “เจ้ากลัวว่าท่านโหวจะเมาเช่นนั้นหรือ ไม่ต้องเป็นห่วง เขาคอแข็งไม่น้อย!”
เฉียนหมิงพยักหน้าและพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าก็แค่เห็นใจคนหัวอกเดียวกัน!”
ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะ
นายท่านใหญ่พูดว่า “สายแล้ว ไปรับตัวเจ้าสาวเถิด!”
*****
สืออีเหนียงสวมผ้าคลุมหัวอยู่ นางมองภาพข้างนอกไม่ค่อยชัด ตอนที่หลัวเจิ้นซิ่งพานางเข้าไปในเสลี่ยง นางได้ยินแค่เสียงประทัด แต่กลับไม่มีเสียงหัวเราะที่เอะอะโวยวาย
นางจึงนึกถึงตอนที่เจอกับสวีลิ่งอี๋ครั้งแรกที่ลานสวนเล็ก
มีกลิ่นอายของสีหน้าที่ไร้อารมร์ความรู้สึก… แต่ว่าคนเช่นนี้ปกติมักจะแข็งกระด้าง ไม่ค่อยชอบให้ใครมาเยาะเย้ยตัวเอง…
ความคิดนี้วาบขึ้นมา เสลี่ยงก็ถูกยกขึ้นแล้ว เสียงประทัดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงฆ้องและกลองก็ดังขึ้นมา
ท่ามกลางความคึกคัก เสลี่ยงสั่นคลอนและเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ตามด้วยเสียงที่แสดงความยินดี สืออีเหนียงรู้ว่าตัวเองออกจากประตูฉุยฮวาของสกุลหลัวแล้ว ออกมาจากประตูใหญ่ ออกมาจากตรอก…จากนั้นก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงประทัดแล้ว มีเพียงเสียงฆ้องและกลอง
จากมาดื้อๆ เช่นนี้หรือ?
จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกไม่สบายใจ
ถึงแม้ว่าจวนหลังนั้นจะทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก แต่จากมาดื้อๆ เช่นนี้ มันกลับทำให้นางอาลัยอาวรณ์
นางหันกลับไปมอง
ตรงหน้ายังคงเป็นผ้าสีแดง
นางน้ำตาไหลออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน
*****
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน นางได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “มาแล้ว มาแล้ว…”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังกึกก้องอีกครั้ง ทำให้ไม่ได้ยินเสียงฆ้องและกลอง
สืออีเหนียงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา จากนั้นก็นั่งตัวตรง
เสลี่ยงหยุดเดิน เฉวียนฝูฮูหยินของสกุลสวีพยุงนางลงจากเสลี่ยง
เสียงเอะอะและเสียงหัวเราะของผู้คนดังก้องไปทั่ว ทำให้นางรู้สึกสับสนไปหมด และพรมนุ่มๆ ใต้ฝ่าเท้า มันทำให้นางรู้สึกเหมือนตกลงไปในกองฝ้าย หาที่ออกแรงไม่เจอเลยแม้แต่น้อย
สืออีเหนียงก้าวเข้าไปอย่างมึนงง คำนับห้องโถงและเข้าไปในเรือนหอ
เสียงของสตรีผสมผสานกับเสียงของปิ่นปักผมที่แกว่งไปมา
มีหญิงนางหนึ่งยิ้มและพูดว่า “ท่านโหว รีบเปิดผ้าคลุม ให้พวกเราได้เห็นเจ้าสาว!”
ผ้าคลุมที่อยู่บนหัวก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ
แสงไฟที่สว่างไสวทำให้ดวงตาของสืออีเหนียงเปล่งประกาย นางเห็นแค่ไข่มุกและหยก งดงามแวววาว
“เจ้าสาวช่างงดงามจริงๆ เลย…”
“ขาวสะอาดสะอ้าน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีวาสนา…”
เสียงผู้คนแสดงความยินดีท่วมท้นราวกับสายน้ำ แต่สายตาที่จ้องมองมาที่นางกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พินิจพิเคราะห์ เปรียบเทียบและสงสัย…
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในฝูงชน
นางเห็นหลินฮูหยินของเวยเป่ยโหว ถังฮูหยินของจงซานโหว กานฮูหยินของจงฉินปั๋ว เฉียวฮูหยินของเฉิงกั๋วกง…แล้วยังเห็นสวีลิ่งอี๋ที่ยืนอยู่ข้างเตียง
เขายืนอกผายไหล่ผึ่ง ท่าทีเย็นชาและสีหน้าสุขุม…ไม่มีความปิติยินดีหรือความไม่สบายใจที่คนเป็นเจ้าบ่าวควรมี
แต่ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกสงบลง
นางนั่งตัวตรง เฉวียนฝูฮูหยินเดินเข้ามาบอกให้นางนั่งทางทิศตะวันตกของเตียง
ป้าสวี่เคยบอกนางว่า การนั่งเช่นนี้เรียกว่าความร่ำรวยมีเกียรติ ถึงตอนนั้นจะมีการล้อเจ้าบ่าวเจ้าสาว จะมีคนพูดจาเยาะเย้ย บอกให้นางอย่าพูดอะไรทั้งนั้น แล้วก็อย่าขยับ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็จะพากันออกไปเอง จากนั้นก็ถึงเวลาดื่มเหล้าเหอจิ่น
สืออีเหนียงขยับไปนั่งทางตะวันตกของเตียง เฉวียนฝูฮูหยินจึงเชิญสวีลิ่งอี๋มานั่งทางตะวันออกของเตียง
ทุกคนในห้องยิ้มแล้วมองมาที่พวกเขา
สืออีเหนียงเห็นว่าเหล่าสตรีที่อยู่ในห้องล้วนแต่อายุมากแล้ว มีแค่สองสามคนที่อายุแค่ยี่สิบกว่า หญิงเหล่านี้ล้วนแต่สวมเครื่องประดับดอกไม้ ตำแหน่งน้อยสุดก็น่าจะฮูหยินของขุนนางระดับสี่ มากสุดคือฮูหยินขุนนางระดับหนึ่ง
เด็กรับใช้ชายวิ่งเข้ามา “ท่านโหว ท่านโหว พระราชโองการมาถึงแล้วขอรับ”
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็เงียบสงัดทันที
มีฮูหยินคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดว่า “บังเอิญเสียจริง เราไปนั่งที่โถงบุปผากันเถิด!”
สืออีเหนียงหันหน้าไปมอง เห็นว่าคนที่พูดคือกานฮูหยิน
กานฮูหยินพยักหน้าให้นาง
สวีลิ่งอี๋บอกสืออีเหนียง “เจ้ารอข้าประเดี๋ยว ข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน”
เขากำลังบอกว่าตัวเองจะไปไหน
สืออีเหนียงตอบกลับ “เจ้าค่ะ”
การเคารพซึ่งกันและกันเป็นการเริ่มต้นที่ดี
มีสาวใช้หน้าตาสวยงามสองคนเดินเข้าไปช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นพวกเขาก็เดินออกมาจากเรือนหอ
ด้านนอกเป็นลานกว้าง ทางเดินทั้งสองข้างเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสี สว่างไสวสวยงาม
สืออีเหนียงเดินตามสวีลิ่งอี๋ไปทางทิศตะวันตก เดินไปประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา ก็เดินมาถึงลานใหญ่ๆ
ในลานสว่างไสวไปด้วยโคมไฟ สวีลิ่งควนที่สวมชุดขุนนางระดับสี่กำลังพูดกับขันที ไท่ฮูหยิน สวีลิ่งหนิง ฮูหยินสอง ฮูหยินสามและฮูหยินห้าก็กำลังรออยู่ที่นั่น เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงเดินออกมา พวกนางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ขันทีคนนั้นยิ้มและพูดว่า “ท่านโหว คนครบแล้วใช่หรือไม่ขอรับ เช่นนั้นข้าก็จะประกาศพระราชโองการแล้ว”
สวีลิ่งอี๋พูดว่า “ลำบากเจ้าแล้ว” จากนั้นก็พาทุกคนคุกเข่าลงบนอิฐสีฟ้าในลาน
สวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ ก็พากันคุกเข่าลง
สืออีเหนียงก็คุกเข่าลงอย่างรู้ความเช่นกัน
ขันทีคนนั้นก็เปิดพระราชโองการที่มีลวดลายนกกระเรียนสีขาวและเริ่มประกาศพระราชโองการ
[1]ตุ๊กตาอาฝู ตุ๊กตามงคลที่พบเห็นกันได้ทั่วไป มักสร้างกันเป็นรูปปั้นเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิง ตัวกลมๆ หน้าตาน่ารัก