ค่ำคืนนั้น นายท่านใหญ่ บุตรชายและบุตรเขยร่วมดื่มสุราด้วยกันอย่างถึงอกถึงใจ ลืมเรื่องที่สือเหนียงทำให้เขาไม่สบายใจไปเสียด้วยซ้ำ
ในขณะที่สาวใช้กำลังช่วยประคองเขาเข้าไปพักผ่อนในห้องอยู่นั้น เขายังพูดพึมพำขึ้นว่า “…ขึ้นหลังม้าสู้รบอย่างองอาจ ลงจากหลังม้าก็สามารถถือพู่กันวาดอ่านเขียนตำราได้ จึงจะเรียกว่าเป็นสุดยอดแห่งสามี! ไม่เหมือนเช่นข้าที่มือไม่สามารถถือหิ้ว ไหล่ไม่สามารถแบกหาม…” จากนั้นก็หันไปจ้องนายหญิงใหญ่ตาเขม็ง “หากข้าอายุลดลงสักยี่สิบปีคงจะดี จะได้ไปเป็นทหารออกรบที่แคว้นซีเป่ยได้…”
ทำเอานายหญิงใหญ่หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ จากนั้นก็ได้เข้าไปประคองสามีไปพักผ่อนด้วยตนเอง
แต่ความยินดีนี้สั้นเพียงหนึ่งค่ำคืนเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นนายท่านใหญ่สร่างจากอาการเมาค่อนข้างสาย ในขณะที่กำลังดื่มซุปสร่างเมาอยู่นั้น เฉียนหมิงก็ได้เข้ามาหา
ตั้งแต่ที่นายท่านใหญ่ได้เอ่ยปากกล่าวชมเฉียนหมิง ปฏิกิริยาของนายหญิงใหญ่ที่มีต่อเฉียนหมิงก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก
เมื่อนางได้ยินแล้วก็รีบลุกขึ้นตรงไปยังห้องโถงทันที “เขยห้าเจ้าทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง”
แต่เฉียนหมิงนั้นกำลังร้อนใจเป็นอย่างมาก เขารีบทำความเคารพนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ยาย แย่แล้วขอรับ ข้าได้ยินมาว่าไทเฮาทรงเรียกตัวเจี้ยนหนิงโหวเข้าวัง ไปหารือเรื่องงานแต่งงานใหม่ของท่านพี่เขยขอรับ!”
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้
ในหัวของนายหญิงใหญ่ขาวโพลนไปหมด คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง
ที่ผ่านมานี้ นางหวังพึ่งเพียงฮองเฮาที่ทรงรับสาส์นกราบทูลสั่งเสียของหยวนเหนียงไป แต่คาดไม่ถึงเลยว่าไทเฮาจะทรงมีพระราชกฤษฎีกา หรือฮองเฮาจะทรงเสี่ยงด้วยการถูกกล่าวหาว่าอกตัญญู ไปเผชิญหน้าไทเฮาหรืออย่างไรกันนะ จวนสกุลสวีจะยังคงต้านทานความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์และกล้าขัดต่อพระราชกฤษฎีกาได้หรือ
เกรงว่าหากถึงเวลานั้น คงจะไม่ใช่แค่การปฏิเสธต่อความปรารถนาดีของไทเฮาเท่านั้นแล้วกระมัง!
เฉียนหมิงกลัวว่านายหญิงใหญ่จะไม่เข้าใจถึงความสำคัญหนักเบาของเรื่องนี้ จึงรีบพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ไทเฮาก็ทรงเคยมีพระประสงค์ที่จะให้ท่านพี่เขยเกี่ยวดองกับทางเจี้ยนหนิงโหว เพียงแต่ว่าเจี้ยนหนิงโหวไม่ค่อยเต็มใจจะยกบุตรสาวให้เท่าไรนัก เขาอยากจะส่งบุตรสาวของตัวเองเข้าวังเสียมากกว่า เรื่องนี้จึงล่าช้าไป แต่ตอนนี้ท่านพี่เขยได้สร้างคุณงามความดีอย่างใหญ่หลวง เกรงว่าครั้งนี้เจี้ยนหนิงโหวคงจะไม่อาจปฏิเสธได้ขอรับ…”
นายหญิงใหญ่ที่ขาดสติไปชั่วครู่ ก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
“เจ้ามากับข้า!” นางพาเฉียนหมิงเข้าไปยังห้องชั้นใน
นายท่านใหญ่กำลังบ้วนปากโดยการปรนนิบัติจากสาวใช้ เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่และเฉียนหมิงเข้ามาก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบถามขึ้นทันควัน “เกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
เฉียนหมิงจึงได้เล่าเรื่องที่ตนได้เล่าให้นายหญิงใหญ่ฟังเมื่อครู่นี้ให้นายท่านใหญ่ฟังอีกรอบ
นายท่านใหญ่เองก็อึ้งไปชั่วขณะ
นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เราจะทำอย่างไรดี เราคงจะไม่สามารถไปถามทางจวนสกุลสวีตรงๆ ได้หรอกกระมัง” พูดจบ ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที “ปีนี้ข้าเจอจุนเกอไปเพียงแค่สามครั้ง ครั้งแรกเจอเมื่อตอนวันขึ้นสามค่ำเดือนอ้าย ครั้งต่อมาเจอตอนเทศกาลวันเช็งเม้ง ส่วนอีกครั้งเจอตอนวันครบรอบหนึ่งปีของหยวนเหนียง…นับประสาอะไรกับเจี้ยนหนิงโหวที่ภูมิหลังต่ำต้อยเช่นนั้น จะอบรมสอนสั่งบุตรีได้ดีแค่ไหนกันเชียว มิฉะนั้น ฝ่าบาทก็คงทรงรับไปตั้งนานแล้ว จะรอจนถึงตอนนี้ทำไมกันเล่า…”
นายท่านใหญ่ฟังคำพูดของนายหญิงใหญ่ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่ จึงขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าออกไปก่อน เรื่องนี้ให้ข้ากับบุตรเขยปรึกษาหารือกันก่อน”
นายหญิงใหญ่ไม่มีทางเลือก จึงจำใจถอยออกมา พึ่งออกไปถึงห้องโถง ก็เห็นหลัวเจิ้นซิ่งที่กำลังสาวเท้าเดินตรงเข้ามาพอดี
“ทำไมจู่ๆ ถึงกลับมา”
หลัวเจิ้นซิ่งสีหน้าขาวซีด ฝืนยิ้มให้กับนายหญิงใหญ่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่านพ่อสักหน่อยขอรับ ท่านพ่อตื่นแล้วหรือยัง”
นายหญิงใหญ่รู้ได้ในทันทีว่าหลัวเจิ้นซิ่งมาที่นี่เพราะเหตุใด นางจึงรีบดึงแขนเสื้อของบุตรชายตนไว้ “ใช่เรื่องเกี่ยวกับท่านโหวหรือไม่”
หลัวเจิ้นซิ่งยังคงปิดบังมารดาต่อ นายหญิงใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “น้องเขยห้าของเจ้าบอกข้าหมดแล้ว ตอนนี้เขาเองก็กำลังปรึกษาหารือกับท่านพ่อของเจ้าอยู่!”
“ท่านแม่ ท่านก็อย่าเป็นกังวลใจไป” หลัวเจิ้นซิ่งทำได้เพียงปลอบใจมารดาของตน “คนเขลาสามคนเทียบเท่าหนึ่งคนฉลาด เราทั้งสามคนร่วมด้วยช่วยกันปรึกษาหารือ เป็นไปได้หรือว่าจะคิดหาวิธีไม่ได้เลย”
เวลานี้นายหญิงใหญ่ร้อนรุ่มกลุ้มใจเป็นอย่างมาก คิดอะไรไม่ออก จึงจำเป็นต้องเชื่อฟังบุตรชายของตนชั่วคราว พยักหน้าตอบกลับด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย
นายท่านใหญ่ที่อยู่ในห้องชั้นในได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก จึงได้ตะโกนถามขึ้นเสียงสูงว่า “ซิ่งเกอกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อ ข้าเองขอรับ” หลัวเจิ้นซิ่งตะโกนตอบกลับบิดา เขาปลอบใจมารดาอยู่สองสามประโยค จากนั้นก็เดินเข้าห้องชั้นในไป
*****
“คุณหนู คุณหนู…” ชิวจวี๋วิ่งเข้าไปด้วยสีหน้าซีดเผือด “แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงกำลังนั่งปักผ้าอยู่บนเตียงเตากับตงชิง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีที่ตื่นตระหนกของนาง ตงชิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ถึงได้โหวกเหวกโวยวายเสียงดังไร้มารยาทเช่นนี้!”
“แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ!” ชิวจวี๋ไม่ได้ยืนเฉยแล้วหัวเราะกลบเกลื่อนเวลาโดนตงชิงติติงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับวิ่งตรงดิ่งเข้าไปหาสืออีเหนียงด้วยอาการหายใจหอบ “ท่านโหวกำลังจะสู่ขอบุตรสาวของท่านโหวอะไรสักอย่างนี่แหละเจ้าค่ะ!”
เพียงครู่เดียว ผู้คนในห้องก็พลันสีหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
“เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ชิวจวี๋พยายามควบคุมลมหายใจที่กระหืดกระหอบของตน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้พูดขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้ท่านเขยห้ามา บอกว่า ไทเฮาทรงเรียกตัวเจี้ยนหนิงโหวเข้าวัง จะให้เจี้ยนหนิงโหวมอบบุตรสาวของเขามาแต่งงานกับท่านโหวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินแล้ว ก็ค่อยๆ สงบจิตสงบใจลง
นี่ก็แปลว่า ตอนนี้ตนมีสิทธิ์จะถูกถอนหมั้น? ไม่สิ ยังไม่เคยหมั้นกันเสียด้วยซ้ำ แล้วจะถอนหมั้นได้อย่างไรกัน…
“แล้วทางจวนสกุลสวีว่าอย่างไรบ้าง” ตงชิงร้อนใจจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาเสียด้วยซ้ำ
ชิวจวี๋เหลือบไปมองสีหน้าท่าทีแปลกๆ ของสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง
“ไอ๊หยา ตอนนี้ยามใดแล้ว เจ้ายังจะอ้ำอึ้งชักช้าอยู่อีก!” ตงชิงร้อนใจจนทนไม่ไหว “เจ้ารีบๆ เล่ามาสิ!”
“ท่านเขยห้าบอกว่าผู้คนข้างนอกพากันพูดว่า…ว่า…จวนสกุลสวีรังเกียจที่คุณหนูของเราเป็นบุตรีของอนุภรรยา จึงได้ถ่วงเวลามาสู่ขอล่าช้าเช่นนี้!” เมื่อพูดจบ สีหน้าของนางก็ท่วมท้นไปด้วยความขลาดกลัว
เวลานี้เอง ทุกคนต่างก็รู้สึกอึ้งไปตามๆ กัน
“นี่ เรื่องนี้สามารถโทษคุณหนูของเราได้หรือ” ตงชิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่น้อยเนื้อต่ำใจว่า “ใครจะไม่อยากเกิดในท้องของนายหญิงใหญ่บ้างเล่า…”
“ใช่!” ดวงตาของชิวจวี๋ก็แดงก่ำขึ้นมา “ตอนนี้นายหญิงใหญ่เองก็กำลังรู้สึกเสียใจ บอกว่าหากรู้ล่วงหน้าก็คงเลี้ยงสืออีเหนียงในนามของตนตั้งนานแล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ” สืออีเหนียงหันไปจ้องมองชิวจวี๋ด้วยสีหน้าที่ตกใจ “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอะไรนะ”
ชิวจวี๋เห็นท่าทีที่ตื่นตระหนกของสืออีเหนียง ในใจก็เกิดกลัวขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักว่า “นาย…นายหญิงใหญ่กำลังรู้สึกเสียใจ บอก…บอกว่า หากรู้ล่วงหน้าว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ ก็ควรจะเลี้ยงท่านในนามของตนเสียตั้งแต่ทีแรกเจ้าค่ะ”
นี่ก็หมายความว่า ตนหลงกลเข้าแล้วหรือ
ราวกับแสงสว่างวาบท่ามกลางความมืดมิด จู่ๆ สืออีเหนียงก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ที่แท้อี๋เหนียงใหญ่และอี๋เหนียงสองหลอกตนนี่เอง!
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสือเหนียงขึ้นมา
นางจะเป็นเหมือนเช่นตนหรือไม่ ที่ถูกอี๋เหนียงทั้งสองโกหก
สืออีเหนียงฝืนยิ้มเจื่อน
นึกไม่ถึงเลยว่าอี๋เหนียงทั้งสองที่ทานเจและท่องบทสวดทุกวันจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็เหมือนล่วงรู้และเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา
ฝ่าบาทไม่ได้เป็นโอรสแท้ๆ ของไทเฮา ส่วนไทเฮาก็ทรงพยายามที่จะผลักดันหลานสาวของตนเข้าวัง แต่ก็ไม่สามารถทำสำเร็จลุล่วงได้ พระองค์จึงคิดหาวิธีอื่นมาทดแทน หันมาเกี่ยวดองกับทางจวนสกุลสวี ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาทหรือฮองเฮา เกรงว่าคงจะไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จวนสกุลสวีจะกล้าขัดต่อพระราชกฤษฎีกาได้อย่างไรกันเล่า ฉะนั้น งานแต่งครั้งนี้คงจะไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นแน่แท้!
หากงานแต่งระหว่างจวนสกุลสวีและจวนสกุลหลัวถูกยกเลิกไปแล้ว ตนก็คงจะเป็นฝ่ายเสียหาย ปกติแล้วผู้คนมักจะเห็นใจฝ่ายเสียหายมากกว่า เช่นนั้นตนก็คงสามารถฉวยโอกาสครั้งนี้พลิกสถานการณ์ได้ใช่หรือไม่นะ
สืออีเหนียงใช้เวลาไตร่ตรองอย่างละเอียดครู่ใหญ่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินมาถามชิวจวี๋ว่า “ตอนนี้ท่านแม่อยู่ที่ใด”
ชิวจวี๋จ้องมองสืออีเหนียง มีความรู้สึกว่าสืออีเหนียงกำลังดีใจอย่างไรอย่างนั้น
แต่เวลานี้ นางจะไปกล้าถามอะไรมากมายกัน จึงรีบตอบกลับไปว่า “อยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ!” แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าคำพูดไม่เหมาะควรเท่าไรนัก จึงพูดต่อไปว่า “คุณนายใหญ่กำลังคุยเป็นเพื่อนนายหญิงใหญ่อยู่เจ้าค่ะ!”
“มีใครที่รู้เรื่องท่านโหวจะสู่ขอคุณหนูของเจี้ยนหนิงโหวอีกบ้าง”
“เมื่อครู่นี้นายหญิงใหญ่โมโหเป็นอย่างมาก ตอนนี้คงจะซุบซิบกันทั่วทั้งจวนแล้วกระมังเจ้าคะ”
เป็นฝ่ายเข้าจู่โจมเอง หรือตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องดีกว่ากันนะ
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าจู่โจมเอง
เพราะงานแต่งครั้งนี้มีความหมายและมีความสำคัญกับจวนสกุลหลัวเป็นอย่างมาก ไม่แน่บางทีนายหญิงใหญ่อาจจะหยิบยกเอาเรื่องทดแทนพระคุณมาพูดก็เป็นได้
สืออีเหนียงสั่งกับหู่พั่วว่า “ไปตำพริกมาสักหน่อย”
*****
บรรยากาศของเรือนหลักเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหล่าบรรดาสาวใช้และสะใภ้ทุกคนล้วนยืนอยู่ในตำแหน่งที่ตนควรยืน เก็บมืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ตอนที่สืออีเหนียงวิ่งเข้าไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำนั้น ทุกคนต่างหันมาจ้องมองนางด้วยสายตาประหลาดใจด้วยความพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย สาวใช้ที่คอยเปิดม่านรีบเรียนนายหญิงใหญ่ด้วยความตื่นตระหนกว่า “คุณหนูสิบเอ็ดมาเจ้าค่ะ”
“ให้นางเข้ามา!” น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ยังคลุมเครือไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่จุกอกอยู่
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงแล้ว สืออีเหนียงก็เห็นนายหญิงใหญ่ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชานั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่น ส่วนคุณนายใหญ่นั้นกำลังยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ
“ท่านแม่!” สิ้นเสียงเรียกมารดา น้ำตาก็เริ่มเอ่อล้นไหลรินออกมา
เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นดวงตาที่บวมแดงราวกับลูกท้อของสืออีเหนียงแล้ว ก็รู้สึกกระจ่างขึ้นไม่น้อย
ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับสืออีเหนียงเลย แต่ก็ไม่เคยหลีกเลี่ยงเลยสักครั้ง สืออีเหนียงก็คงจะพอได้ยินอะไรมาไม่มากก็น้อย
สืออีเหนียงคุกเข่าลงตรงหน้านายหญิงใหญ่ “ลูกอยากออกบวชเป็นภิกษุณีเจ้าค่ะ!”
“เหลวไหล!” นายหญิงใหญ่จ้องมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่คมกริบดุจอินทรี “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
“ท่านแม่” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “คนอ่อนแอไม่อาจสู้คนเข้มแข็งได้ หากข้าออกบวช ผู้คนก็จะรู้สึกสงสารเวทนาและเห็นอกเห็นใจในวิบากกรรมครั้งนี้ของข้า แต่หากข้าไม่ออกบวช ก็จะเป็นเพียงที่น่าขบขันของชาวบ้าน ท่านแม่ ท่านยอมให้ข้าออกบวชเป็นภิกษุณีเถิดเจ้าค่ะ!”
ความหมายของนางก็คือ หากว่านางออกบวช ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของแวดวงสังคมก็จะเอนเอียงมาทางจวนสกุลหลัว บางทีเพื่อรักษาเกียรติของราชวงศ์ ทางราชวงศ์ก็อาจจะให้หน้ากับทางจวนสกุลหลัวบ้าง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สืออีเหนียงไม่ได้เป็นบุตรีแท้ๆ ของนายหญิงใหญ่ เมื่อนายหญิงใหญ่ฟังคำพูดประโยคนี้แล้ว ความหมายของเนื้อแท้ประโยคนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นางหันมาจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่คมกริบกว่าเดิม “ความหมายของเจ้าคือ…จวนสกุลหลัวไม่สามารถคุ้มกะลาหัวเจ้าได้อย่างนั้นหรือ”
สืออีเหนียงได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกเยือกเย็นขึ้นมาเป็นเท่าตัว
สามปีแล้ว นายหญิงใหญ่ไม่เคยมีความเชื่อใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว เกิดเรื่องอันใดขึ้นมา ก็มักจะคิดไปในแง่ร้ายก่อนเสมอ
พริกที่นางเอามาทารอบดวงตาเมื่อครู่ ตอนนี้ฤทธิ์เผ็ดของพริกได้หมดไปเรียบร้อย
“ท่านแม่ จวนสกุลหลัวไม่ใช่จวนสกุลหลัวของท่านพ่อ ไม่ใช่จวนสกุลหลัวของท่านแม่ ยิ่งไม่ใช่จวนสกุลหลัวของพี่ใหญ่หรือของข้า” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งแต่กลับท่วมท้นไปด้วยสติปัญญาและเหตุผล “แต่เป็นจวนสกุลหลัวของทุกคน”
นายหญิงใหญ่อึ้งไปชั่วขณะ
สืออีเหนียง ไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้กับตนมาก่อน…
“เพราะมีจวนสกุลหลัวคอยคุ้มครองหนุนหลัง ข้าจึงได้กินอิ่มนอนอุ่นอยู่เย็นเป็นสุข และได้มีโอกาสเรียนเย็บปักถักร้อยกับอาจารย์เจี่ยน ยามนี้ที่เรือนประสบพบเจอปัญหา จะให้ข้านิ่งดูดายได้อย่างไรกัน ซื่อตรงเที่ยงธรรม โปร่งใสดุจฟ้าหลังฝน ถึงจะเป็นหลักธรรมที่ตระกูลควรยืนหยัดและยึดมั่น เราไม่ต้องไปร้องขอวิงวอนจากใคร! ข้าออกบวชก็เพื่อจะประจักษ์แก่สายตาผู้คน ว่าสกุลหลัวแห่งอวี๋หังของเรา มิลุ่มหลงต่อความมั่งคั่งและยศถาบรรดาศักดิ์ มิสยบต่ออิทธิพลอำนาจข่มเหงรังแกใดๆ ทั้งสิ้น…”
นายหญิงใหญ่จ้องมองแววตาและหว่างคิ้วที่วิจิตรของสืออีเหนียง พอมานึกๆ ดูแล้ว สืออีเหนียงกำลังจะอายุครบสิบสี่ปีในเดือนห้าที่จะถึงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกบีบใจขึ้นมา น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นไหลริน
“เจ้า เจ้า…” ริมฝีปากของนายหญิงใหญ่ขยับเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
จากนั้นก็มีคนเดินออกมาจากห้องชั้นใน “น้องหญิงสิบเอ็ด เจ้าวางใจเถิด ตราบใดที่ยังมีข้า หลัวเจิ้นซิ่งอยู่ ข้าก็จะคอยดูแลปกป้องเจ้าต่อไป ไม่สิ ถึงแม้ว่าไม่มีข้า ก็ยังมีซิวเกอ และถึงแม้ว่าไม่มีซิวเกอ ก็ยังมีบุตรชายของซิวเกอ…ขอเพียงแค่จวนสกุลหลัวแห่งอวี๋หังยังอยู่ ก็จะไม่มีวันที่จะลืมคุณธรรมของน้องหญิงในครั้งนี้เลย”
สืออีเหนียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
ได้ยินมาว่าผู้ที่เดินทางออกบวช ล้วนไม่แยกแยะชายหญิง ผสมปนเปไม่แบ่งแยก แวดวงสังคมเช่นนี้ จะสามารถโอบอ้อมอารีสตรีเพศมากกว่าหรือไม่นะ
ได้ยินมาว่า ในอารามเป็นเหมือนสังคมเล็กๆ สังคมหนึ่ง นอกจากท่องบทสวดแล้ว ก็ยังให้ความสำคัญกับภิกษุและภิกษุณีที่มีความสามารถในการอ่านเขียน คงจะสามารถหาจุดยืนที่เหมาะสมกับตัวเองได้กระมัง
ได้ยินมาว่าภิกษุและภิกษุณีอาจมีโอกาสถูกเชื้อเชิญให้ไปบรรยายธรรมที่วัดอื่นอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้ ตำรา ‘เก้าแคว้นแห่งต้าโจว’ ก็คงจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก…
ทุกย่างก้าวระหว่างทางเดินกลับ สืออีเหนียงเดินอย่างโล่งอกและสบายใจอย่างที่สุด!
ตอนนี้ ขอแค่จัดแจงเรื่องของตงชิงและคนอื่นๆ ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย ตนก็จะสามารถไปชื่นชมดื่มด่ำความงามแห่งขุนเขาและสายน้ำ ไปรับรู้ถึงความรู้สึกที่อิสระโล่งใจดุจสายลมที่เบาหวิวที่แท้จริง!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นตรงมุมปาก
ควรต้องขอบคุณสวีลิ่งอี๋ที่จับเป็นคนที่มีนามว่าเจีย…อะไรสักอย่างนั่นได้!