ป้าตู้รีบพาคนรับใช้ในห้องออกไปทันที ภายในห้องเหลือเพียงไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ คุณชายสาม คุณชายห้า และสืออีเหนียง
สืออีเหนียงชงชาร้อนให้ทุกคน จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านหลังไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋มองไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ท่านเล่าเหตุการณ์ที่ท่านเข้าวังในวันนี้มาก่อนขอรับ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย นางคงกำลังคิดถึงตอนที่ได้พบกับบุตรสาว ขอบตาจึงได้มีน้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย “ฮองเฮาบอกว่า ฝ่าบาทได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว องค์ชายห้าทรงเสวยอาหารจนท้องเสีย แต่สำนักหมอหลวงวินิจฉัยผิดเป็นโรคบิด แล้วก็ไม่กล้าใช้ยาเพราะกลัวจะเป็นอันตราย จึงทำให้การรักษาล่าช้า…”
เมื่อคุณชายห้าได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความโกรธเคือง “หมอเถื่อนพวกนี้ คราวที่แล้วก็รักษาท่านแม่ของใต้เท้าเวยแห่งศาลต้าหลี่จนเวยไท่ฮูหยินเสียชีวิต ควรจะรายงานฝ่าบาทให้ประหารพวกเขาทั้งตระกูล”
คุณชายสามได้ยินเช่นนั้นก็กระแอมเบาๆ
เมื่อคุณชายห้าสังเกตเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของสวีลิ่งอี๋ ก็หยุดพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็อย่าไปคิดหรือคาดเดาให้มากความ” สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ พูด “การที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เป็นเหตุให้ทุกคนจับจ้องมาที่จวนเรา พี่สาม” สายตาของเขาจับจ้องไปที่คุณชายสาม “ท่านต้องดูแลผู้ดูแลในเรือนให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้พวกเขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูด หากท่านได้ยินคำนินทาใดๆ ก็จะต้องรู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร”
คุณชายสามรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าเรียกผู้ดูแลเหล่านั้นมากำชับตลอดทั้งคืน โดยเฉพาะผู้ดูแลส่วนรายงาน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
คุณชายสามลุกขึ้น “เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ข้าจะไปเรียกเหล่าผู้ดูแลมารวมตัวกัน” แล้วพูดต่อว่า “ป่านนี้แล้ว คาดว่าคนที่ไปรับพี่สะใภ้สองที่ซีซานน่าจะกลับมาถึงแล้ว พอดีเลย ข้าจะได้ออกไปต้อนรับ”
“ท่านไปเถิดขอรับ!” สวีลิ่งอี๋ตอบรับ คุณชายสามเดินเข้าไปคารวะไท่ฮูหยินแล้วเดินออกไป
เมื่อเดินไปถึงประตูก็พบกับฮูหยินสาม “เจ้ากลับมาทำไมอีก!”
“ก็ข้าเป็นห่วงท่าน” ฮูหยินสามมองเข้าไปที่ห้องด้านใน “พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องใดกัน”
“ยืนอยู่ตรงนี้ขวางหูขวางตาผู้อื่น” คุณชายสามจูงฮูหยินสามออกไปด้านนอก “พวกเราเดินไปคุยไปดีกว่า”
ฮูหยินสามตอบเพียงว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเดินตามสามีออกไปด้านนอก
“ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย” คุณชายสามเล่าคำพูดของสวีลิ่งอี๋ให้ฮูหยินสามฟัง “…ให้ข้าไปกำชับบรรดาผู้ดูแล”
เมื่อฮูหยินสามได้ยินเช่นนั้นก็เบ้ปาก “ข้าไม่เชื่อหรอก คนดีๆ ที่ไหนจะถูกหมอหลวงรักษาจนเสียชีวิต”
คุณชายสามไม่ได้พูดอะไร
ฮูหยินสามสะกิดแขนสามี “นี่…แล้วสืออีเหนียงไปทำอะไรในนั้นหรือ”
คุณชายสามไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของภรรยาของตน แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วพูดว่า “ในนั้นไม่มีสาวใช้เลย น้องสี่จึงให้นางอยู่ช่วยรินน้ำชาให้”
“ข้าไม่เชื่อหรอก” น้ำเสียงของฮูหยินสามกลับมากระตือรือร้นเหมือนเดิม “พี่สะใภ้สองจะมาถึงเมื่อใด”
“ข้ากำลังจะออกไปต้อนรับ!”
“ข้าจะไปกับท่าน!” น้ำเสียงของฮูหยินสามแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
ทางด้านในห้อง เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าคุณชายสามออกไปแล้ว สายตาก็จับจ้องไปที่คุณชายห้า “พรุ่งนี้หลังจากไปถึงงานพิธีที่ประตูซือซ่านแล้ว เจ้าจงอยู่แต่ที่นั่น หากไปที่อื่น ข้าจะให้เจ้าลาออกจากตำแหน่งมาอยู่เฉยๆ ที่จวน นับจากนี้ไป ห้ามไปไหนทั้งนั้น!”
คุณชายห้าเบิกตาโต “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย…”
แววตาของสวีลิ่งอี๋เย็นชา
คุณชายห้ารีบตอบเสียงเบาว่า “เข้าใจแล้วขอรับ” ด้วยท่าทางไม่เต็มใจเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางหันไปพูดกับสืออีเหนียง “เจ้าไปชงชามาให้พวกเราใหม่”
สืออีเหนียงตอบรับแล้วเดินออกไป เมื่อเห็นว่าด้านนอกห้องโถงไม่มีผู้ใดอยู่เลย นางจึงยืนอยู่ด้านนอกฉากกั้นเงียบๆ ฟังพวกเขาพูดคุยกัน
“ลิ่งควน เจ้าเป็นเด็กดี” ไท่ฮูหยินพูดเบากว่าปกติ ราวกับว่ากลัวจะมีใครได้ยิน “นิสัยตรงไปตรงมา จริงใจต่อผู้อื่น คนอื่นเห็นเจ้าเป็นสุภาพบุรุษจึงมักจะถูกคนไม่ดีหลอกลวงด้วยแผนการร้าย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่เรื่องของหวังหลังก็เห็นได้ชัดแล้ว เขากับเจ้าเติบโตมาด้วยกัน เจ้าเห็นเขาเป็นเสมือนพี่น้อง ข้าก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนหลานชาย เขาฆ่าคนตาย แต่กลับมาหลอกลวงเจ้า อยากจะอาศัยเจ้า ให้เจ้าช่วยรับโทษ หากไม่ใช่เพราะพี่สี่ของเจ้าไหวตัวทัน เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร”
มิน่าล่ะถึงได้ให้นางออกมา ที่แท้เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องไปถึงหวังหลัง
หากเป็นอย่างที่ไท่ฮูหยินพูดจริงๆ การที่สกุลสวีและสกุลหวังเมินเฉยต่อกันนั้นก็นับว่าถูกต้องแล้ว…
“ท่านแม่” น้ำเสียงของคุณชายห้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ข้าสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าทำอีกแล้วขอรับ”
“เจ้าไม่ได้ป้องกันตัวเองจากคนที่มีแผนการในใจ ย่อมหลงกลได้ง่าย”
น้ำเสียงของไท่ฮูหยินไม่ได้มีการตำหนิ มีเพียงความเป็นห่วงเท่านั้น
“ตอนนี้แม่ก็อายุมากแล้ว ไม่สามารถทนรับเรื่องเหล่านี้ได้อีกต่อไป เจ้าใช้ชีวิตให้ดี อย่าไปฟังคำนินทาเหล่านั้น ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ เท่านี้แม่ก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ พี่สี่ของเจ้าก็เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไปมาหาสู่กับคนพวกนั้นอีก”
“ท่านแม่” คุณชายห้าให้คำมั่นสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าจะอยู่ที่ประตูซือซ่านไม่ไปไหนทั้งนั้นแน่นอนขอรับ”
“เจ้าตามพี่สี่ของเจ้าไป พี่สี่ของเจ้าพักที่ใดเจ้าก็พักที่นั่น…”
สืออีเหนียงได้ฟังสิ่งที่นางอยากฟังเรียบร้อย จึงหันหลังแล้วเดินออกไปชงชาร้อน แต่กลับเห็นคุณชายสามและฮูหยินสามเดินเข้ามาพร้อมกับสตรีร่างสูงในชุดคลุมจิ้งจอกขาว
“น้องสะใภ้สี่ ดูสิว่าใครกลับมาแล้ว” น้ำเสียงของฮูหยินสามราวกับยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น
สืออีเหนียงเพ่งมอง พบว่าที่แท้ก็เป็นฮูหยินสอง
“พี่สะใภ้สอง ท่านกลับมาแล้ว” สืออีเหนียงทักทายนางอย่างสุภาพแล้วไปรายงานไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ พี่สะใภ้สองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“รีบเข้ามาเร็ว รีบเข้ามาเร็ว” น้ำเสียงของไท่ฮูหยินแฝงไว้ด้วยความยินดี คุณชายห้าเปิดม่านขึ้น รู้สึกราวกับสายลมพัดผ่าน “พี่สะใภ้สอง”
ฮูหยินสองถอดหมวกคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้างดงาม
“น้องห้า ตานหยางสบายดีหรือไม่” นางยิ้มทักทายคุณชายห้า
คุณชายห้าท่าทางลำบากใจ “ตานหยางค่อนข้างเอาแต่ใจ…”
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน” ฮูหยินสองมีท่าที่อ่อนโยน “แล้วสุขภาพของท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง” เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วมองเข้าไปยังห้องด้านใน
คุณชายห้ารีบช่วยนางเปิดม่าน “ท่านแม่สบายดีขอรับ”
ทุกคนพากันเดินห้อมล้อมนางเข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงไปชงชาร้อนแล้วยกเข้าไป ฮูหยินสองและคนอื่นๆ พากันนั่งลงตามลำดับ กำลังพูดเรื่องพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขององค์ชายห้า เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามาฮูหยินสามก็ลุกขึ้นช่วยยกชา บทสนทนาจึงถูกขัดจังหวะ
เมื่อนำชามาวางคุณชายสามก็จิบไปหนึ่งอึกแล้ววางถ้วยชาลง “พวกเราขอตัวก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องทำ”จากนั้นก็ส่งสายตาให้ฮูหยินสาม
ฮูหยินสามยังไม่อยากไป แต่เมื่อเห็นท่าทีเด็ดเดี่ยวของสามีก็ลุกขึ้นตามคุณชายสามไปอย่างอิดออด
“เจ้าเองก็ควรรีบพักผ่อน” ไท่ฮูหยินพูดกับคุณชายห้า “ตานหยางอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวนเพียงลำพัง ข้าไม่วางใจ”
คุณชายห้าลุกขึ้นตอบรับ “ขอรับ” เขาคำนับคนในห้องแล้วตรงกลับไปที่สวนดอกไม้หลังจวน
สวีลิ่งอี๋ชี้ไปที่เก้าอี้ไท่ซือที่คุณชายห้านั่งเมื่อครู่แล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าก็มานั่งด้วยกันเถิด”
เมื่อฮูหยินสองได้ฟังก็เงยหน้ามองสืออีเหนียงอย่างรวดเร็วแล้วรีบหลบสายตาทันที ก้มหน้าพลางจิบชา
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่า…ตัวเองจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการประชุมชั้นสูงของสกุลสวีได้รวดเร็วขนาดนี้
นางตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนเฉกเช่นผู้ที่มาใหม่
“อี๋เจินก็กลับมาแล้ว” ไท่ฮูหยินมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าพูดมาเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเคร่งขรึม “พอได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายห้า ข้าก็ส่งคนไปหาแม่นมขององค์ชายห้าอย่างป้าเซินกับบริวารคนสนิท แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ป้าเซินฆ่าตัวตายด้วยยาพิษ ส่วนบริวารคนสนิทก็ตกน้ำตายกันหมด ข้ากลัวว่าฮองเฮาจะวู่วามตรัสกับฮ่องเต้ด้วยความโมโหทำให้ต้องขัดแย้งกัน จึงทำได้เพียงกำชับคนในสำนักหมอหลวงให้คิดหาวิธี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุด และแนะนำให้ฝ่าบาทบอกว่าองค์ชายห้าทรงประชวรเพราะเครื่องเสวย ทางที่ดีควรส่งฮองเฮา องค์ชายใหญ่ และองค์ชายสามออกจากวังชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุอะไรขึ้นอีก คาดว่าฮ่องเต้ก็คงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล พระองค์จึงตอบตกลงในทันที แล้วยังหาข้ออ้างว่าองค์ชายสามไม่ค่อยสบาย ให้ฮองเฮาพาไปแช่บ่อน้ำร้อนที่ซีซาน บอกกับฮองเฮาว่าสองวันมานี้องค์ชายห้าค่อนข้างซุกซนจึงถูกอาจารย์อบรมสั่งสอนและเพื่อที่จะไม่ให้องค์ชายห้าร้องโวยวายอยากติดตามไปด้วยจึงไม่ให้องค์ชายห้ามากล่าวลาฮองเฮา รอสองวันผ่านไปค่อยส่งองค์ชายห้าไปที่ซีซาน ฮองเฮาทรงไม่ได้สงสัยสิ่งใดจึงได้พาองค์ชายสามไปที่พระตำหนักที่ซีซาน สองวันถัดมาองค์ชายห้าก็ได้สิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้นั้นทรงเก็บเป็นความลับ พระองค์ทรงค้นหาต้นตอจนไปถึงพระตำหนักฉือหนิง…”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ใจเต้นระรัว
ฮองเฮาไม่มีทางปิดบังมารดาของตัวเองเป็นแน่ ความจริงที่ว่าองค์ชายห้านั้นสิ้นพระชนม์เพราะเสวยยาไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่บอกเรื่องนี้กับนาง…ดูแล้วฮ่องเต้คงจะไม่ตามสืบเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นจึงได้จัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้น…
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย
“ไม่จริง” ไท่ฮูหยินพูดแทรกขึ้นมาทันที “ในเมื่อพระโอรสของตัวเองต่างก็ตกเป็นเป้าโจมตี จะละทิ้งพระโอรสองค์โตหรือพระโอรสองค์เล็ก องค์ใดองค์หนึ่งได้อย่างไร นี่มันไม่ถูกต้อง…”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าสิ่งที่ไท่ฮูหยินพูดนั้นมีเหตุผล
เรื่องในวังหลวง มีทั้งเรื่องจริงและเท็จ หากไม่ระวังให้ดีผู้มีพระคุณก็จะกลายเป็นศัตรู และบางทีศัตรูก็กลายเป็นผู้มีพระคุณ…แม้ว่านางจะไม่เคยมีประสบการณ์ตรง แต่นางเคยอ่านในพงศวดารพวกนั้น
“ปีนี้องค์ชายใหญ่อายุสิบสี่ปีแล้ว” ฮูหยินสองพูดพึมพำว่า “ส่วนปีนี้องค์ชายสามเองก็อายุสิบเอ็ดปีแล้ว พวกเขาทั้งสองถือกำเนิดในจวนองค์ชาย ได้เห็นกับตาว่าพระบิดาของตัวเองนั้นไต่เต้าตั้งแต่องค์ชายไปเป็นรัชทายาทแล้วขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร แต่องค์ชายห้านั้นไม่เหมือนกัน ตอนที่เขาเริ่มรู้ความพระบิดาก็ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้และเสด็จแม่ก็ได้เป็นฮองเฮาแล้ว เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่สูงศักดิ์ในโลกใบนี้…ปีนี้เขาอายุแค่ห้าขวบ…”
ฮูหยินสองแสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างมีนัยยะ องค์ชายใหญ่และองค์ชายสามเริ่มเติบโตแล้ว จึงรู้ความเกี่ยวกับเรื่องภายในวังหลวงอยู่บ้างและเริ่มฉลาดรู้ทันแผนการ ทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกคนจัดการ แต่องค์ชายห้าที่อายุเพียงห้าขวบนั้นยังคงมีจิตใจที่ไร้เดียงสาและง่ายต่อการลงมือ
“…นอกจากนี้ต่อให้มีเรื่องเกิดขึ้นกับองค์ชายใหญ่ก็ไม่ทำให้ตำแหน่งขององค์ชายสามและองค์ชายห้าเสียหาย ขอเพียงแค่ฮ่องเต้และฮองเฮายังคงรักใคร่กันดี ก็ยังมีโอกาสที่จะให้กำเนิดองค์ชายอีก…”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ใจเต้นแรง
สวีลิ่งอี๋เคยพูดไว้ว่าฮองเฮาทรงเคารพฮ่องเต้ในฐานะพระสวามีมากกว่าการยำเกรงในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ นัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่าฮองเฮายังคงไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาว อีกนัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และฮองเฮาไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น อาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป ในขณะที่มีความรักหวานชื่นพวกเขาก็ทะเลาะกันเหมือนคนทั่วไป หรือแม้กระทั่งบางครั้งอาจจะเกิดการโกรธกัน…
ดังนั้นแผนการนี้จึงไม่ใช่เพื่อฆ่าพระโอรสของฮองเฮา แต่เพียงเพื่อให้ฮ่องเต้และฮองเฮาผิดใจกัน เพราะว่าฮองเฮาที่ไม่มีพระโอรสจะทำให้เกิดการระแวงว่าตำแหน่งจะไม่มั่นคง แต่ว่าการที่กำจัดพระโอรสของฮองเฮา เกรงว่าจะน่าอึดอัดยิ่งกว่าพระโอรสของพระสนมที่มีฐานะต่ำต้อยเหล่านั้น และน่ากลัวยิ่งกว่า
นางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองได้เห็นในพระตำหนักคุนหนิงอีกครั้ง ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้เพียงสี่ปี นอกจากจางเจี๋ยอวี๋กับอวี๋เหม่ยเหรินที่เป็นคนเก่าในจวนอ๋องแล้ว นอกนั้นก็ได้แต่งตั้งเพราะให้กำเนิดพระโอรส จากนั้นก็ได้แต่งตั้งหวงกุ้ยเฟยเพิ่มมาหนึ่งคน นางสนมเพิ่มสองคน เจี๋ยอวี๋หนึ่งคนและเหม่ยเหรินอีกหนึ่งคน…เช่นเดียวกับบุรุษทั่วไปที่เมื่อได้ครอบครองตำแหน่งฮ่องเต้ก็จะเพลิดเพลินกับอำนาจในมือ ในขณะเดียวกันก็เริ่มเพลิดเพลินกับเหล่าสตรี