ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 110 สกุลเดิม (ปลาย)

ตอนที่ 110 สกุลเดิม (ปลาย)

ตอนนี้คุณนายใหญ่เป็นคนดูแลเรื่องในเรือนจึงมีข้อจำกัดน้อยลงมากขึ้น ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนานมาหลายวันแล้ว

พอถึงวันที่สิบหกเดือนสิบ เมื่อสวีลิ่งอี๋เลิกจากว่าราชการก็มารับสืออีเหนียง

สืออีเหนียงกำลังพูดคุยกับอู่เหนียงอยู่ในห้อง “…เมื่อคำนวณบัญชีดูแล้วค่าเช่าร้านนั้นตกปีละสองร้อยตำลึง สามารถจ่ายได้ก่อนครึ่งหนึ่ง ผู้ร่วมลงทุนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แค่จัดการให้พออิ่มท้องไปก่อนชั่วคราว ในหนึ่งปีอย่างน้อยก็สามารถหารายได้สามถึงสี่ร้อยตำลึง” อู่เหนียงพูดพลางยิ้มเจื่อนๆ “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าต่างจากเมื่อก่อน เงินเพียงสามสี่ร้อยตำลึงคงไม่อยู่ในสายตาเจ้า แต่ด้วยรายได้นี้อย่างน้อยก็สามารถซื้อผงชาดได้หลายกล่อง”

อู่เหนียงอยากร่วมลงทุนเปิดร้านขายผลไม้แห้งกับนาง

สืออีเหนียงอดที่จะแอบหัวเราะไม่ได้

อู่เหนียงเห็นว่านางแต่งงานกับสวีลิ่งอี๋ ก็นึกว่าจะใช้ชีวิตอย่างหรูหราและร่ำรวย อู่เหนียงไม่รู้เลยว่านางไม่มีแม้แต่เงินลงทุนที่อู่เหนียงบอกว่าให้ออกคนละสองร้อยตำลึง!

ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากน้ำเสียงอู่เหนียง ร้านที่อยู่บนถนนซีต้าเป็นกิจการภายใต้ชื่อของซุ่นอ๋อง ผลไม้แห้งได้นำเข้ามาจากร้านผลไม้แห้งเซิ่งจี้ซึ่งเป็นกิจการของสกุลหลี่ว์เฉิงผู้บัญชาการมณฑลซานตง พวกเขามีสิทธิ์อะไรไปพูดคุยตกลงกับซุ่นอ๋องและหลี่ว์เฉิงถานแล้วมาดึงตัวเองเข้าไปร่วมด้วย พวกเขาก็เพียงแค่ต้องการยืมอำนาจของสวีลิ่งอี๋เท่านั้น อย่าบอกว่านางพึ่งแต่งงานเข้าไปจึงไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสองสกุลนี้กับสวีลิ่งอี๋ ต่อให้นางรู้ นางก็ยอมที่จะช่วยอู่เหนียงทำร้านนี้มากกว่าเข้าไปร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วย มีครอบครัวใดบ้างที่พี่น้องไม่ทะเลาะกัน พ่อลูกไม่มีความแค้นต่อกันเพราะเรื่องเงิน

“ข้าเกรงว่าเรื่องนี้จะค่อนข้างลำบากใจอยู่ไม่น้อย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ที่จวนไม่มีลูกสะใภ้คนไหนเปิดร้านทำงานอยู่นอกจวน ข้าเองก็พึ่งจะแต่งเข้ามา…”

ไม่ทันรอให้สืออีเหนียงพูดจบ อู่เหนียงก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้านี่จริงๆ เลย นับว่าเจ้าแต่งงานกับท่านโหวไปโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ”

สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร

บางสิ่งบางอย่างสวยงามและเหมาะสมกับตัวเจ้า แต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่น

สิ่งที่นางต้องการก็เพียงแค่รากฐานชีวิตที่มั่นคง

และสวีลิ่งอี๋นั้นได้มอบให้นางแล้ว

ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของตัวเอง…

เมื่ออู่เหนียงเห็นว่านางมีสีหน้าไม่เห็นด้วย จึงพูดด้วยความโกรธว่า “ร้านขายของแห้งที่ใหญ่ที่สุดในถนนซีเหมิน ร้านผ้าไหมหนานเป่ยที่ประตูหนานจ้า ล้วนเป็นของฮูหยินสามที่ร่วมลงทุนกับพี่น้องสกุลเดิมของนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินห้าที่เปิดหอหย่งเซิ่งจินที่ถนนซีเหมิน เจ้าเอาแต่อยู่บ้าน ไม่ยอมออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง”

แม้จะรู้ว่าฮูหยินสามต้องการจะหาเงินส่วนตัวอย่างแน่นอน แต่การเปิดร้านบนถนนที่คึกคักที่สุดในเยี่ยนจิงอย่างโจ่งแจ้ง เรื่องนี้ทำให้สืออีเหนียงยังคงรู้สึกแปลกใจ “พี่หญิงห้าไปได้ยินผู้ใดพูดมาหรือเจ้าคะ”

“เรื่องนี้ยังต้องไปฟังใครพูดมาอีก” อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเยี่ยนจิงแล้ว มีใครบ้างที่ไม่รู้”

หรือจะบอกว่าสวีลิ่งอี๋ก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน!

นางถอนหายใจ

การที่เขาสามารถสร้างรากฐานครอบครัวได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด แต่ก็ต้องยอมรับในความพยายามของเขา ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่พูดอะไร ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก

“…พวกเราสองพี่น้องก็เพียงแค่เปิดร้านผลไม้แห้งเล็กๆ เจ้ามิต้องกังวล ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรอก” อู่เหนียงยังคงพูดเกลี่ยกล่อมนางต่อไป “พวกเราพี่น้องรักกันดี ใครได้ยินต่างก็ชื่นชม ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ยิ่งแน่นแฟ้น จะได้มีหน้ามีตาในบรรดาสะใภ้…”

สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย

จะว่าไปแล้วนางก็รู้จักอู่เหนียงมาสี่ปีแล้ว ความรู้ของอู่เหนียงเป็นอย่างไรไม่มีใครชัดเจนไปยิ่งกว่านางที่เป็น ‘คู่ต่อสู้’…บรรดาพี่น้องรักกัน ใครได้ฟังก็ชื่นชม ไปที่ใดล้วนมีหน้ามีตา นางเชื่อว่านี่เป็นความคิดของอู่เหนียง แต่ที่ฮูหยินสามเปิดร้านขายของแห้งบนถนนซีเหมินและร้านขายผ้าไหมที่ประตูหนานจ้า นางคิดว่าอู่เหนียงไม่ได้รู้เรื่องนี้ เกรงว่าเฉียนหมิงจะเป็นคนพูด

แต่ว่าเฉียนหมิงพูดถูกแล้ว

นางเองก็หวังว่าบรรดาพี่น้องจะรักกัน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนสกุลเดียวกัน ในสายตาของคนอื่นเราคือครอบครัวเดียวกัน!

“พี่หญิงห้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินท่านพูดเรื่องนี้ ตอนนี้ข้ายังไม่มีความคิดใดๆ เลย ”นางยิ้มแล้วพูดต่อว่า “รอให้ข้าพิจารณาแล้วค่อยตอบท่านได้หรือไม่”

อู่เหนียงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่นางรู้ว่าสืออีเหนียงมักขี้ขลาดอยู่เสมอ จึงไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแม้แต่น้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบให้คำตอบข้าให้เร็วที่สุด ใกล้จะปีใหม่แล้ว ทุกครอบครัวต้องซื้อกล่องผลไม้ไปฉลองปีใหม่หรือไปเยี่ยมญาติพี่น้อง”

คิดไม่ถึงว่าเฉียนหมิงจะมีหัวทางธุรกิจเช่นนี้…

สืออีเหนียงพยักหน้า สาวใช้เข้ามาเชิญสืออีเหนียงพอดี “ท่านโหวมาแล้วเจ้าค่ะ”

ทั้งสองยิ้มแล้วเดินไปที่เรือนหลัก

ทุกคนคำนับซึ่งกันและกัน หลัวเจิ้นซิ่งเชิญสวีลิ่งอี๋ให้อยู่ทานข้าว

สวีลิ่งอี๋ตอบตกลง

ไม่นานเฉียนหมิง อวี๋อี๋ชิง และซื่อเหนียงก็มาถึง

บุรุษสี่คนไปที่ลานด้านนอก คุณนายใหญ่เชิญบรรดาสตรีทานข้าวที่ห้องโถงของเรือนหลัก

สืออีเหนียงเห็นว่าคุณนายใหญ่ฉวยโอกาสตอนดื่มชาหลังทานอาหารเสร็จแอบไปห้องปีกทิศตะวันออกกับอู่เหนียง

หรือว่าเรื่องนี้คุณนายใหญ่ก็มีส่วนด้วยเช่นกัน

นางอดประหลาดใจไม่ได้

หากเป็นเช่นนี้ก็ยากที่จะจัดการแล้ว

จะว่าไปแล้วคุณนายใหญ่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง…นางคงไม่สามารถปฏิเสธคนสกุลเดิมได้ทั้งหมด

นางอยากจะหาโอกาสคุยกับคุณนายใหญ่ แต่จนกระทั่งถึงเวลาต้องไปบอกลานายหญิงใหญ่พร้อมกับสวีลิ่งอี๋แล้วก็ยังหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้

จึงทำได้เพียงรอให้ผ่านไปสองสามวันแล้วส่งจดหมายให้คุณนายใหญ่มาหาที่จวนสวี

สืออีเหนียงเหม่อลอยเล็กน้อย

สวีลิ่งอี๋มองอยู่อย่างเงียบๆ แล้วถามนางว่า “อยากจะอยู่จวนสกุลหลัวต่ออีกสักสองสามวันหรือ”

สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ทำข้าวโพดย่างกับข้าวเหนียวรากบัวให้เขาฟัง “…แล้วยังซื้อหัวแพะกลับมาด้วย ข้าไม่กล้ากินแม้แต่คำเดียว แต่ว่าช่วงเวลานั้นสนุกเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”

สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทางดีใจของนาง แต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามีอะไรสนุกตรงไหน จึงพูดตอบว่า “พวกเจ้าทำน้ำตาลกุหลาบเป็นด้วยหรือ ครั้งที่แล้วข้าเคยกินที่จวนของซุ่นอ๋องครั้งหนึ่ง”

“เป็นเพราะว่าไม่มีดอกกุหลาบ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “พวกเราได้ส่งคนไปซื้อแต่ก็หาซื้อไม่ได้”

“ในจวนมีอยู่ที่สวนดอกไม้ เมื่อกลับไปก็สามารถลองทำที่เรือนได้”

ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็มีความคิดขึ้นมา “ท่านโหว ท่านช่วยจัดหาท่านป้าให้เรือนข้าหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”

สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

สืออีเหนียงพูดอย่างเขินอายว่า “ข้าไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ในจวน แต่ก็ไม่กล้าไปถามคนอื่น”

สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางพูดตรงไปตรงมา จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว”

ในรถม้ากึ่งสว่างกึ่งมืด เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของเขานั้นดูร่าเริงและสดใส

ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็นึกขึ้นมาได้ว่า ปีนี้สวีลิ่งอี๋พึ่งอายุเพียงยี่สิบเจ็ดปี เขายังหนุ่มอยู่เลย

******

เมื่อกลับมาถึงจวนก็ต้องไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน

แม้ว่าไท่ฮูหยินจะมองนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ในแววตากลับไม่มีรอยยิ้ม

“กลับมาแล้วหรือ นายหญิงใหญ่บ้านสะใภ้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านแม่สบายดีเจ้าค่ะ สามารถใช้ช้อนตักโจ๊กกินเองได้แล้ว” สืออีเหนียงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำไมนางกลับจวนสกุลเดิมไปเพียงไม่กี่วันความสนิทสนมของไท่ฮูหยินที่มีต่อนางได้หายไปจนหมด นางจึงตอบคำถามไท่ฮูหยินอย่างระมัดระวัง

ไท่ฮูหยินทักทายนางสองสามประโยค เรียกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอออกมาคำนับนาง จากนั้นก็เร่งให้นางรีบกลับไปพักผ่อน

สืออีเหนียงเดินกลับมาถึงเรือนของตัวเองด้วยความสับสน แต่พอมาถึงก็เจอฉินอี๋เหนียง เหวินอี๋เหนียง ป้าเถา หู่พั่ว ตงชิง และสาวใช้กลุ่มใหญ่รออยู่ที่นั่น

นางตกตะลึงเล็กน้อย

ตงชิงย่อเข่าคำนับนางทั้งน้ำตา “ฮูหยินเจ้าคะ”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” สืออีเหนียงอดถามสวีลิ่งอี๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้

“อ้อ!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “น้องห้ากับน้องสะใภ้ห้าย้ายไปอยู่ที่เรือนจ้าวจวงถังแล้ว ทุกคนในจวนไม่จำเป็นต้องหลบหลีกแล้ว”

หรือว่าไท่ฮูหยินคิดว่าเป็นฝีมือของนาง…

เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัวก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นคิดเข้าข้างตัวเองมากไป

สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับพูดคุยกัน กลับเข้าไปในห้องก่อนเถิด”

ก็จริง…

สืออีเหนียงเก็บความสงสัยที่มีอยู่เต็มหัวแล้วเดินเข้าห้องไปโดยมีอี๋เหนียงและบรรดาสาวใช้ทั้งหลายห้อมล้อมอยู่

เหวินอี๋เหนียงรีบยกชามาให้ทั้งสอง

สืออีเหนียงสังเกตว่าไม่เห็นเฉียวเหลียนฝัง

“อาการป่วยของเฉียวอี๋เหนียงยังไม่หายดีอีกหรือเจ้าคะ” นางถามสวีลิ่งอี๋

สวีลิ่งอี๋พูดว่า “กินยาไปหลายชุดก็เริ่มดีขึ้นแล้ว แต่สองวันนี้อาการกลับมาอีก”

“ไปตามหมอมาอีกดีหรือไม่” สืออีเหนียงกล่าว

“เวลาป่วยอาการหนักจึงทำให้กลับมาฟื้นตัวช้า” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “รอดูก่อนค่อยแล้วว่ากัน”

สืออีเหนียงพยักหน้า มีตงชิงพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

แต่ป้าเถากลับเดินแทรกเข้ามา

สืออีเหนียงเห็นท่าทางของนางก็รู้ว่านางมีเรื่องจะพูด ตัวเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลายวันมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงไม่ได้ห้ามนาง

“ฮูหยิน หลายวันมานี้ที่ท่านไม่อยู่ นายท่านไปพักอยู่ที่เรือนฉินอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดเสียงเบาลงราวกับว่าต้องการจะเน้นย้ำบางสิ่งบางอย่าง “ข้ามคืน”

สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าที่ป้าเถาพูดว่า ‘ข้ามคืน’ หมายถึงอะไร

เขาไม่สนใจเฉียวเหลียนฝังที่อ่อนเยาว์และสวยงามแล้วไปหาฉินอี๋เหนียง…คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะมีความผูกพันกับนางเช่นนี้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ในใจของนางก็รู้สึกสบายใจขึ้น

แต่ป้าเถาที่เห็นว่าสืออีเหนียงไม่มีปฏิกิริยาอะไรจึงรีบเตือนนางว่า “เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูใหญ่ยังอยู่ท่านโหวแม้ว่าจะไปเรือนอนุทั้งสองคนเดือนละห้าวันเท่านั้น แต่บางครั้งก็เพียงแต่ไปพักผ่อนที่เรือนเหวินอี๋เหนียง แต่กลับไม่เคยมีเวลาว่างให้ฉินอี๋เหนียง ท่านอย่าได้ประมาทเพียงแค่เห็นว่านางอายุเยอะแล้วนะเจ้าคะ”

สืออีเหนียงไม่ชอบน้ำเสียงที่ป้าเถาพูด

สวีลิ่งอี๋จะชอบไม่ชอบใครนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขา ตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง

“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงเลียนแบบน้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋โดยไม่ได้ตั้งใจ “ทำไมฮูหยินห้าจึงย้ายไปอยู่ที่สวนดอกไม้ แล้วคนในครอบครัวว่าอย่างไรบ้าง”

เมื่อป้าเถาเห็นท่าทางเย็นชาของนางก็รู้ว่านางไม่ได้เก็บคำพูดของตัวเองไปคิด แต่ว่าสาวน้อยก็เป็นเช่นนี้กันหมด อาศัยความอ่อนเยาว์และหน้าตางดงามของตัวเองทำตัวเย่อหยิ่ง รอให้เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ถึงจะรู้ว่าใครกันแน่ที่หวังดี!

นางรู้ว่าเรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้จึงไม่เอ่ยถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ไปค้างคืนกับฉินอี๋เหนียงอีก พูดเสียงเบาว่า “ติ้งหนานโหวได้มาปรึกษาไท่ฮูหยินแล้วยังสั่งสอนฮูหยินห้าอย่างรุนแรง วันที่ฮูหยินห้าย้ายไปอยู่ที่สวนดอกไม้ไท่ฮูหยินจึงทำได้เพียงตอบตกลง คนตาดีมองแวบเดียวก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของท่านโหว มิเช่นนั้นใครกันที่จะสามารถเชิญติ้งหนานโหวมาได้ หลายวันมานี้ไท่ฮูหยินเอาแต่เป็นห่วงฮูหยินห้า กลัวว่านางจะอยู่อย่างลำบาก กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น นอกจากนี้ฮูหยินสองยังต้องย้ายมาอยู่ที่เรือนซีซานเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย ไท่ฮูหยินจึงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปใหญ่เจ้าค่ะ”

“ย้ายไปอยู่เรือนซีซานหรือ” สืออีเหนียงมองป้าเถาด้วยความประหลาดใจ

“ถึงอย่างไรก็ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ” ป้าเถาพยักหน้า “ไท่ฮูหยินทำได้แค่เพียงตอบตกลง”

ช่างฉลาดเสียงจริง!

“แล้วฮูหยินสามล่ะ”

“ฮูหยินสามเอาแต่ยุ่งอยู่กับการซื้อของเข้าครัว ไม่มีข่าวคราวอะไรให้ได้ยินเลยเจ้าค่ะ”

“ซื้อของเข้าห้องครัวหรือ เกิดอะไรขึ้นอีก”

“เห็นบอกว่านับแต่นี้ต่อไป ผักผลไม้ทุกชนิดและอาหารแห้งจะต้องซื้อจากร้านเดียวกันเท่านั้น เพื่อที่แผนกซื้อขายจะไม่สามารถโกงได้เจ้าค่ะ”

การที่คำนึงถึงเรื่องพวกนี้ได้นับว่ามีไหวพริบเลยทีเดียว

แล้วนางจะทำอย่างไร

ไปเอาเงินส่วนต่างคืนอย่างนั้นหรือ

ดูเหมือนว่าการทำเช่นนี้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า

“จุนเกอสบายดีหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้มแล้วพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ไท่ฮูหยินพาเขาไปหาฮูหยินสองวันเว้นวัน ตอนนี้เริ่มจับพู่กันได้แล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้ฮูหยินสองต้องย้ายออกไป เกรงว่าสิ่งที่เรียนมาจะสูญเปล่าเจ้าค่ะ”

น้ำเสียงฟังดูเห็นด้วยที่มีฮูหยินสองคอยแนะนำสั่งสอนจุนเกอ

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท