ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 80 สือเหนียง (ต้น)

ตอนที่ 80 สือเหนียง (ต้น)

หลังจากที่ทานบ๊ะจ่างในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปเพียงไม่นาน จวนสกุลหวังก็ได้ส่งของกำนัลมา 

 

 

ผ้า สินสอดทองหมั้น ห่าน สุรา ใบชา รวมทั้งหมดสามสิบหกยก ดึงดูดให้ผู้คนพากันออกมามุงดู นายหญิงใหญ่รู้สึกมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก จึงส่งมอบถุงเท้า รองเท้า และเสื้อผ้ากลับไปให้บิดามารดาของฝ่ายชาย รวมไปถึงตัวเจ้าบ่าวเองอย่างท่วมท้น 

 

 

นายหญิงสองรีบเดินทางจากซานตงเพื่อมาร่วมดื่มสุรา นายหญิงสามก็ได้แต่ทอดถอนใจระบายกับนายหญิงสองว่า “…ซิ่งเกอเองเป็นราชบัณฑิตหลวง เขยคนหนึ่งเป็นบัณฑิตจู่เหริน ส่วนเขยอีกคนเป็นทายาทของจวนกั๋วกง พี่สะใภ้ใหญ่วาสนาดีจริงๆ” 

 

 

นายหญิงสองได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา นางพูดขึ้นว่า “คู่หมั้นชีเหนียงของเราก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ที่ดินเก้าในสิบของเกาชิงล้วนเป็นของจวนสกุลจูทั้งนั้น ร้านค้าเจ็ดในสิบที่เกาชิงก็เป็นของจวนสกุลจู ทางแม่สามีถึงแม้ว่าจะเป็นมารดาของคุณชายจู แต่เป็นอนุที่ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นภรรยาเอก พูดจาอ่อนน้อม ทางสามีก็ไม่มีน้องสาว เป็นตระกูลที่หาได้ยากอย่างยิ่ง” 

 

 

นายหญิงสามเม้มปากเบาๆ 

 

 

บ้านนายท่านสองขาดการมองเห็นที่กว้างไกล เงินทองนั้นเป็นของตาย แต่สิ่งที่มีชีวิตนั้นคือคนต่างหาก ตระกูลเช่นพวกเขา หากไม่มีราชบัณฑิตจิ้นซื่อสักคน เกรงว่าถึงแม้จะมีกิจการมากมาย สุดท้ายก็อาจจะค่อยๆ ตกอับแร้นแค้นจนได้ 

 

 

แต่นายหญิงสามรู้จักสะใภ้สองของตนเป็นอย่างดี ว่านางนั้นหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก หากพูดเรื่องพวกนี้ออกไป นางจะถือโทษโกรธเอาได้ อีกอย่างเรื่องงานแต่งของชีเหนียงก็ถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

 

นางจึงยิ้มพร้อมกับเชื้อเชิญนายหญิงสองไปดูสือเหนียงด้วยกัน “…ได้ยินมาว่านางไม่ยอมเจอใครเลย! สตรีโตขึ้นเปลี่ยนแปลงสิบแปดแบบ คนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นนาง ถึงเวลาก็รู้จักเขินอายขึ้นมาได้” 

 

 

นายหญิงสองยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงพากันเข้าไปทักทายนายหญิงใหญ่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการต้อนรับแขกอย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็ไปที่เรือนหลังพร้อมนายหญิงสาม 

 

 

ระหว่างทาง นางได้หันไปถามนายหญิงสามเสียงเบาว่า “เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกถามพี่สะใภ้ใหญ่ตรงๆ ได้ยินมาว่าสืออีเหนียงจะแต่งงานกับท่านโหว เป็นเรื่องจริงหรือไม่” 

 

 

“แม้แต่ท่านเองก็ได้ยินข่าวคราว!” นี่ก็ถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย 

 

 

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” นายหญิงสองชะงักฝีเท้าลง หันมาคุยกับนายหญิงสามพลางเดินไปตามระเบียงทางเดิน “เหตุใดถึงไม่มีใครบอกข้าสักคำ ข้าได้ยินเรื่องนี้จากนายท่านบ้านข้ามาอีกทีเสียด้วยซ้ำ เห็นบอกว่าไทเฮาทรงมีพระประสงค์ให้คุณหนูใหญ่จวนสกุลหยางของเจี้ยนหนิงโหวแต่งงานกับท่านโหว แต่สุดท้ายคนจวนสกุลสวีกลับพูดว่าได้หมั้นหมายกับคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลเราตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนนั้นนายท่านของข้าร้อนใจเป็นอย่างมาก ไปๆ มาๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาตกบนหัวตระกูลเราได้ กลัวว่าตระกูลของเราจะตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องนี้ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนจดหมายกลับมาไถ่ถามเรื่องนี้กับพี่เขยใหญ่ ต่อมาก็ได้ยินมาอีกทีว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้ ว่ากันว่าไทเฮาทรงมีพระประสงค์ให้คุณหนูใหญ่สกุลหยางของเจี้ยนหนิงโหวแต่งงานกับคุณชายน้อยสามของจงซานโหวสกุลถัง เรื่องตาลปัตรกลับไปกลับมา เชื่อไม่ได้สักอย่าง นายท่านยังได้กำชับให้ข้ามาถามพี่สะใภ้ใหญ่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!” 

 

 

นายหญิงสามจึงเล่าเรื่องราวที่ตนได้ยินมาให้นายหญิงสองฟัง “…เห็นบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลหยางของเจี้ยนหนิงโหวอายุไม่น้อยแล้ว กลัวว่าจะหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ไทเฮาจึงมีพระประสงค์นี้ขึ้นมา ต้องการให้จวนสกุลสวีมาเป็นทองแผ่นเดียวกันกับจวนสกุลหยาง ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร พอฝ่าบาททรงทราบเรื่องแล้ว ก็ทรงตรัสว่าถึงแม้คุณหนูใหญ่สกุลหยางจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ไม่ควรต้องถึงขั้นแต่งงานมาเป็นภรรยาคนถัดไป จึงได้รับสั่งให้ทางขุนนางฝ่ายในช่วยสอดส่องมองหา ทางขุนนางฝ่ายในจึงได้แนะนำคุณชายน้อยสามของจงซานโหวจวนสกุลถัง ถังเส่าหวา ฝ่าบาททรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงพระราชทานงานอภิเษกสมรสในตอนนั้นเลย ตอนแรกคนที่หมายปองนั้นเป็นท่านโหว แต่ต่อมาก็จะต้องแต่งเข้าจวนสกุลถัง เจี้ยนหนิงโหวจึงจงใจปล่อยข่าวโคมลอยนี้ออกมา ว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!” 

 

 

“ที่แท้แล้วเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ฉับพลัน นายหญิงสองก็เข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจว่า “แล้วเรื่องสืออีเหนียงของเรากับท่านโหวล่ะ…” 

 

 

นายหญิงสามยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ข้าเคยถามพี่สะใภ้ใหญ่ตอนที่มาส่งมอบของขวัญในวันเทศกาลบ๊ะจ่าง พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า เพราะมีเรื่องของเจี้ยนหนิงโหวมาคั่น จึงไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ทว่าได้ตกลงกับทางจวนสกุลสวีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันที่ยี่สิบหกเดือนห้าหมั้นหมาย ถึงเวลานั้นค่อยมากำหนดวันแต่งงานอีกที” 

 

 

นายหญิงสองอึ้งไปชั่วขณะ “เช่นนี้ ท่านโหวก็จะได้เป็นบุตรเขยของบ้านนายท่านใหญ่อีกรอบ!!” น้ำเสียงค่อนข้างสลดใจเล็กน้อย 

 

 

นายหญิงสามจึงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าเวลาเจอท่านโหวจะต้องเรียกว่าท่านเขยใหญ่หรือว่าเรียกท่านเขยสิบเอ็ดกัน” 

 

 

นายหญิงสองไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดนี้ตลกขบขัน จึงเออออตามน้ำไปสองสามประโยค จากนั้นก็ตรงไปยังเรือนปีกทิศตะวันตกพร้อมกับนายหญิงสาม 

 

 

ในห้องของสือเหนียงนั้นเงียบสงัด มีเพียงสาวใช้อิ๋นผิงและสาวใช้อีกคนที่กำลังช่วยกันเก็บข้าวของอย่างเบามือ เมื่อเห็นนายหญิงสองและนายหญิงสาม นางก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับรีบออกมาต้อนรับ ส่วนสือเหนียงที่สวมชุดเป้ยจื่อแบบธรรมดาสีแดงทับทิม กำลังเอนตัวนอนอ่านหนังสือบนเตียง กลับพยักหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

 

 

ทุกคนในเรือนต่างรู้นิสัยใจคอที่แปลกประหลาดของนางเป็นอย่างดี จึงไม่ได้สนใจอะไรมาก นายหญิงสองได้ดึงมือสือเหนียงมาคุยอยู่ครู่ใหญ่ “…ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะกำหนดวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใครจะไปรู้ว่าจวนสกุลจูจู่ๆ ก็ทำเหมือนว่าชีเหนียงของเราจะหนีไป แม่สื่อมาเยี่ยมที่เรือนไม่เว้นแต่ละวัน จนสุดท้ายข้าก็เลยจนปัญญา ยอมตกลงกับทางนั้นอย่างจนใจ หลังจากกลับไปแล้วก็ได้ปรึกษาหารือ กำหนดและจัดการทุกอย่างจนเสร็จสิ้นเรียบร้อย” 

 

 

นายหญิงสามได้ยินแล้วจึงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรือนมีหนึ่งบุตรี พันบุรุษหมายปอง นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี” 

 

 

นายหญิงสองถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “ตอนนั้นข้าจนปัญญาจริงๆ” จากนั้นก็หันไปพูดกับสือเหนียงว่า “พี่หญิงเจ็ดของเจ้ากำลังเร่งมือเย็บปักถักร้อย ก็เลยไม่ว่างมา นางฝากให้ข้านำหมอนที่นางปักเองกับมือคู่หนึ่งมาเป็นของขวัญอวยพรให้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจ” 

 

 

สือเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า “ข้าไม่ได้ยินมาก่อนว่าคนเราจะเร่งมือเย็บปักถักร้อยจนไม่มีแม้แต่เวลาจะส่งญาติแต่งงานออกเรือน” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันประชดประชัน 

 

 

เพราะเป็นสตรีที่กำลังจะแต่งงานออกเรือน จึงไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนอย่างอิสระเสรีได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าสือเหนียงจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ตนก็เป็นคนที่กำลังจะแต่งงานออกเรือนแล้วแท้ๆ แม้แต่กฎเกณฑ์พวกนี้ก็ไม่รู้บ้างเลยหรืออย่างไรกัน 

 

 

นายหญิงสองโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด นางดีดตัวลุกขึ้นทันควัน “ชีเหนียงยังฝากข้าส่งจดหมายมาให้สืออีเหนียงด้วย” พูดจบก็ตรงไปหาสืออีเหนียงทันที 

 

 

สืออีเหนียงสวมชุดเป้ยจื่อธรรมดาสีเขียวทะเลสาบ กำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง เมื่อเห็นอาสะใภ้ทั้งสองมา ก็รีบออกมาต้อนรับพร้อมกับเชื้อเชิญทั้งสองไปนั่งที่เตียงเตา จากนั้นก็หันไปสั่งหู่พั่วให้ไปชงชาหลงจิ่งอย่างดีมา 

 

 

“เหตุใดพี่หญิงเจ็ดถึงไม่มาพร้อมท่านล่ะเจ้าคะ” 

 

 

นายหญิงสองจึงได้บอกเหตุผลที่ชีเหนียงไม่สามารถมาให้นางฟัง 

 

 

สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “…ถึงยามนั้นจะต้องไปดูพี่หญิงเจ็ดให้ได้” 

 

 

นายหญิงสองได้ยินแล้วก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย 

 

 

ทั้งสามพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ นายหญิงสองจึงได้มอบจดหมายให้กับสืออีเหนียง จากนั้นก็กลับไปที่เรือนหลักพร้อมนายหญิงสาม 

 

 

สืออีเหนียงเปิดจดหมายออกมาดู ก็เห็นว่าชีเหนียงนั้นขอให้นางช่วยทำชุดจื๋อตัวแบบซ้ายทับขวาของบุรุษให้สองชุด ยังบอกอีกว่า คณะเย็บปักถักร้อยของซานตงโง่เขลา ทำมากี่ชุดก็ไม่เป็นที่พอใจเสียที นึกไปนึกมาก็เหลือแค่สืออีเหนียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะขอร้องได้ 

 

 

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น 

 

 

ชีเหนียงคงอยากจะขอให้ตนช่วยทำชุดให้กับคุณชายจู เพื่อเป็นของขวัญตอบแทนให้กับคุณชายจูกระมัง 

 

 

มองตัวหนังสือในจดหมายที่ท่วมท้นไปด้วยความสุขของชีเหนียง สืออีเหนียงก็พลอยรู้สึกมีความสุขไปด้วย 

 

 

ตอนที่อู่เหนียงแต่งงานออกเรือน ในเรือนครึกครื้นแค่ไหนก็ไม่ต้องพูดแล้ว อู่เหนียงออกจะนั่งไม่ติดและทำตัวไม่ถูก นางมักจะแสดงสีหน้าที่เขินอายออกมาตลอด สีหน้าตื่นเต้นดีใจที่กำลังรอคอยแต่งงานออกเรือนของนาง พลอยทำให้ผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขไปด้วย แต่พอมาถึงสือเหนียง นอกจากจะไม่มีความตื่นเต้นหรือดีอกดีใจของเจ้าสาวมือใหม่แล้ว สิ่งที่นางแสดงออกมานั้นราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับนางทั้งสิ้นอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ซื้อตัวสาวใช้มาให้นางเลือก นางไม่แม้แต่จะชายตามอง จ้างคนให้มาช่วยนางทำชุดใหม่ นางก็ไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว เอาแต่นอนอ่านหนังสือ เชิญช่างให้มาช่วยนางทำเครื่องประดับ นางก็ตอบไปคำเดียวว่า “แล้วแต่” จากนั้นก็ปิดประตูใส่ช่างที่มาจากร้านทำเครื่องประดับมงคลเก่าแก่ไว้ข้างนอก 

 

 

นายหญิงใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการเชื้อเชิญเหล่าบรรดาแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย ก็ไม่ควรจะให้นายหญิงใหญ่ต้องลงมือจัดการเองทุกเรื่องหรอกกระมัง 

 

 

ป้าสวี่จนปัญญา สุดท้ายจึงเป็นคนไปเลือกสาวใช้ให้นางแทน จากนั้นก็ไปเอาชุดเก่าของนางมาวัดขนาดเอง แล้วก็เลือกแบบและลายของเครื่องประดับแทนนางด้วย 

 

 

เมื่อของถูกส่งมาตรงหน้าสือเหนียง นางพูดขึ้นคำเดียวว่า “น่าเกลียดเสียไม่มี!” ทำเอาป้าสวี่ที่ในตอนแรกยังยิ้มแย้มอยู่นั้นก็โมโหจนเส้นเลือดปูดไปหมด พลอยทำให้คนที่มาช่วยนางตระเตรียมงานแต่งก็รู้สึกถอดใจไปตามๆ กัน 

 

 

เมื่อถึงวันที่นางจะแต่งงานออกเรือน นางก็นอนจนสายไม่ยอมตื่น ป้าสวี่ไม่มีเวลาจะมาสนใจอะไรมากมาย จึงฝืนดึงสือเหนียงให้ลุกขึ้น 

 

 

สือเหนียงให้ผู้อื่นช่วยหวีผมและสวมชุดเจ้าสาวด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย จากนั้นก็กลับไปอ่านหนังสือบนเตียงเหมือนเดิม 

 

 

ป้าสวี่จึงพูดเกลี้ยกล่อมนางว่า “ประเดี๋ยวค่อยดูนะเจ้าคะ” 

 

 

นางจึงหันไปจ้องป้าสวี่ตาเขม็งด้วยแววตาที่เยือกเย็น “เกี้ยวเจ้าสาวยังไม่มามิใช่หรือ เจ้าจะรีบร้อนอะไรนักหนา” 

 

 

ป้าสวี่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

 

อู่เหนียงที่มาอยู่เป็นเพื่อนสือเหนียงอดไม่ได้ที่จะไปดึงมือของสืออีเหนียง “นางพยายามจะทำตัวเป็นผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ดูท่าแล้ว หากเราไม่ช่วยให้นางได้สมดังปรารถนาก็คงจะไม่ได้แล้วกระมัง!” 

 

 

ค่ำคืนที่ผ่านมา อู่เหนียงตั้งใจจะไปอวยพรและแสดงความยินดีกับสือเหนียงโดยเฉพาะ แต่สือเหนียงกลับปิดประตูแน่น ไม่ว่าอู่เหนียงจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ 

 

 

ในใจนางคงยังไม่ลืมเรื่องเมื่อคืนนี้กระมัง! 

 

 

สืออีเหนียงจึงพาอู่เหนียงไปยังห้องของตนด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน นิสัยใจคอของนางเป็นเช่นไร พี่หญิงห้ายังไม่กระจ่างอีกหรือ” 

 

 

เมื่ออู่เหนียงได้รับการปลอบประโลม ความโกรธของนางจึงทุเลาลงไปบ้าง 

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ขบวนแห่เกี้ยวรับเจ้าสาวของจวนสกุลหวังก็ได้มาถึง 

 

 

สืออีเหนียงเห็นสีหน้าที่ค่อนข้างประหลาดใจของอู่เหนียง จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หญิงห้าออกไปดูเถิดเจ้าค่ะ กลับมาแล้วค่อยมาเล่าให้ข้าฟัง” 

 

 

ตอนนี้นางเป็นหญิงที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว หากเปรียบเทียบกับสืออีเหนียง ถือว่านางนั้นมีอิสระเยอะกว่ามาก 

 

 

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เจ้าอยู่ตรงนี้คนเดียวจะเป็นไรหรือไม่” 

 

 

“ข้าจะเป็นอะไรได้เล่า” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สาวใช้เต็มเรือนไปหมด ท่านยังจะกลัวว่าข้าจะหิวข้าวหรืออย่างไรกัน!” 

 

 

อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้น ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอู่เหนียงก็ได้ไปยังเรือนหลัก 

 

 

เจ้าบ่าวเพิ่งจะเปิดประตูใหญ่ของจวนสกุลหลัวได้ หลัวเจิ้นซิ่ง หลัวเจิ้นต๋าและคนอื่นๆ ก็พากันถอยไปยังประตูฉุยฮวา เตรียมพร้อมวางมาดข่มขวัญบุตรเขย 

 

 

เมื่อเฉียนหมิงเห็นอู่เหนียง เขาก็ยิ้มพร้อมกับรีบเดินมารับ 

 

 

“เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนน้องหญิงสิบหรือ” 

 

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยของสามี ใบหน้าของอู่เหนียงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นางมีบรรดาเฉวียนฝู[1]ฮูหยินและสี่ผัว[2]ทั้งหลายรายล้อมอยู่ ข้าก็เลยออกมาดูความครึกครื้นเสียหน่อย” 

 

 

เฉียนหมิงก็ได้กำชับนางว่า “เจ้าขึ้นไปยืนบนขั้นบันไดของเรือนหลักดีกว่า เดี๋ยวกลุ่มคนที่จะมารับตัวเจ้าสาวจะเบียดเจ้าเอาได้” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” อู่เหนียงตอบกลับ ใบหน้าแดงระเรื่อ 

 

 

อวี๋อี๋ชิงจู่ๆ ก็หันมาแซวเฉียนหมิงว่า “ท่านไปยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าบรรดาหญิงวัยกลางคนทำไมเล่า รีบๆ มาช่วยประคองบันไดเร็วเข้า!” 

 

 

ทุกคนที่อยู่ในลานสวนต่างพากันหันมามอง 

 

 

อู่เหนียงอายจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด 

 

 

ถึงแม้ว่าเฉียนหมิงจะทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก แต่เขาก็รีบตั้งสติกลับมาสุขุมได้อย่างรวดเร็ว “วันนี้เป็นวันที่บุตรเขยใหม่มา พี่เขยสี่ทำไมถึงเอาแต่จับข้าไม่ยอมปล่อยล่ะขอรับ!” 

 

 

ทุกคนได้ยินแล้วก็พากันหัวเราะเสียงดัง 

 

 

จนกระทั่งมีคนพูดขึ้นว่า “คุณชายหวังเป็นบุตรเขยใหม่ ตัวท่านเองก็เป็นบุตรเขยใหม่เช่นกัน” 

 

 

ผู้คนต่างพากันหัวเราะกันยกใหญ่อีกครั้ง 

 

 

ด้านนอกก็มีคนเคาะประตูเสียงดังลั่น “รีบเปิดประตู รีบเปิดประตูเร็วเข้า อย่าชักช้าให้เสียฤกษ์เสียยาม” 

 

 

หลัวเจิ้นซิ่งกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ หลัวเจิ้นไคก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของเขา จากนั้นก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วตะโกนผ่านบานประตูออกไปว่า “จะให้เปิดประตูก็ได้ ที่ข้ามีปริศนาอยู่สิบข้อ หากทายถูกแล้วก็เข้ามาได้ แต่หากว่าทายไม่ถูกก็ห้ามเข้ามา” พูดจบเขาก็เริ่มอ่านปริศนาที่หนึ่ง “คนขาดศรัทธาก็ไม่อาจยืนหยัด” 

 

 

ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น จากนั้นก็มีคนตอบกลับมาว่า “วาจา” 

 

 

“ทายอีกหนึ่งตัวอักษร ทอง ไม้ น้ำและไฟ” หลัวเจิ้นไคตะโกนถามด้วยความรู้สึกไม่พอใจ 

 

 

“คันดิน!” 

 

 

“ด้านหนึ่งสีแดง ด้านหนึ่งสีเขียว ด้านหนึ่งชอบลม ส่วนอีกด้านชอบฝน” 

 

 

“ฤดูใบไม้ผลิ!” 

 

 

เพียงไม่นาน ปริศนาทั้งสิบก็ถูกทายจนครบ 

 

 

ด้านนอกก็มีเสียงคนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังจะไม่เปิดประตูอีก” น้ำเสียงค่อนข้างเย่อหยิ่งเอาเรื่อง 

 

 

เพราะจวนสกุลหวังสามารถทายปริศนาได้หมดทุกข้อ หลัวเจิ้นไคที่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟกระโดดเป็นกบไม่หยุดตั้งแต่แรก ฟังน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามที่พูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เขาก็โมโหจนแทบจะกระโดดเสียด้วยซ้ำ 

 

 

หลัวเจิ้นอวี้ที่ปกติคอยยืนอยู่ด้านหลังของเขามาโดยตลอด จู่ๆ ก็เดินออกไปข้างหน้า จากนั้นก็ผลักพี่ชายของเขาออก แล้วจึงตะโกนไปทางนอกประตูว่า “หากพวกท่านทายข้อนี้ถูก พวกข้าก็จะยอมเปิดประตูให้” ไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตอบกลับ เขาก็ได้พูดต่อไปว่า “อันเล็กอันน้อย เสื้อชั้นนอกเป็นขน ถอดเสื้อชั้นนอกออกแล้วก็จะเผยให้เห็นชุดเผาสีม่วง ในชุดเผามีขนแกะแดงปกคลุมอยู่ ในขนแกะแดงมีทารกน้อยนอนอยู่ข้างใน หากพวกท่านทายข้อนี้ถูก พวกเราก็จะยอมเปิดประตู” 

 

 

ทุกคนต่างพากันอึ้งไปตามๆ กัน 

 

 

นี่มันเป็นปริศนาอันใดกัน 

 

 

หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของอู่เหนียงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา 

 

 

——————————— 

 

 

[1]  ฮูหยินเฉวียนฝู ฮูหยินที่มีวาสนาดีพร้อม โชคดีมีสุขสมบูรณ์มาร่วมแสดงความยินดีในงามมงคลสมรสเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว 

 

 

[2]  สี่ผัว หญิงที่แต่งงานแล้วมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวในงานมงคลสมรส 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท