สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาเดินออกมา สวีลิ่งอี๋ขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแล้ว พวกเขาสองคนเอนบนหมอนพูดคุยกัน
“น้องสะใภ้ห้าย้ายไปอยู่ที่สวนดอกไม้ พี่สะใภ้สองไปอยู่ที่จวนที่ซีซาน ข้าเรียกผู้ดูแลแต่ละจวนกลับมาแล้ว ไม่เช่นนั้นจวนคงจะวุ่นวายเป็นแน่…” สวีลิ่งอี๋เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนสองสามวันนี้ให้สืออีเหนียงฟัง “ท่านแม่อายุมากแล้ว พี่สะใภ้สองก็ไม่ได้อยู่กับนาง เจ้าต้องคอยช่วยดูแลนางเสียบ้าง!”
สืออีเหนียงรับตอบรับ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋มีมารยาทต่อฮูหยินสองมาตลอด นางจึงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “ส่งคนที่ถามไถ่หน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ ถามว่าพี่สะใภ้สองมีสิ่งใดต้องการหรือไม่ จะได้ส่งไปให้นาง”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางรู้ความเช่นนี้ เขาก็ยิ้มและพยักหน้า สายตาที่มองนางก็อ่อนโยนขึ้นมา “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี นางอยู่ตัวคนเดียว พี่ๆ น้องๆ เช่นเราก็ควรจะดูแลนางให้ดีหน่อย ไม่มีอะไรทำเจ้าก็ไปหานางบ่อยๆ” พูดจบเขาก็พูดถึงเรื่องของสืออีเหนียง “กรมโยธาธิการมีหัวหน้าเลขาธิการคนหนึ่งนามว่าเฉินผิง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจู่เหริน แต่เขาเชี่ยวชาญในเรื่องของการรักษาน้ำ ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาปลูกต้นอะไรสักอย่างอยู่ที่ต้าซิ่ง ข้าเรียกเขามาถาม เดิมทีจะเชิญให้เขาไปดูที่แปลงของเจ้า ใครจะรู้ว่าพอเขาได้ยินว่าข้ามีที่ดินห้าร้อยหมู่ เขาสนใจเป็นอย่างมาก อยากจะเช่าที่ดินปีละหนึ่งร้อยตำลึง ข้าคิดว่าราคานี้ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าคิดว่าเช่นไร”
สืออีเหนียงไม่คิดว่าสวีลิ่งอี๋จะลงมือทำเร็วขนาดนี้ หัวของนางหมุนอย่างรวดเร็ว “ท่านโหวเห็นโลกมาเยอะกว่าข้า ในเมื่อท่านบอกว่าราคานี้ไม่เลว ข้าคิดว่าท่านคิดถูกแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าหากข้าให้ใต้เท้าเฉินคนนั้นมาเช่าที่ ผู้ติดตามมาที่เรือนก็คงจะไม่มีอะไรทำกันแล้วกระมัง ว่างงานทุกวัน เกรงว่ามันจะไม่ดี ข้าได้ยินพ่อบ้านจย่าบอกว่าที่ดินผืนนั้นปลูกต้นไม้ที่ให้ผลดีที่สุด ไม่รู้ว่าเขาบอกรายละเอียดเรื่องเช่าที่กับท่านโหวละเอียดแล้วหรือไม่เจ้าคะ ข้าคิดว่า ต้นไม้ที่ให้ผลไม่ได้ให้กำไรภายในหนึ่งถึงสองปี เขาคงจะต้องเช่าหลายปีแน่นอน ท่านโหวช่วยถามให้ข้าหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ถามว่าใต้เท้าเฉินจะเช่ากี่ปี ค่าเช่าจะคงที่เช่นนี้หรือว่าจะปรับราคาขึ้นตามราคาที่ดินโดยรอบ”
น้ำเสียงของนางชัดเจนราวกับเสียงกระดิ่ง พูดตั้งมากมายแต่กลับมีเหตุผลทุกประโยค พูดตรงประเด็นทุกคำ
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย เขานั่งตัวตรงแล้วมองนางด้วยความชื่นชม “เฉินผิงจะเช่าสิบปี ค่าเช่าปีละหนึ่งร้อยตำลึง จะจ่ายค่าเช่าก่อนสามปี หากสิบปีครบแล้วอยากจะปล่อยเช่าต่อ ต้องปล่อยให้เขาเป็นคนแรก”
สืออีเหนียงคิดอะไรบางอย่าง
ที่ดินผืนนั้นหนึ่งหมู่ห้าตำลึง ที่ดินห้าหมู่เป็นเงินสองพันห้าร้อยตำลึง แต่เฉินผิงจ่ายสามร้อยตำลึงในคราวเดียว…
นางพึมพำ “ในเยี่ยนจิงสกุลที่มีที่ดินห้าร้อยหมู่เหมือนพวกเราคงจะมีไม่มากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่จ่ายค่าเช่ามาก่อนสามปี”
สืออีเหนียงมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาความลำบากเฉพาะหน้า แต่นางมีเงินสามร้อยตำลึงนี้ นางก็สามารถเอาไปทำอย่างอื่นได้ รวมถึงการพัฒนาที่ดินพื้นทรายสามร้อยหมู่นั้น โชคดีที่สวีลิ่งอี๋มีหน้ามีตากว้างขว้าง เขาหาทางออกให้นางได้ในทันที
“ท่านโหวส่งคนไปบอกใต้เท้าเฉินเถิดเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “เช่าที่ดินไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องให้คนของข้าช่วยเขาดูแลสวน!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะลักเรียนขโมยเรียน สิบปีมันนานเกินไปหรือเปล่า ไม่สู้ให้พวกเขาไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
“ไม่ถือว่าเป็นการลักเรียนขโมยเรียนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แค่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ให้พวกเขาได้เรียนรู้ไว้บ้าง ต่อไปจะได้มีข้าวทาน หาปลามาให้พวกเขาทานจะสู้สอนให้พวกเขารู้วิธีจับปลาได้อย่างไร”
สายตาที่มองนางของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความชื่นชม
“พรุ่งนี้ให้พ่อบ้านไป๋ไปเถิด!” เขายิ้ม “แต่เจ้าก็อย่ารีบร้อน ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว หากจะเช่าที่ดินจริงๆ ก็เป็นเรื่องของปีหน้า”
“หากจะเช่าที่ดินก็ตกลงกันภายในสองสามวันนี้เลยเถิดเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงคิดถึงเงินค่าเช่าสามร้อยตำลึงนั้น “ข้าจะได้จัดการผู้ติดตามสองสามคนนั้นเร็วๆ ประเดี๋ยวก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว”
“ข้ารู้แล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดพร้อมกับนอนลง
รู้ว่าเขาจะนอนแล้ว สืออีเหนียงก็เป่าตะเกียง
ท่ามกลางความมืด นางฟังเสียงเขาพลิกตัวไปมา นางอยากจะถามสวีลิ่งอี๋ ถามว่าเขาจะทำตามกฎระเบียบเดิม ไปนอนที่เรือนของอี๋เหนียงแต่ละคนห้าวันหรือจะตั้งกฎระเบียบใหม่ แต่เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่ค่อยๆ เบาลงของเขา นางตัดสินใจไว้ค่อยหาโอกาสพูดเรื่องนี้อีกที
*****
เช้าวันต่อมา นางส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปราชสำนักตอนเช้า หู่พั่วและคนอื่นๆ เก็บข้าวของอยู่ในเรือน นางพาลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วสาวใช้สองคนไปคารวะไท่ฮูหยินที่เรือนไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังพูดคุยกับป้าตู้ “…เอาถ่านไปเยอะหน่อย ส่งป้าติงที่อยู่ในโรงครัวของเราไปด้วย นางทำหม้อไฟอร่อยที่สุด อาการเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ กินหม้อไฟจะได้อบอุ่นหน่อย นำชุดผ้าแพรลายดอกไป๋เหมยหลานจู๋ที่พระราชวังมอบให้เมื่อปีที่แล้วไปด้วย…”
สืออีเหนียงได้ยินก็รู้ว่าพวกนางกำลังพูดคุยกันเรื่องของฮูหยินสอง
เห็นนางเดินมา ไท่ฮูหยินก็กวักมือเรียกนาง “ประเดี๋ยวเราไปหาอี๋เจิ้นด้วยกัน!”
สืออีเหนียงตกใจ
เมื่อคืนไท่ฮูหยินก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะไปจวนที่ซีซาน ดูเหมือนว่านางจะตัดสินใจกระทันหัน… สวีลิ่งอี๋ไปราชสำนักตั้งแต่เช้าแล้ว เขาไม่รู้แน่นอนว่าไท่ฮูหยินจะไปจวนที่ซีซาน
นางยิ้มแล้วคารวะไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ บอกท่านโหวสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ จะได้พาคนติดตามไปด้วยสองสามคน…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “นี่คือเยี่ยนจิงไม่ใช่เหมียวเจียง หรือว่าเจ้ากลัวว่าจะมีคนมาปล้นกันเล่า”
แน่นอนว่าสืออีเหนียงยิ้มแล้วรับปาก นางอ้างว่าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็รีบให้หู่พั่วไปหาพ่อบ้านไป๋ที่ลานข้างนอก บอกให้เขาเอาเรื่องที่ไท่ฮูหยินจะไปจวนที่ซีซานบอกสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเสื้อกั๊กยาวสีเขียวแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เข้าไปเจอกับฮูหยินสามพอดี
ในมือนางถือสมุดบัญชี พึ่งเดินออกมาจากห้องของไท่ฮูหยิน
“น้องสะใภ้สี่ช่างมีวาสนา ได้ออกไปเที่ยวตั้งหนึ่งวัน ไม่เหมือนข้า ไม่เคยว่างเลยสักวัน” น้ำเสียงของนางไม่ค่อยพอใจ
เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพยายาม
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “คนที่มีความสามารถมักจะลำบาก หากพวกเราไม่มีพี่สะใภ้สามก็คงไม่สบายเช่นนี้เจ้าคะ”
ฮูหยินสามชอบคำพูดของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ พูดคุยกับสืออีเหนียงอีกสักสองสามประโยค อ้างว่ากำลังยุ่งจึงขอตัวออกไปก่อน
สืออีเหนียงพึ่งจะเข้ามาในห้องของไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าก็มาพอดี
ได้ยินว่าพวกนางกำลังจะไปจวนที่ซีซาน นางก็อยากจะไปด้วย “ข้าอยากจะไปหาพี่สะใภ้สองเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มและตำหนินาง “พวกเราไปส่งของให้อี๋เจิ้น ไม่ได้ออกไปเที่ยว เจ้าอยู่ที่จวนนี่แหละ อย่าวิ่งไปทั่วล่ะ”
นางจึงดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยิมาอ้อน
แต่ครั้งนี้ไท่ฮูหยินตัดใจไม่ให้นางไปด้วย “ออกไปจากเยี่ยนจิงแล้วถนนไม่ค่อยดี…” คาดว่าน่าจะคิดว่านางกำลังตั้งครรภ์ กลัวจะกระทบกับลูกในท้อง
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ นางก็ยิ้มอย่างรู้ความ น้ำเสียงก็หวานขึ้นไม่น้อย “เช่นนั้นข้าให้สาวใช้ไปเด็ดดอกไม้เป็นเพื่อนข้าที่ห้องลี่จิ่งเซวียนนะเจ้าคะ” ทำท่าทีออดอ้อนราวกับเด็กน้อย
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้” ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องยอมลดระดับลงมา ไท่ฮูหยินรีบรับปากนาง “แต่ต้องคอยระวัง อย่าให้แมลงอะไรมากัดต่อยเอาได้”
ฮูหยินห้ายิ้มหน้าบาน “ไม่แน่นอน ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินส่ายหน้า “ทำไมเจ้าถึงดื้อเช่นนี้” แต่ใบหน้านางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
*****
ถึงแม้ว่าจะออกเดินทางอย่างเรียบง่าย แต่รถม้าสีดำเรียงกันกว่าสิบคัน องครักษ์ทั้งนอกและใน ขบวนเช่นนั้นมันก็ยิ่งใหญ่มากพอ
ผู้คนที่อยู่บนท้องถนนพากันหลีกทางให้
พวกนางออกเดินทางไปที่จวนที่ซีซาน
สืออีเหนียงนั่งรถม้าคันเดียวกับไท่ฮูหยิน นางสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คิดไม่ถึงว่าจะออกมาจากจวนสกุลสวีภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวเช่นนี้…
นางคอยรับใช้ไท่ฮูหยินอย่างระมัดระวัง กลัวว่าไท่ฮูหยินจะไม่สบายตัว เพราะนางอายุมากแล้ว รถม้าไม่มีลดแรงกระแทก นางอาจจะทนแรงกระแทกขนาดนี้ไม่ไหว
แต่ไท่ฮูหยินกลับยิ้มแล้วมองดูนาง “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” แต่ความกตัญญูกตเวทีของสืออีเหนียงทำให้นางชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก
เดินทางมาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงจวนที่ซีซานแล้ว
เด็กรับใช้ชายมารายงานผู้ดูแลที่นี่ก่อนแล้ว เข้าไปในประตูฉุยฮวา บรรดาสาวใช้และท่านป้าก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น
ฮูหยินสองเดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด “ท่านแม่ ล้วนแต่เป็นความผิดของลูก!” จากนั้นก็ทักทายสืออีเหนียง “ลำบากน้องสะใภ้สี่แล้ว”
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปคำนับฮูหยินสอง
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ข้ามาดูว่าเจ้าคุ้นชินที่นี่หรือไม่!” แล้วก็มองไปรอบๆ
ต้นไม้โบราณของจวนที่ซีซานมีหลายต้น มีกำแพงสีขาวและอิฐสีฟ้าประดับประดา งดงามราวกับภาพวาด ทางเดินหินสีฟ้าในลานก็สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ เสาสีดำขัดเกลาอย่างเงาวาว บนราวหินประดับดอกเบญจมาศที่พึ่งผลิบาน
ไท่ฮูหยินยักหน้าอย่างพึงพอใจ ฮูหยินสองก็พยุงนางเข้าไปข้างในห้อง
บนโต๊วาดภาพมีอัญมณีสีแดง พู่กัน หมึกและกระดาษ เห็นได้ชัดว่าก่อนที่พวกนางจะมาถึงฮูหยินสองกำลังวาดภาพอยู่
ไท่ฮูหยินเดินเข้าไปที่โต๊ะวาดภาพ
เป็นภาพใบไม้สีแดงของซีซานที่กำลังจะลงสี
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าอยู่ที่นี่สบายดี”
ไท่ฮูหยินมองดูผ้าม่านสีขาวที่สะอาดสะอ้านราวกับแสงจันทร์ในห้อง กระถางธูปงวงช้างสามขา กระถางดอกไม้ลายครามสีฟ้าที่มีดอกมู่ฝูหรง นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
“ทิวทัศน์ที่นี่มีเอกลักษณ์” ฮูหยินสองพยุงไท่ฮูหยินไปนั่งบนเตียงข้างหน้าต่างในห้องทางทิศตะวันออก เจี๋ยเซียงสาวใช้ก็ยกชาเหล่าจวินเหมยมาให้ทุกคนดื่ม “ตื่นมาเดินในป่าทุกวัน จากนั้นก็กลับมาวาดภาพ อ่านหนังสือในห้อง สบายใจอย่างมากเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม
ฮูหยินสองจึงพูดกับสืออีเหนียง “พึ่งกลับมาเมื่อวานใช่หรือไม่ นายหญิงใหญ่เป็นเช่นไรบ้าง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” นางพูดคุยกับฮูหยินสองสองสามประโยค
ไท่ฮูหยินบอกให้ป้าตู้นำของที่นำมาให้ฮูหยินสองออกมา
บรรดาสาวใช้พากันเดินเข้ามา หมอนใบใหญ่ที่นุ่มนิ่ม ถาดรองที่วิจิตรงดงาม เตาผิงมือที่ประณีตงดงาม โคมไฟที่สวยงามราวกับหยก ปิ่นปักผมสีทอง…ของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่กองอยู่ครึ่งเตียง
ฮูหยินสองรู้สึกไม่สบายใจ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ใช้ของมากมายขนาดนี้”
“ที่นี่ไม่เหมือนที่บ้าน ไม่สะดวกเหมือนที่บ้าน” ไท่ฮูหยินไม่เห็นด้วย “หากเจ้าต้องการสิ่งใด อย่าเก็บไว้ในใจ ต้องบอกข้า”
ฮูหยินสองรีบย่อเข่าขอบพระคุณไท่ฮูหยิน บอกให้เจี๋ยเซียงเก็บข้าวของ นางดื่มชาเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน ถามไถ่เรื่องสุขภาพของไท่ฮูหยิน จากนั้นก็มีท่านป้าเข้ามาเตือน “ทานมื้อเที่ยงที่ใดเจ้าคะ” ฮูหยินสองเหลือบมองไปยังไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ทานที่นี่แหละ!”
ท่านป้าคนนั้นก็ยิ้มแล้วย่อเข่าขอตัวออกไป บอกให้คนยกอาหารเข้ามา ฮูหยินสองเป็นคนจัดอาหารเอง
แน่นอนว่าสืออีเหนียงก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ รีบเข้าไปช่วยนางจัดอาหาร
จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้ชายก็วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหวมาแล้วขอรับ!”
เร็วขนาดนี้?
สืออีเหนียงตกใจ
จากนั้นก็เห็นสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา
เขาสวมชุดเครื่องแบบสีแดงตัวใหญ่ สิงโตที่อยู่บนหน้าอกเชิดหน้าชูตา ช่างดูสง่างาม