ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 79 แผนรับมือ

ตอนที่ 79 แผนรับมือ

สืออีเหนียงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก กลับถึงห้องก็หาหนังสือ ‘เก้าแคว้นแห่งต้าโจว’ ขึ้นมานั่งอ่านที่เตียงเตาริมหน้าต่าง 

 

 

ตงชิงจึงเรียกหู่พั่วออกไปคุยข้างนอก 

 

 

รู้ว่างานแต่งไม่สำเร็จลุล่วง สืออีเหนียงก็ยังจะออกบวช ทั้งคู่จึงรู้สึกบีบหัวใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เมื่อหันไปมองทางตรงข้าม ก็เห็นป้าสวี่พาสาวใช้อีกหลายคนที่รายล้อมอยู่ กำลังนำหน้าป้าตู้คนใช้คนสนิทของไท่ฮูหยินเข้ามาพอดี 

 

 

ทั้งสองตกใจเป็นอย่างมาก ป้าตู้เองก็เห็นตงชิงและหู่พั่วพอดี จึงยิ้มทักทายพวกนาง “แม่นางทั้งสองทำไมถึงพากันมายืนอยู่ตรงนี้ คุณหนูสิบเอ็ดเล่า” 

 

 

หู่พั่วและตงชิงรีบเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพป้าตู้ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนูของเรากำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง พวกเรากลัวว่าจะเสียงดังรบกวนคุณหนู ก็เลยพากันออกมาข้างนอกเจ้าค่ะ” 

 

 

“อ๋อ!” แววตาของป้าตู้สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากไท่ฮูหยินให้มาส่งของแก่คุณหนูสิบเอ็ด รบกวนแม่นางทั้งสองช่วยเรียนคุณหนูด้วย” ป้าตู้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเกรงใจเป็นอย่างมาก 

 

 

คนสนิทข้างกายของไท่ฮูหยิน ทั้งสองจะกล้าละเลยได้อย่างไร ตงชิงจึงอาสาเป็นคนเข้าไปเรียนกับคุณหนูด้วยตัวเอง หู่พั่วเป็นคนช่วยเปิดม่านและเชิญป้าตู้เข้าเรือน 

 

 

ป้าตู้เห็นดอกไม้ในเรือน บนโต๊ะยาวประดับประดาด้วยต้นกล้วยไม้ใบเขียวสด ตกแต่งได้วิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะแอบพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียงที่สวมชุดเป้ยจื่อสีฟ้าไพลินลายดอกไม้เรียบๆ ที่ไม่เก่าและไม่ใหม่จนเกินไป นางไม่ได้แต่งหน้า ถึงแม้ว่าดวงตาจะยังแดงก่ำ แต่ใบหน้านั้นกลับดูนวลผ่องอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

นางยิ้มพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ไท่ฮูหยินบอกว่า ฝีเข็มการเย็บปักของพัดละเอียดงดงาม ไท่ฮูหยินถูกใจเป็นอย่างมาก ต้นซิ่งที่เรือนออกผลพอดี ก็เลยให้บ่าวนำมาให้คุณหนูชิมสักหน่อยเจ้าค่ะ” พูดจบก็มีสาวใช้ยกกล่องไม้เข้ามา 

 

 

หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ รับกล่องไม้ไว้ สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณความมีน้ำใจของไท่ฮูหยิน ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นป้าตู้ก็ลุกขึ้นขอตัวลากลับ 

 

 

ส่งผลของต้นซิ่งมาให้… 

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนมีลับลมคมในแอบแฝง จึงได้ให้หู่พั่วเปิดกล่องไม้ออกมาดู 

 

 

ผลซิ่งสีเขียวที่อยู่ในกล่องไม้นั้นมีขนาดใหญ่กว่าเม็ดบัวเพียงนิดเดียว แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่สุก ไม่สามารถนำมาทานได้เสียด้วยซ้ำ 

 

 

สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบสั่งหู่พั่วว่า “รีบไปฟังมาว่าป้าตู้คุยอะไรกับนายหญิงใหญ่บ้าง” 

 

 

หู่พั่วได้ยินแล้ว ก็เหมือนว่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบตรงไปหาซานหูทันที 

 

 

เพียงไม่นาน นางก็ย้อนกลับมา “คุณหนู ป้าตู้ไม่ได้มาคนเดียวเจ้าค่ะ คนที่มาด้วยกับป้าตู้คือท่านหวงโหวผู้เฒ่าของจวนหย่งชังโหว บอกว่าท่านหวงโหวผู้เฒ่าได้รับการไหว้วานจากไท่ฮูหยินให้มาทาบทามเรื่องสู่ขอ นายท่านใหญ่เองได้รับปากไปแล้ว และเป็นคนเขียนดวงวันเกิดและเวลาตกฟากของคุณหนูเองกับมือ ให้ท่านหวงโหวผู้เฒ่านำกลับไปที่จวนหย่งผิงโหวเจ้าค่ะ” 

 

 

สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ “หรือว่าคำพูดของพี่เขยห้าจะไม่เป็นความจริง” 

 

 

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” หู่พั่วส่ายหน้าปฏิเสธ “ไท่ฮูหยินรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นจึงได้ให้ป้าตู้มาหานายหญิงใหญ่ ยังบอกอีกว่า จวนสกุลสวีไม่ใช่คนที่มีนิสัยเป็นวัวลืมตีน ทรยศหักหลังต่อผู้มีบุญคุณ ทั้งสองตระกูลมั่นหมายงานแต่งครั้งนี้ไว้แล้ว จะต้องรักษาคำพูดอย่างแน่นอน ให้นายหญิงใหญ่เตรียมสินเดิมด้วยความสบายใจก็พอ รอท่านโหวกลับมาแล้วก็จะจัดงานแต่งงานให้เสร็จสรรพเรียบร้อย นายหญิงใหญ่ดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้กำลังปรึกษาหารือกับคุณนายใหญ่เรื่องการจัดเตรียมสินเดิมของคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ!” 

 

 

สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าปอด 

 

 

ก่อนหน้านี้ใช่ว่านางจะไม่เคยคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาก่อน ในเมื่อฝ่าบาทขัดขวางการผลักดันพระญาติของไทเฮาเข้าวัง ด้านหนึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงสามารถเข้าขัดขวางการนี้ได้ ส่วนอีกด้านแสดงให้เห็นถึงความอคติของฝ่าบาทที่ทรงมีต่อทางพระญาติของไทเฮารวมไปถึงการที่พระญาติของไทเฮาจะเข้าสู่แวดวงการปกครองของราชสำนัก นางคิดว่า…สวีลิ่งอี๋ไม่ได้อยู่เรือน ทางจวนสกุลสวีเองคงจะมองออกได้อย่างชัดเจน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าไท่ฮูหยินจะเป็นหญิงที่กล้าแกร่ง ไม่เพียงแต่มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังสามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาด ตอบโต้กลับไปได้อย่างทันท่วงที 

 

 

ตนประเมินจวนหย่งผิงโหวสกุลสวีต่ำไปเสียแล้ว! 

 

 

สีหน้าท่าทีของสืออีเหนียงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา 

 

 

ตงชิงนั้นดีใจเป็นอย่างมาก “ฟ้าสวรรค์เห็นใจ! ท่านโหวไม่ทำผิดต่อคุณหนูของเรา” 

 

 

นี่มันคำพูดอะไรกัน 

 

 

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น 

 

 

จวนสกุลสวีไม่ยอมผิดต่อเกียรติยศของตระกูลพวกเขาเองต่างหาก…แต่เมื่อนึกๆ ดูแล้ว ตงชิงก็เพียงแค่หวังดีต่อนางเท่านั้น จึงได้กลืนคำพูดลงคอไป 

 

 

ปินจวี๋ได้ยินแล้วก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก รีบพยักหน้าตาม “จะไม่ใช่ได้อย่างไรเล่า กว่าท่านโหวจะกลับมาก็เดือนห้า ระหว่างนี้ขออย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นมาเลย” จากนั้นก็หันไปถามหู่พั่วว่า “เจ้าว่าใช่หรือไม่” 

 

 

หู่พั่วเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก เมื่อได้ยินปินจวี๋ถามขึ้น นางก็ตอบเพียง “อืม” กลับไป จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องกัน ข้าเองก็ไม่มีความเห็นอื่น!” 

 

 

ปินจวี๋รู้สึกไม่ค่อยพอใจลึกๆ 

 

 

ตั้งแต่หู่พั่วไปโอ้อวดที่เรือนของคุณหนูสิบ นางกับหู่พั่วก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก 

 

 

แต่สืออีเหนียงสังเกตเห็นทุกอย่าง ในใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย 

 

 

***** 

 

 

“…ตอนที่บ่าวไป นางกำลังอ่านหนังสือที่ชื่อว่า ‘เก้าแคว้นแห่งต้าโจว’ อยู่เจ้าค่ะ ปกหนังสือเริ่มเป็นขุยแล้ว บ่าวคิดว่าคงจะอ่านหนังสือเล่มนั้นค่อนข้างบ่อย นางสวมชุดเป้ยจื่อสีฟ้าไพลินที่ดูไม่ใหม่แต่ก็ไม่เก่าเท่าไรนัก ดวงตาแดงก่ำเหมือนว่าเพิ่งจะร้องไห้มา แต่สีหน้าท่าทางของนางดูสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” 

 

 

ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “นึกไม่ถึงเลยว่านางอายุน้อยเพียงแค่นี้ แต่กลับมีกิริยาที่สงบนิ่งเช่นนี้ได้ ตอนแรกข้าเองก็นึกเป็นกังวลใจ ตอนนี้ดูแล้วข้าคงจะคิดมากไปเสียแล้ว” 

 

 

“จะคิดมากไปได้อย่างไรเจ้าคะ” ป้าตู้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านรักและปกป้องนาง! หากนางรู้เรื่องนี้ ก็คงจะรู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย” จากนั้นก็พูดต่อว่า “ตอนที่บ่าวไปถึง เห็นคนจวนสกุลหลัวค่อนข้างเยอะ คงเป็นเพราะรู้เรื่องนี้ ตอนที่บ่าวบอกกล่าวจุดประสงค์ที่ไปหา สีหน้าของคนจวนสกุลหลัวก็เปลี่ยนไปทันที บ่าวเองก็เป็นเหมือนท่าน เป็นห่วงและกังวลใจเรื่องคุณหนูสิบเอ็ด แต่พอได้เจอคุณหนูสิบเอ็ดแล้ว ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ไม่มีอะไรผิดแผกแปลกไปจากเดิม ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่ความสุขุมเยือกเย็นนั่น ก็เพียงพอที่จะคู่ควรกับท่านโหวแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย แววตาเผยให้เห็นถึงความปลื้มใจ “ดีแล้ว เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว หลังจากที่นางแต่งเข้ามา ก็เพียงแค่รอดูว่านางจะสามารถเป็นสะใภ้ที่ซื่อสัตย์ รักษาเกียรติและหน้าที่ของตน เป็นภรรยาที่สามารถส่งเสริมหนุนนำสามี เป็นมารดาที่สามารถอบรมสอนสั่งบุตร และสามารถเชิดชูจวนสกุลสวีของเราได้หรือไม่” พูดจบก็ได้ถามขึ้นว่า “ทางจวนสกุลหลัวว่าอย่างไรบ้าง” 

 

 

“นายหญิงใหญ่บอกว่าสองสามวันนี้จะกำหนดเรื่องงานแต่งของคุณหนูสิบเอ็ดให้เรียบร้อย ให้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง งานแต่งจะดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นแน่นอนเจ้าค่ะ” 

 

 

ไท่ฮูหยินรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ “งานแต่งของคุณหนูสิบเอ็ดมีเค้าโครงแล้วหรือ” 

 

 

ป้าตู้หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คงจะกำหนดเป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่า นายหญิงใหญ่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดมาก บ่าวเองก็ไม่ได้ถามเยอะ หรือว่าจะให้คนของเราไปฟังข่าวเจ้าคะ” 

 

 

“ไม่ต้อง” ไท่ฮูหยินส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย “นางแผนเยอะลูกเล่นแพรวพราว เราไม่ต้องไปยุ่มย่ามเรื่องเล็กเรื่องน้อยพวกนี้ดีกว่า” ทั้งสองก็ได้พากันพูดคุยถึงเรื่องงานแต่งของสวีลิ่งอี๋ขึ้นมา “กำหนดวันเร่งรัดเช่นนี้ แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีจะให้ขาดไม่ได้ ให้สวีลิ่งหนิงไปจัดการเก็บกวาดเรือนที่ลานสวนเล็กทางทิศตะวันออกอีกรอบ สร้างเรือนใหม่ขึ้น ส่วนเครื่องเรือนที่ใช้ในบ้านก็ไม่ต้องให้ทางจวนสกุลหลัวตระเตรียมแล้ว หากเร่งรีบเกินไปก็เลือกซื้อของดีๆ มิได้หรอก ข้าจำได้ว่าสินเดิมของข้ายังมีไม้พยุงเนื้อแดงอยู่ มอบให้พวกเขาก็แล้วกัน! ถึงเวลานั้นเจ้าก็ดูหน่อยว่าที่ลานสวนเล็กควรจะปลูกดอกไม้อะไรบ้าง ตอนนี้ยังไม่เข้าสู่ฤดูร้อน รีบๆ จัดการให้เสร็จสรรพ ข้าได้ยินมาว่าตอนที่คุณหนูห้าแต่งงานออกเรือน สาวใช้ที่ตามไปปรนนิบัติมีทั้งหมดสี่คน คนติดตามอีกสองคน หากเป็นเช่นนี้ ตอนที่สืออีเหนียงแต่งเข้ามาเกรงว่าคงจะไม่พอ บ่าวรับใช้เก่าของหยวนเหนียง หากนางจะเก็บไว้ก็ให้นางเก็บ หากนางไม่อยากเก็บก็ให้ย้ายไปเป็นบ่าวรับใช้ที่เรือนเดิม เจ้าคัดเลือกสาวใช้ที่ฉลาดหัวไวมาจำนวนหนึ่ง แล้วก็แม่เฒ่าหน้าเตาด้วย…” ทุกอย่างถูกกำชับอย่างละเอียดไม่มีตกหล่น 

 

 

***** 

 

 

ทางฝั่งนายท่านใหญ่ก็ได้ให้คนไปเชื้อเชิญใต้เท้าหวังมา ได้ยินมาว่าทางจวนสกุลหวังจะจัดการเรื่องงานแต่งให้เสร็จก่อนล่วงหน้า บวกกับข่าวลือสองสามวันมานี้ของทางจวนหย่งผิงโหว เขาเองค่อนข้างกระจ่างเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้ตกลงกำหนดวันมงคลกับนายท่านใหญ่เป็นวันที่สิบสองเดือนห้าด้วยความพึงพอใจ วันรับตัวเจ้าสาวถูกกำหนดเป็นวันที่ยี่สิบเดือนห้า 

 

 

นายหญิงใหญ่พึงพอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ส่วนนายท่านใหญ่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ “คงทำให้สือเหนียงลำบากใจแล้ว!” 

 

 

นายหญิงใหญ่เม้มปากเบาๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย จากนั้นก็ปรึกษาหารือเรื่องสินเดิมของทั้งสองกับนายท่านใหญ่ต่อ 

 

 

“ในส่วนของสือเหนียง ข้าจะให้นางมากกว่าอู่เหนียงและสืออีเหนียง ถึงแม้ว่าจะยี่สิบยกเท่าๆ กัน แต่คุณภาพสิ่งของค่อนข้างดีกว่าหน่อย แต่งเข้าจวนสกุลหวังไป จะได้ไม่ต้องน้อยหน้าใครเขา!” 

 

 

นายท่านใหญ่คร้านจะพูดคุยเรื่องเล็กเรื่องน้อยพวกนี้กับนายหญิงใหญ่ จึงได้พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ยกให้เจ้าตัดสินใจเอง ขอแค่ไม่ต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านก็พอ!” 

 

 

นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ท่านพี่วางใจเถิด ไม่ให้ผู้อื่นได้ติฉินนินทาอย่างแน่นอน!” 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าวันรุ่งขึ้น พ่อบ้านจวนสกุลหวังที่มารับหนังสือรายการสินสอดทองหมั้นของฝ่ายหญิงเพื่อนำไปเขียนหนังสือสมรสที่สำนักปฏิบัติงานราชการพร้อมกับใต้เท้าหวังนั้น จู่ๆ ก็พูดขึ้นพึมพำเสียงเบาว่า “มีแค่เรือนหนึ่งหลังกับที่ดินหนึ่งร้อยหมู่[1]เองหรือ!” น้ำเสียงดูหมิ่นดูแคลนเป็นอย่างมาก 

 

 

นายท่านใหญ่ได้ยินอย่างชัดเจน โมโหจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เขาพูดขึ้นว่า “บ้านข้าไม่ได้มีบุตรสาวแค่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้เอาเปรียบผู้ใด และก็ไม่สามารถให้คนใดคนหนึ่งมากกว่าเพียงเพื่อจะเอาหน้า หากพวกท่านรู้สึกไม่เป็นที่พึงพอใจ เช่นนั้นก็คืนหนังสือดวงวันเกิดและเวลาตกฟากของบุตรสาวข้ากลับมาเถิด!” 

 

 

คนจวนสกุลหวังนึกไม่ถึงเลยว่านายท่านใหญ่จะแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อถึงเพียงนี้ จึงค่อนข้างทำตัวไม่ถูก 

 

 

ใต้เท้าหวังได้ยินแล้วก็สีหน้าไม่ดีเป็นอย่างมาก เขาหันไปจ้องพ่อบ้านคนนั้นตาเขม็ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ข้าเป็นพ่อสื่อหรือว่าเจ้าเป็นกันแน่!” จากนั้นก็ได้อธิบายต่ออีกว่า “ที่ดินเหล่านี้ของคุณหนูสกุลหลัวคือที่ดินที่ใกล้กับจวนที่อวี๋หัง ไม่ใช่ที่ดินที่ใกล้กับจวนที่เป่าติ้ง พูดจาซี้ซั้ว ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว!” จึงค่อยข่มพ่อบ้านของสกุลหวังคนนั้นไปได้ 

 

 

สืออีเหนียงรู้เรื่องนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลดใจ 

 

 

อวี๋หังผู้คนค่อนข้างเยอะ แต่ที่ดินน้อย มีที่ดินสักยี่สิบ สามสิบหมู่ก็ถือว่ามีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยไม่น้อยแล้ว ไม่เหมือนกับทางตอนเหนือ ที่หากไม่มีที่ดินนับพันหมู่ขึ้นไปก็ถือว่าอยู่ยากแล้ว ดูอย่างจวนสกุลหวัง ไม่เพียงแค่ความรอบรู้น้อย แวดวงสังคมคับแคบ แต่ยังขาดความสุขุมเยือกเย็นอีกด้วย ไม่เหมือนเฉียนหมิง ที่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าสิ่งที่จวนสกุลหลัวให้มานั้นคือสิ่งใด หากเปรียบเทียบกันแล้ว เขามีข้อดีมากกว่าเสียด้วยซ้ำ 

 

 

สืออีเหนียงยังคงไม่ละทิ้งความสุขในระหว่างที่มีความทุกข์อยู่ นางครุ่นคิด 

 

 

จะว่าไปแล้ว เรื่องร้อนรุ่มกลุ้มใจของนางก็ไม่ใช่จะน้อย 

 

 

ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ งานแต่งงานอาจจะมีอุปสรรคบ้าง แต่จวนสกุลสวีกล้าออกมาทำเช่นนี้ แสดงว่าก็พยายามรักษาโอกาสไม่ใช่น้อย 

 

 

พอนึกถึงไท่ฮูหยิน…สืออีเหนียงพลันมีความรู้สึกเลือนรางบางอย่าง เหมือนว่าสุดท้ายแล้วตนก็จะต้องแต่งงานเข้าจวนสกุลสวีอยู่ดี! 

 

 

แต่นางไม่เคยจะใช้ชีวิตโดยการหวังพึ่งโชคลาภ นางจึงจะต้องคิดพิจารณาไตร่ตรองถึงคนรอบข้างของตนล่วงหน้า 

 

 

ตอนที่อู่เหนียงแต่งงานออกเรือน นอกจากคนติดตามสองคนแล้ว คนปรนนิบัติรับใช้ข้างกายก็พาไปด้วยจนหมด สองวันมานี้คุณนายใหญ่ได้ซื้อตัวสาวใช้มาใหม่สองคน คนติดตามอีกสองคน เห็นบอกว่าเตรียมไว้ให้สือเหนียง หากเป็นเช่นนี้ ตนก็คงจะต้องพาสาวใช้ไปด้วยสี่คนและคนติดตามอีกสองคน อย่างไรเสีย คนจวนสกุลหลัวก็คงจะไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด 

 

 

แต่จะพาใครไปนั้นก็เป็นปัญหาอีกเรื่อง! 

 

 

สืออีเหนียงจงใจหันไปถามหู่พั่วว่า “…เจ้าว่า พวกเราควรจะทำอย่างไรดี” 

 

 

ใบหน้าของหู่พั่วเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ระมัดระวังและดูจริงจังเป็นอย่างมาก 

 

 

นางรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็เหมือนกำลังยืนอยู่กลางสี่แยกใหญ่ และนางเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถมานานนับปี เพื่อที่จะให้สืออีเหนียงมีโอกาสสักครั้ง 

 

 

ถึงแม้ว่าตนจะเป็นคนของนายหญิงใหญ่ แต่คุณหนูสิบเอ็ดจะต้องพาตนไปที่จวนสกุลสวีด้วยอย่างแน่นอน แต่หลังจากที่พาไปแล้วเล่า นายหญิงใหญ่จะเอาเรื่องกับคุณหนูสิบเอ็ดเพียงแค่สาวใช้คนเดียวน่ะหรือ อีกอย่าง นางก็คอยติดตามสังเกตคุณหนูสิบเอ็ดมาโดยตลอด จึงรู้ว่าคุณหนูสิบเอ็ดไม่ได้เป็นเหมือนที่ทุกคนพูดกัน นางทั้งอ่อนโยนและสุขุม ความอ่อนโยนของนางท่วมท้นไปด้วยความเกรงใจและการรักษาระยะห่าง ความสุขุมของนางซุกซ่อนไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและความอดทนอดกลั้น และสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกบีบใจที่สุดก็คือ คุณหนูสิบเอ็ดไม่เคยบ่นแค้นกล่าวโทษสิ่งใดเลย 

 

 

ไม่ว่านางจะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม หรือว่าได้ยินข่าวลือที่แสนจะเหลือทน นางก็มักจะนิ่งสงบดุจผิวน้ำ ไม่เดือดไม่ร้อน จะว่าไปแล้ว คุณหนูสิบเอ็ดเพิ่งจะเป็นเด็กสาวที่อายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น! 

 

 

ทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ ลึกๆ ในใจของหู่พั่วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา 

 

 

ถ้าหากว่าคุณหนูสิบเอ็ดโมโหร้ายขึ้นมา แล้วจะพลิกสถานการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไรเล่า 

 

 

เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัว จู่ๆ นางก็พูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า “ปีนี้พี่ตงชิงก็อายุยี่สิบปีแล้ว ที่บ้านก็เรื่องค่อนข้างเยอะ บางทีนายหญิงใหญ่อาจนึกไม่ถึง หากท่านไปแล้ว เกรงว่าคงจะถูกจับแต่งงานกับบ่าวรับใช้ไปง่ายๆ เจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดทุกอย่างที่ตนคิดได้ออกมาจนหมด “ที่แน่ๆ จะต้องพาพี่ตงชิงไปด้วย ปินจวี๋เองก็ปรนนิบัติรับใช้คุณหนูด้วยความภักดี จู๋เซียงถึงแม้จะพูดน้อยไปหน่อย แต่เป็นคนที่อี๋เหนียงแนะนำมา บ่าวเองว่าก็ดีไม่น้อย ส่วนชิวจวี๋ถึงแม้ว่านางจะปราดเปรียวว่องไว แต่นางเป็นบุตรของบ่าวรับใช้ หากเราไปจวนสกุลสวีแล้ว เรื่องบางเรื่อง ใช่ว่านางจะช่วยเราสืบข่าวได้” 

 

 

ความหมายก็คือตงชิง ปินจวี๋และจู๋เซียงล้วนแล้วแต่ซื่อสัตย์ภักดีต่อนาง ส่วนชิวจวี๋เป็นเพราะก่อนหน้านี้ทั้งบิดาและมารดาของนางอยู่จวนสกุลหลัวมานาน สามารถช่วยนางสืบข่าวภายในได้ ตอนนี้หากต้องไปยังจวนสกุลสวีแล้ว นางก็จะไม่มีข้อได้เปรียบอีก หากว่าต้องตัดคนใดคนหนึ่งในห้าคนนี้ออก ก็คงต้องเป็นชิวจวี๋ 

 

 

ลึกซึ้งมีชั้นเชิงเป็นอย่างมาก 

 

 

แต่ทว่า เหตุผลหลักที่นางต้องการเก็บชิวจวี๋ไว้ก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลานางไม่อยากให้ชิวจวี๋ลำบากใจและตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะไม่ว่าอย่างไร นางเองก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนไปยังจวนจวนสกุลสวีแล้วจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาบ้าง และที่ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ก็คือนายหญิงใหญ่จะต้องการให้ตนทำอะไรบ้าง ถ้าหากว่าเพียงแค่ต้องการปกป้องจุนเกอ นั่นก็เป็นสิ่งที่ตนสมควรจะทำอยู่แล้ว กลัวก็แต่ว่านายหญิงใหญ่จะมีความคิดอย่างอื่นเสียมากกว่า… 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] หมู่ หน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 หมู่ เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท