คนเรามักจะยอมรับคนในระดับเดียวกันกับตัวเอง
ประโยคที่หวงฮูหยินบอกว่า ‘ทั้งสองเป็นคนล้างผลาญสมบัติ’ ทำให้คุณนายใหญ่สกุลหลินรู้สึกใกล้ชิดกับสืออีเหนียงมากขึ้น ถามนางว่าปกติอยู่ที่เรือนนางมีงานอดิเรกอะไร ชอบฟังละครงิ้วหรือไม่ คิดว่าเกิงฉังเซิงที่อยู่คณะฉังเซิงปานหรือว่าไป๋ซีเซียงที่อยู่คณะเจี๋ยเซียงตู้ที่ร้องเพลงได้ดี แล้วยังมีคุณนายสามสกุลหวงที่คอยหยอกล้ออยู่ข้างๆ ทั้งสามคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินที่เดินนำอยู่ด้านหน้าอาศัยโอกาสนี้หันกลับไปมอง แล้วสนทนากับหวงฮูหยินอย่างสบายใจเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าชาวซานตงแต่งลูกสะใภ้แตกต่างจากชาวเยี่ยนจิงอย่างไร
สถานที่รับประทานอาหารเป็นห้องโถงบุบผาขนาดเล็กที่มีห้าหกโต๊ะ มีเพียงหญิงสองคนนั่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีชายอายุห้าสิบกว่าปีสวมเสื้อกั๊กสีทองลายดอกไม้สิบชนิด เส้นผมดำคลับถูกม้วนขึ้น สวมเพียงกวาน[1]กวนอิมทองคำบนหัว สีหน้าเย็นชาเป็นอย่างมาก อีกท่านหนึ่งเป็นชายอายุสี่สิบกว่าปี สวมเสื้อกั๊กลายดอกโบตั๋นสีฟ้าคราม เกล้าผมขึ้นเหมือนดอกโบตั๋น ปักปิ่นหงส์ทองประดับมุกสีแดง สวมแหวนทับทิมสีแดง รอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยความระมัดระวัง มีหญิงอีกคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้สีแดงเข้มปักลวดลายกิ่งทองใบเขียวร้อยบุปผายืนอยู่ข้างๆ ทั้งสองคน มองดูแล้วนางอายุประมาณยี่สิบต้นๆ หน้าตาดูธรรมดา แต่หว่างคิ้วกลับแฝงไปด้วยความยิ่งยโส ทำให้รู้สึกว่าเข้าหาได้ยาก
คุณนายใหญ่สกุลหลินรีบพูดเสียงเบาว่า “เห็นคนที่สวมกระโปรงสีแดงผู้นั้นหรือไม่ นั่นคือคุณนายน้อยสามของสกุลถัง สะใภ้หยาง”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
สิ่งที่นางตกใจไม่ใช่การที่ได้พบปะกับบุตรสาวของเจี้ยนหนิงโหวที่นี่ แต่เป็นเพราะน้ำเสียงของคุณนายใหญ่สกุลหลินแฝงไว้ด้วยคำเตือน
ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะพบกันเป็นครั้งที่สอง แต่ได้พูดคุยกันเป็นเวลานานครั้งแรก…บางครั้งโชคชะตาช่างเป็นสิ่งที่แปลกจริงๆ!
ขณะที่กำลังถอนหายใจ ทั้งสามคนก็มองมาทางพวกนาง หญิงวัยสี่สิบปีผู้นั้นยิ้มแล้วรีบลุกออกจากที่นั่งมาต้อนรับพวกนาง “ทุกคนมาสายกันแล้ว”
ถังฮูหยินและคนอื่นๆ กล่าวทักทายสตรีนางนั้น “หลี่ฮูหยิน”
ไท่ฮูหยินกวักมือเรียกสืออีเหนียง “มาเร็ว มาคำนับฮูหยินของใต้เท้าหลี่ผู้บัญชาการทหารมณฑลซานซี”
สืออีเหนียงรีบเข้าไปคำนับหลี่ฮูหยิน
หลี่ฮูหยินคำนับกลับแล้วพูดว่า “ข้าจะรับการคารวะจากเจ้าได้อย่างไร นึกถึงตอนนั้นที่ท่านโหวช่วยนายท่านของพวกเรากลับมา…”
“นี่ก็ไม่ใช่บุญคุณอันใหญ่หลวงอันใด” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วขัดจังหวะสนทนาของหลี่ฮูหยิน “หลี่ฮูหยินเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
ขณะที่พูด หญิงวัยห้าสิบปีและคุณนายน้อยสามสกุลถังก็เดินเข้ามา
“ได้ยินมานานแล้วว่าท่านโหวได้แต่งกับสตรีผู้มีจิตใจดีและมีคุณธรรม คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงงามเช่นนี้” หญิงอายุห้าสิบปีผู้นั้นแย้มยิ้มพลางมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “ช่างเป็นวาสนาของท่านโหวของพวกเรา”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็เหงื่อออกหลัง
ก่อนที่จะแต่งงานกับสวีลิ่งอี๋นางเป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้คนรู้จักในอวี๋หังเท่านั้น จะไปมีชื่อเสียงด้านจิตใจดีมีคุณธรรมตั้งแต่เมื่อใดกัน ฮูหยินท่านนี้พูดเกินจริงมากไปแล้ว
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียงว่า “นี่คือฮูหยินของบัณฑิตสำนักหวาไก้เตี้ยน ใต้เท้าเหลียงเสนาบดีกรมอาญา”
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับเหลียงฮูหยิน
เหลียงฮูหยินรีบจับมือนาง “ท่านโหวกับนายท่านของพวกเราถือว่าเป็นพี่น้องกัน ฮูหยินไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง”
“ตายจริง” สะใภ้หยางที่ยืนอยู่ข้างๆ ปิดปากหัวเราะ “เช่นนี้น้องเขยผู้น่าสงสารของข้าก็มีอาสะใภ้เพิ่มมาอีกหนึ่งคนน่ะสิ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกสับสน
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสาวคนรองของคุณนายน้อยสามสกุลถังเป็นลูกสะใภ้สามของเหลียงฮูหยิน”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
แววตาของเหลียงฮูหยินผู้นั้นดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ นางหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่กลัวว่านางจะพิธีรีตองมากเกินไป”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่สะใภ้หยางผู้นั้นพูดไปเมื่อครู่
คุณนายสี่สกุลถังจัดแจงให้ทุกคนไปนั่งที่โต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
ไท่ฮูหยิน เจิ้งไท่จวิน หวงฮูหยิน และหลินฮูหยินนั่งโต๊ะเดียวกัน เหลียงฮูหยิน หลี่ฮูหยิน กานฮูหยิน และเฉียวฮูหยินนั่งโต๊ะเดียวกัน คุณนายใหญ่สกุลหลิน คุณนายสามสกุลหวง และสืออีเหนียงนั่งโต๊ะเดียวกัน ท่านป้าที่ต้อนรับแขกได้เชิญบรรดาท่านป้าและท่านอาของคุณหนูถังมาร่วมรับประทานอาหาร ทุกคนทักทายซึ่งกันและกัน ถังฮูหยินนั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับบรรดาท่านป้า ส่วนบรรดาท่านอาไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งด้วยกัน ทั้งห้าโต๊ะเต็มหมดแล้ว แต่ทางด้านของสืออีเหนียงยังว่างอยู่หนึ่งที่ คุณนายสี่สกุลถังยิ้มแล้วเอ่ยเรียกสะใภ้หยาง “เจ้าก็มานั่งด้วยกันเถิด”
สะใภ้หยางยิ้ม ขณะที่กำลังเดินเข้ามานั่ง มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงาน “โจวฮูหยินจากจวนองค์หญิงใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อคุณนายสี่สกุลถังได้ยินดังนั้นก็รีบออกไปต้อนรับ สะใภ้หยางเห็นดังนั้นก็เดินตามไป
คุณนายสามสกุลหวงอธิบายให้สืออีเหนียงฟังว่า “ท่านราชบุตรเขยนั้นแซ่โจว องค์หญิงใหญ่ก็อายุมากแล้วแต่เป็นคนมีน้ำใจเป็นกันเอง โจวฮูหยินนับเป็นลูกสะใภ้ที่มีหน้ามีตา นางเป็นบุตรสาวคนโตของเจิ้นหนานโหวมีนามว่าหวังเหรา”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที พูดเสียงเบาว่า “เป็นญาติของใต้เท้าหวังทูตฝูเจี้ยนใช่หรือไม่”
คุณนายสามสกุลหวงชะงักเล็กน้อย “คนในสกุลเจิ้นหนานหวังนั้นมีพี่น้องคนใดคนหนึ่งที่เป็นทูตฝูเจี้ยนจริงๆ พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”
เช่นนั้นก็ถูกแล้ว
คนที่มาขอหมั้นหมายสือเหนียงผู้นั้น
หวังฮูหยินผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกับเจียงฮูหยินท่านอาของสือเหนียง…
นางรู้ว่าคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แต่การที่ซับซ้อนถึงขั้นนี้ทำให้นางอดรู้สึกดีใจไม่ได้ หากวันนี้ไม่ใช่เพราะว่าไท่ฮูหยินตัดสินใจพานางออกมา คิดว่าการที่ตัวเองจะทำความเข้าใจกับความสัมพันธ์เหล่านี้ได้ เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าปี
สืออีเหนียงส่ายหน้า “ข้าเพียงแต่รู้จักฮูหยินของราชทูตใต้เท้าหวัง”
เมื่อคุณนายใหญ่สกุลหลินได้ฟังก็รู้สึกแปลกใจ กำลังจะซักถามถึงรายละเอียด คุณนายสี่สกุลถังและสะใภ้หยางก็เดินเข้ามาพร้อมกับสตรีวัยสามสิบปีที่สวมเสื้อกั๊กสีแดงปักลายผีเสื้อองุ่น
เจิ้งไท่จวิน ไท่ฮูหยินและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็นั่งนิ่งอยู่กับที่ กานฮูหยิน หลี่ฮูหยินและหญิงสาวคนอื่นๆ ลุกขึ้นทักทายโจวฮูหยิน
โจวฮูหยินท่าทางร่าเริงเป็นอย่างมาก นางย่อเข่าคำนับและเอ่ยทักทายแต่ละคน ถามเจิ้งไท่จวินว่าสุขภาพของนางเป็นอย่างไรบ้าง ถามไท่ฮูหยินว่าตานหยางเป็นอย่างไรบ้าง ถามหลินฮูหยินว่าคุณหนูห้าหลินหมิงหย่วนจะแต่งงานเมื่อใด ถามเหลียงฮูหยินว่าตีข้าวสาลีไปแล้ว ยามใดจะได้ตีข้าวบาร์เลย์ ทั้งหยอกล้อกานฮูหยินว่าเหตุใดถึงไม่ไปนั่งกับสกุลที่เกี่ยวดองกัน หรือว่าเขินอาย…นางทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวามากขึ้น สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ แต่ได้ยินคำพูดของโจวฮูหยินที่มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ก็อดที่จะเอ่ยปากถามคุณนายใหญ่สกุลหลินเบาๆ ไม่ได้ “กานฮูหยินเกี่ยวดองกับสกุลใดหรือเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มแล้วพูดว่า “กานหลานถิงหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่จวนใต้เท้าเหลียงแล้ว”
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “พวกเขาหมั้นหมายกันเมื่อใด”
“ปีนี้เมื่อเดือนสาม” คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้สกุลเหลียงอยากได้กานหลานถิงเป็นลูกสะใภ้มาโดยตลอด แต่สกุลกานต้องการให้กานเฉาเอ๋อร์คุณหนูสามสกุลกานแต่งงานก่อนแล้วค่อยหารือกันเรื่องการแต่งงานของหลานถิง ใครจะรู้ว่าพอถึงเดือนหกผู้อาวุโสของสกุลเจี่ยงก็ได้ล่วงลับไป สกุลเจี่ยงต้องการจัดงานแต่งงานภายในหนึ่งร้อยวัน แต่ว่าฝูเจี้ยนอยู่ห่างจากที่นี่หลายพันลี้ และยังเป็นฤดูร้อนอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง สกุลกานจึงทำได้เพียงให้เฉาเอ๋อร์รอไปก่อนสามปีแล้วค่อยว่ากัน จึงได้ปรึกษางานแต่งของหลานถิงก่อน จะว่าไปแล้วหลานถิงก็อายุไม่น้อยแล้ว ไท่ฮูหยินสกุลเหลียงก็ป่วยออดๆ แอดๆ หากเป็นอะไรขึ้นมา ทางฝั่งของหลานถิงก็ต้องรอไปอีกสามปีเช่นกัน ถัดจากนางยังมีน้องสาวอีกสองคนที่ยังจะต้องหารือเรื่องแต่งงานอยู่อีก”
สืออีเหนียงเข้าใจอย่างรวดเร็ว ฟังออกในบางเรื่อง จึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านบอกว่าคุณหนูสามสกุลกานจะแต่งกับ ‘หนึ่งสกุลสี่บัณฑิต ตั้งแต่บรรพบุรุษยันรุ่นหลาน’ สกุลเจี่ยงแห่งเจี้ยนอาน ส่วนคุณหนูเจ็ดสกุลกานก็หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่สกุลเหลียง”
เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่าคุณหนูสามสกุลกานจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับสกุลเดิมของเฉียวฮูหยินอย่างนั้นหรือ
ช่างซับซ้อนเสียจริง!
“ใช่แล้ว!” คุณนายใหญ่สกุลหลินพยักหน้า เหลือบมองสะใภ้หยางจากนั้นก็ขยิบตาให้สืออีเหนียง “สกุลหยางอยากจะให้บุตรสาวคนรองแต่งกับคุณชายใหญ่สกุลเหลียง แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่สกุลเหลียงได้หมั้นหมายกับคุณหนูเจ็ดสกุลกานไว้นานแล้ว คุณชายรองก็ได้หมั้นหมายกับบุตรสาวคนรองของหวงอวี้ ผู้ตรวจการณ์มณฑลเจ้อเจียง ดังนั้นบุตรสาวคนรองสกุลหยางจึงได้แต่งกับคุณชายสามสกุลเหลียง” พูดพลางกั้นหัวเราะ
สืออีเหนียงเข้าใจแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นสกุลใหญ่หรือครอบครัวเล็กๆ ลูกสะใภ้คนโตจะเป็นหน้าเป็นตาของสกุล เป็นคนที่คอยดูแลสมาชิกในเรือน ดังนั้นการเลี้ยงดูบุตรชายคนโตและการเลือกลูกสะใภ้จึงจะต้องระมัดระวังและรอบคอบ การที่สกุลเหลียงทำเช่นนี้เพราะความจริงแล้วไม่ได้อยากเป็นดองกับสกุลหยาง…นึกถึงความเฉลียวฉลาด ไร้เดียงสา และความใจกว้างของหลานถิง ไม่แปลกใจเลยที่สกุลเหลียงอยากจะได้นางเป็นสะใภ้มาโดยตลอด
นางยิ้มแล้วขยิบตาให้คุณนายใหญ่สกุลหลิน “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มแล้วหรี่ตาลง
จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินผู้นี้เป็นคนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
คุณชายรองสกุลเหลียงแต่งงานกับบุตรสาวคนรองของหวงอวี้ ผู้ตรวจการณ์มณฑลเจ้อเจียง…นางนึกถึงวันเกิดของไท่ฮูหยินที่ตอนนั้นนายหญิงใหญ่ต้องการจะมอบม่านกันลมปักลาย ‘อายุร้อยปี’ ให้เป็นของขวัญ อู่เหนียงต้องการใช้ไม้จื่อถานเป็นฐานฉากม่านกันลม สกุลหลัวมีไม้ชนิดนี้อยู่หนึ่งชิ้น แต่ถูกหลัวเจิ้นซิ่งนำไปแกะสลักเป็นของขวัญวันเกิดให้ท่านแม่ของใต้เท้าหวง…เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปีแล้ว ชีวิตของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากมาย
จะว่าไปแล้วนางยังติดหนี้หลานถิงอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อหลานถิงรู้ว่านางได้เป็นภรรยาตัวแทนของสวีลิ่งอี๋ก็เคยเตือนนางอย่างอ้อมค้อมว่าให้นางอ่านหนังสือธรรมะให้มาก หวังว่านางจะได้ความสงบของจิตใจจากมันจนสามารถผ่านความทุกข์ยากทั้งหมดได้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางไม่มีเวลามาสนใจตัวเองจึงไม่กล้าติดต่อกับหลานถิงมากนัก นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ติดอยู่ในใจของนางมาตลอด
ขณะที่กำลังครุ่นคิดไท่ฮูหยินก็กวักมือเรียกนาง
สืออีเหนียงรีบลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปหาไท่ฮูหยิน
“โจวฮูหยิน นี่คือลูกสะใภ้สี่ของข้า” จากนั้นก็ชี้ไปที่โจวฮูหยินแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “นี่คือลูกสะใภ้ของจวนองค์หญิงใหญ่ คนเก่งในเยี่ยนจิงของพวกเรา โจวฮูหยิน”
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับนาง โจวฮูหยินรีบคำนับกลับ พูดกับไท่ฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าก็คิดอยู่ว่านี่คือผู้ใดกัน ท่าทางสง่างามเช่นนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ที่แท้ก็เป็นฮูหยินสี่จากจวนของท่านนี่เอง”
สะใภ้หยางยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาว่า “ท่านรู้สึกว่านางหน้าตาคล้ายกับซ่งเจี๋ยอวี๋หรือไม่”
โจวฮูหยินพูดคุยกับสืออีเหนียงราวกับว่าไม่ได้ยินที่สะใภ้หยางพูด “จวนของข้าอยู่ที่ตรอกแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างกับเหอฮวาหลี่ หากมีเวลาว่างก็ไปเที่ยวเล่นที่จวนข้าได้ ท่านโหวกับสกุลของเราแล้วก็ยังมีซุ่นอ๋องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก สนิทสนมกันดี เจ้าไม่ต้องเกรงใจมากเกินไป”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้ เมื่อถึงเวลาข้าจะไปเยี่ยมเยียนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“พี่สะใภ้อะไรกัน” โจวฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เรียกพี่หญิงสิ”
สืออีเหนียงหันไปมองไท่ฮูหยินในทันที เมื่อเห็นว่าไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อย นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยเรียกโจวฮูหยินว่า “พี่หญิง”
โจวฮูหยินยิ้มตอบรับในทันที จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับคุณนายสี่สกุลถังว่า “เจ้ามิต้องลำบากใจไป ข้าจะไปนั่งอัดกันกับฮูหยินสี่”
คุณนายสี่สกุลถังรีบพูดขึ้นมาว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากทานอาหารจวนเจ้าขนาดนั้นเลยหรือ” โจวฮูหยินหัวเราะ “ข้าก็แค่อยากมาร่วมสนุกด้วย ที่ใดก็มีให้กินให้ดื่มทั้งนั้นแหละ” พูดพลางหันไปถามสืออีเหนียงโดยไม่สนว่าคุณนายสี่สกุลถังจะพูดอะไร “เจ้านั่งตรงที่ใด พวกเราพี่น้องพึ่งจะเจอกันครั้งแรกต้องพูดคุยกันเยอะเสียหน่อย” จากนั้นก็หันไปพูดกับไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ว่า “เดิมทีข้าควรจะนั่งตรงนี้ ท่านป้าทั้งหลายเห็นแก่ที่แม่สามีข้าไม่ได้มาในวันนี้ยอมให้ข้าทำตัวโอหังสักหน่อยเถิด ข้าขอไปนั่งทำตัวเป็นพี่ใหญ่อยู่ที่โต๊ะของฮูหยินสี่”
ทำเอาบรรดาฮูหยินพากันหัวเราะ
น้อยครั้งที่เจิ้งไท่จวินจะพูดจาหยอกล้อ “พรุ่งนี้ข้าจะไปฟ้ององค์หญิงใหญ่”
โจวฮูหยินดึงแขนเสื้อเจิ้งไท่จวินไว้ไม่ยอมปล่อย “พรุ่งนี้ข้าจะนำผลไม้รสหวานไปเยี่ยมท่านป้า” ทำเอาเจิ้งไท่จวินหัวเราะ แตะที่หน้าผากนางเบาๆ “ไปเถิด ไปเถิด จะได้ไม่ต้องสร้างความวุ่นวายให้พวกเราที่นี่”
ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
นางพาสืออีเหนียงไปที่โต๊ะอาหารของสืออีเหนียง
———————-
[1]กวาน คือ สิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะเพื่อเป็นเครื่องบอกระดับยศและสถานะ