สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางจึงรีบเล่าเรื่องที่ตัวเองตัวสินใจที่จะเลือกสาวใช้ให้สวีซื่ออวี้ ส่งไปให้ไท่ฮูหยินดูก่อนแล้วค่อยส่งไปรับใช้สวีซื่ออวี้ให้เขาฟัง
สวีลิ่งอี๋ฟังนางอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า “ทำไมต้องไปรบกวนท่านแม่ เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว!”
สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง น้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว แต่สายตาที่มองไปที่นางกลับเป็นประกายมากกว่าปกติ
สืออีเหนียงหัวใจเต้นแรง นางก็รู้ทันทีว่าสวีลิ่งอี๋กำลังทดสอบตัวเอง…
นางจะได้รับความไว้วางใจจากสวีลิ่งอี๋ ได้รับอิสระที่มากขึ้น ความเคารพที่มากขึ้น รากฐานที่มั่นคงขึ้น หรือว่าจะกลายเป็นภรรยาที่หน้าตาสถานะไม่ชัดเจนในใจของสวีลิ่งอี๋ นี่คือโอกาสโอกาสหนึ่ง!
สืออีเหนียงหายใจเข้าลึกๆ นางยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ายังเด็ก ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร แน่นอนว่าต้องพึ่งพาประสบการณ์ของท่านแม่ เพราะว่าอวี้เกอคือเป็นบุตรชายคนโตของเรือนเรา ต่อไปเขาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องๆ เรื่องของความรู้และศีลธรรมจะประมาทไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาโตแล้ว แล้วยังอาศัยอยู่เรือนข้างนอกคนเดียว ข้าไม่สะดวกที่จะออกไปเยี่ยม มีแต่สาวใช้ที่อยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน ข้าจะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย ให้ท่านแม่ช่วยเลือกสาวใช้ให้อวี้เกอ ข้าก็ยังจะได้เรียนรู้ไปด้วย ต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ข้าก็จะได้มีความรู้ความเข้าใจ จะได้ไม่วุ่นวายเช่นนี้”
นางพูดพร้อมกับสังเกตสีหน้าของสวีลิ่งอี๋
สายตาที่เป็นประกายค่อยๆ อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เขาพยักหน้าเบาๆ สองครั้ง
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนจะผ่านด่านแล้ว!
นางอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย รอยยิ้มก็สดใสขึ้นไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋มองดูความสุขในสายตาของสืออีเหนียง เขารู้สึกราวกับว่านางใช้ความคิดที่ต่ำต้อยมาคาดเดาความคิดของคนที่สูงส่ง
ดูเหมือนว่าตัวเองจะคิดผิด!
เขาคิดว่าสืออีเหนียงอยากจะใช้โอกาสนี้ทดสอบท่าทีของเขา เพราะที่นางแต่งเข้ามาก็เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของจุนเกอ ยิ่งอวี้เกอไม่ได้เรื่องมากเท่าไร สถานการณ์ก็จะยิ่งดีกับจุนเกอมากเท่านั้น ราวกับตอนนั้นที่หยวนเหนียงตามใจอวี้เกอมากขนาดนั้น หากพี่สะใภ้สองไม่ออกหน้าแทน เกรงว่าอวี้เกอก็คงจะไม่ได้เรื่องมากกว่าจุนเกอ
คิดเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสืออีเหนียง
นางนั่งอยู่อย่างเงียบๆ ตรงข้ามตัวเอง ใบหน้าที่งดงามเรียบนิ่ง แต่รอยยิ้มกลับอ่อนโยนดูเป็นมิตร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกสับสน
คนที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง…รู้สึกสนิทสนมแต่ก็รู้สึกแปลกหน้า!
และสืออีเหนียงที่นั่งอยู่ตรงข้าม เห็นว่าสวีลิ่งอี๋มองดูตัวเองด้วยสายตาที่เหม่อลอย นางยิ้ม
หรือเพราะว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาห่างเหินกันเกินไป สวีลิ่งอี๋จึงไม่ต้องพยายามเก็บสีหน้าที่ดูเมินเฉยไม่ใยดีของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้านาง จึงมักจะแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาเล็กน้อย นางก็ค่อยๆ เข้าใจบริบทบางอย่าง
สวีลิ่งอี๋เป็นสุภาพบุรุษของสกุลชั้นสูงในระบบศักดินา ทำตามความคิดที่ว่าบุรุษเป็นคนดูแลเรื่องภายนอก สตรีเป็นคนดูแลเรื่องภายใน ดังนั้นเขาไม่มีทางพูดถึงเรื่องข้าวรากับนาง เหมือนกับที่เขาไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องนายหญิงเฉียว แต่ละคนมีหน้าที่ของตัวเอง
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่สืออีเหนียงก็เดาไม่ออกว่าทำไมสวีลิ่งอี๋ถึงตกอยู่ในภวังค์
เขาไม่ขยับไปไหน แต่นางกลับไม่อยากนั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่ที่นี่
สืออีเหนียงยิ้มและแสร้งทำเป็นรินชาให้เขา
สวีลิ่งอี๋ได้สติกลับมา ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดได้รอบคอบมาก เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าบอกเถิด!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถามความคิดเห็นของสวีลิ่งอี๋ “เรียกชุนมั่วมารับใช้ท่านโหวเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่เจ้าคะ ประเดี๋ยวก็จะยามโหย่วแล้ว”
เตือนเขาว่าจะต้องไปทานข้าวที่เรือนไท่ฮูหยินแล้ว
สวีลิ่งอี๋มองดูท่าทางที่เคารพและเชื่อฟังของนาง เขาก็ตัดสินใจ
เขาเหลือบมองไปที่นาฬิกาไขลานในห้องทางทิศตะวันออก เห็นว่ายังเช้าอยู่จึงบอกนางว่า “นั่งอีกสักประเดี๋ยว!”
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่ได้คัดค้านอะไร นางนั่งลงตรงข้ามสวีลิ่งอี๋อย่างเชื่อฟัง
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นมา “เรื่องของข้าวรา เกี่ยวข้องกับผู้ดูแลบางคน ตอนนี้ข้าปวดหัวไปหมด”
ผลลัพธ์เช่นนี้สืออีเหนียงคาดเดาออกตั้งนานแล้ว เมื่อคืนนางคิดอยู่ในห้องทั้งคืน คิดว่าหากสวีลิ่งอี๋ถามนาง นางจะต้องตอบเขาเช่นไรให้เรียบง่ายและชัดเจน ทำให้คะแนนตัวเองที่อยู่ในใจของสวีลิ่งอี๋เพิ่มมากขึ้น
แต่หากตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายก็จะทำให้เขาเห็นความสามารถทั้งหมดของตัวเอง…
ตอนนี้ได้ยินที่สวีลิ่งอี๋ถามนาง นางจึงพูดเบาๆ “เหมือนกับที่ข้าเดาไว้ไม่มีผิด!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินคำตอบของนางเขาก็เลิกคิ้ว ถามด้วยความตกใจ “เจ้าเดาออกแล้ว?”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ท่านโหวเป็นคนเข้มงวด เรื่องของซุ้มข้าวต้มนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่หากไม่มีคนที่มีหน้ามีตาคอยสนับสนุน พวกเขาจะกล้าทำเช่นนี้ได้เช่นไร”
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ
หากเขาเข้มงวดจริงๆ มันคงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…แต่เขามักจะใช้งานคนที่ไว้ใจ หากไม่ไว้ใจก็ไม่มีทางใช้งาน แต่เขากลับลืมไปว่าคนเรามักจะโลภมาก รวมถึงตอนนี้สกุลสวีมีอำนาจขนาดนี้ บรรดาคนที่คิดว่าตัวเองมีหน้ามีตาก็คงอดไม่ได้ที่จะหยิ่งผยองขึ้นมา
เขาพูดเบาๆ “เรื่องนี้ เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”
ไม่ใช่น้ำเสียงที่อยากจะปรึกษา แล้วก็ไม่ใช่น้ำเสียงที่ถามคำแนะนำ แต่เป็นน้ำเสียงของการบอกเล่า
สืออีเหนียงเดาออกว่าเขามีวิธีจัดการอยู่แล้ว ตอนนี้แค่อยากจะฟังว่านางจะพูดเช่นไรก็แค่นั้น แต่นางไม่อยากเห็นด้วยกับเขา พวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน เอาแต่คาดเดาความคิดของสวีลิ่งอี๋ เอาแต่พิจารณาความคิดของเขา ตัวเองอาจจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในไม่ช้าก็เร็ว ใช้ค่าตอบแทนเช่นนี้ไปแลกกับความอิสระมันจะมีความหมายอันใดเล่า
สืออีเหนียงทำสีหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดว่า “ข้าจะลองพูดดู ท่านโหวดูว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่”
“เจ้าพูดมาเถิด!” สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าเรียบนิ่ง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ตามความคิดเห็นของข้า ไม่สู้ถือโอกาสขึ้นปีใหม่ครั้งนี้ ถือโอกาปิดบัญชีตอนที่ผู้ดูแลทุกคนต้องกลับมารับเงินเดือนที่เยี่ยนจิง หลังจากขึ้นปีใหม่แล้วก็สับเปลี่ยนหน้าที่ของบรรดาผู้ดูแล เช่นนี้จะได้จ่ายเงินอย่างเหมาะสม ผู้ดูแลคนใดมีปัญหา ข้าคิดว่าท่านโหวน่าจะรู้อยู่แล้ว จับตาดูผู้ดูแลสองสามคนนั้นไว้ ส่วนบัญชีก็ต้องมีช่องโหว่ ถึงตอนนั้นก็ใช้เรื่องนี้ในการสับเปลี่ยนผู้ดูแลอีกกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเผยแพร่ออกไปข้างนอก มันก็เป็นเพราะว่าบรรดาผู้ดูแลมือเท้าสกปรก ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของการแจกจ่ายข้าวต้ม แล้วยังรักษาชื่อเสียงของสกุล”
สายตาของสวีลิ่งอี๋เคร่งขรึม
คิดไม่ถึงว่านางจะพูดแทงใจตน…
มองดูภรรยาตัวน้อยไร้เดียงสาที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง เขาก็พูดเบาๆ “หรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้?”
การเมืองคือการประนีประนอม คนอย่างเขา คนที่สามารถดูแลบ้านเมืองได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่กลับทำท่าทีไล่ถามนาง ถามนางว่าหรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้…สืออีเหนียงรู้สึกขำ
แต่นางกลับทำสีหน้าจริงจัง
“ท่านโหว ท่านคือเครื่องลายคราม คนเหล่านั้นคือเศษอิฐ เราไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา คำโบราญว่าเอาไว้ อุจจาระหนูก้อนหนึ่งทำให้ข้าวต้มเน่าทั้งหม้อ ท่านปลดหน้าที่ของคนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาตกงาน แต่พวกเขาก็จะไม่กลัวสิ่งใดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้น เราเป็นสกุลใหญ่สกุลโต ไม่แปลกที่จะมีคนที่อกตัญญู ถึงตอนนั้นหากพวกเขาก่อเรื่องขึ้นมา เราจะได้ไม่คุ้มเสีย ปล่อยพวกเขาไปได้ก็ปล่อยไปเถิดเจ้าค่ะ!”
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคุณชายสาม”
เดิมทีสืออีเหนียงก็คิดว่าเป็นเช่นนี้
หากไม่มีคนอย่างคุณชายสามอยู่เบื้องหลัง บรรดาผู้ดูแลเจ้าเล่ห์จะกล้าทำตามคำสั่งหรือทำเป็นมองไม่เห็นได้เช่นไร!
“ท่านโหว เกรงว่าจะเข้าใจผิดอะไรหรือไม่เจ้าค่ะ!” นึกขึ้นได้ว่าคุณชายสามคือพี่ชายของสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าเขาจะทำผิดอะไร แต่น้องสะใภ้อย่างนางก็ไม่ควรพูดอะไร นางพูดเตือน “คุณชายสามดูแลกิจการของสกุลมาตั้งหลายปี หากเขาอยากจะทำอะไรก็คงลงมือทำไปตั้งนานแล้ว แล้วอีกอย่างปริมาณของข้าวรามีไม่มาก เงินก็ได้น้อย มันไม่คุ้มเจ้าค่ะ ท่านโหวลองคิดดูดีๆ อีกครั้งเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้สายตาของเขาก็มีความไม่พอใจ “เขายอมรับแล้ว”
สืออีเหนียงเข้าใจบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา
เกรงว่าเขาคงจะรับผิดแทนฮูหยินสาม…สามีภรรยากัน ตบหน้าฮูหยินสามก็เท่ากับว่าตบหน้าคุณชายสาม
“ท่านโหว เมื่อวานเฉียวอี๋เหนียงทานแค่ข้าวต้มชามเดียวเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมจู่ๆ สืออีเหนียงต้องพูดถึงเรื่องนี้
แต่สืออีเหนียงกลับจงใจพูดเช่นนี้ออกมา จงใจใช้เรื่องนี้มาเปรียบเทียบ เป็นการเตือนสวีลิ่งอี๋ และถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะสงสัยอะไร สตรีอย่างตัวเอง ไม่ค่อยมีความรู้ แน่นอนว่าต้องใช้คนรอบตัวมาเปรียบเทียบ!
“หากมีคนบอกว่าข้าปากหวานก้นเปรี้ยวกับเฉียวอี๋เหนียง ทำให้เฉียวอี๋เหนียงโกรธข้าจนกินข้าวไม่ลง ท่านโหวจะทำเช่นไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าเข้าใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ข้าก็เป็นภรรยาของท่านโหว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ท่านก็ต้องปกป้องข้า แม้แต่ต่อหน้าพี่ชายของตัวเอง คิดดูแล้วก็คงจะเหมือนกัน ไม่ว่าฮูหยินสามจะทำผิดมากเพียงใด เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าคุณชายสามคงจะอับอายและละอายใจ เอาแต่โทษตัวเองที่ดูแลเรือนของตัวเองได้ไม่ดี เขาจะคิดแก้ตัวได้เช่นไร”
นี่คือความคิดที่แท้จริงของนาง
นางไม่เชื่อว่าสวีลิ่งหนิงจะทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพราะเงินแค่ไม่กี่ตำลึง ไม่ว่าเช่นไร เขาก็คือคนที่ดูแลเงินกว่าหลายหมื่นตำลึง!
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
สืออีเหนียงรู้ว่าตัวเองพูดแทงใจเขา นางจึงตัดสินใจเตือนเขาตามเจตนาของเขาอีกสองสามประโยค
“จะว่าไป ตั้งแต่พี่สะใภ้สามดูแลจวน ทุกคนต่างชื่นชมว่านางเฉลียวฉลาดมีความสามารถ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองสามปีมานี้ที่มีคุณชายสามคอยช่วยดูแล ดีหรือไม่นั้น ข้าคิดว่าท่านโหวรู้ดีที่สุด ตอนนี้ท่านแม่มีชีวิตที่มีความสุขและอายุยืนยาวเช่นนี้ ก็เพราะว่าครอบครัวรักใคร่ปรองดองกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้เราเป็นถึงสกุลที่ข้องเกี่ยวกับราชวงศ์ ยิ่งต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องแยกกันอยู่ก็พยายามไม่แยกกันอยู่ ถึงแม้ว่าจะแยกกันอยู่ก็ไม่ควรแยกกันด้วยความขุ่นเคืองใจ เรื่องของข้าวรา พี่สะใภ้สามรีบร้อนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพื่อลมหายใจหรือเพื่อเงินทอง แต่ไม่ว่าเพื่อสิ่งใด ท่านโหวต้องเปิดอกพูดกับคุณชายสามอย่างตรงไปตรงมา ดูว่าคุณชายสามและพี่สะใภ้สามคิดเช่นไรกันแน่ หากเพื่อเงิน ข้าขอพูดคำที่ไม่น่าฟัง ข้างนอกไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ใช้อำนาจของท่านในการเลื่อนขั้น หาเงิน พี่ชายของตัวเอง ก็คงต้องทำตาม แต่หากเพื่อลมหายใจ ทุกคนเปิดอกคุยกัน ความโกรธแค้นนี้ก็จะค่อยๆ หายไป สรุปก็คือการอยู่อย่างสันติของครอบครัวคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฉินเกอและเจี่ยนเกอ รุ่นก่อนมีอะไรที่ไม่พอใจกัน อย่าปล่อยให้ความโกรธแค้นนี้ไปถึงรุ่นต่อไปเด็ดขาด ความโกรธแค้นนี้ยิ่งสะสมก็จะยิ่งลึก มันจะทำให้คนนอกหัวเราะเยาะเอาได้ ว่ากันว่า สามีภรรยาไม่รักใคร่ปรองดองกันเพื่อนบ้านก็จะรังแก ครอบครัวอย่างเรา ยิ่งไม่ควรทำพลาดเรื่องนี้ ท่านแม่ก็คงเคยผ่านมาหมดแล้วทุกอย่าง แต่กลับยอมเป็นแค่คนธรรมดา เกรงว่านางคงจะคิดเช่นนี้ ท่านโหวต้องคิดให้รอบคอบนะเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋มองดูสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ
และตอนนี้ สวีลิ่งหนิงคุณชายสามและภรรยาสกุลกานของเขาก็ตกใจ
“เจ้า…เจ้ายังมีหน้ามายอมรับ?” พูดจบ เขาก็ตบหน้าภรรยาของตัวเอง
สกุลกานจับแก้มของตัวเอง สายตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจ “ท่าน ท่านตบข้า…”
สวีลิ่งหนิงมองดูใบหน้าที่ค่อยๆ แดงของภรรยาตน ในใจของเขาพลันรู้สึกเสียใจ รู้สึกโมโห รู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดหวัง