“ท่านพ่อ เรือนจี้ชั่งอยู่ไม่ได้หรือเจ้าคะ” หนานกงมั่วไม่สนใจสีหน้าของพ่อบ้าน หันกลับไปถามหนานกงไหว เท้าของหนานกงไหวหยุดไปเล็กน้อย โบกมือพลางตอบ “เอาตามนี้เถิด ตอนนี้เรือนจี้ชั่งเข้าไปอยู่ได้หรือไม่ หากยังอยู่ไม่ได้ก็รีบเก็บกวาดให้คุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้” ในขณะที่เอ่ย เท้าของหนานกงไหวก็ก้าวเข้าประตูใหญ่ไปแล้ว
ด้านนอก ทุกคนมองสบตากันด้วยท่าทีแตกต่างกันออกไป พ่อบ้านรีบเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางนอบน้อม “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ เรือนจี้ชั่งนั้นมีคนคอยดูแลอยู่ทุกวัน สามารถเข้าพักได้ทันทีขอรับ ข้าน้อยจะให้คนช่วยขนสัมภาระของคุณหนูใหญ่เข้าไปขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “ลำบากแล้ว”
หนานกงฮุยยิ้ม “มั่วเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล พี่รองจะให้คนช่วยจัดการให้ รีบไปเถิด เจ้าเหนื่อยมาตลอดทางแล้ว”
เจิ้งซื่อที่ตามมาด้านหลังใบหน้าเข้มขึ้น ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ท่านพี่ไม่ถามนางแม้เพียงนิดก็ให้หนานกงมั่วเข้าไปอยู่ที่เรือนจี้ชั่ง แล้วจะให้นางที่เป็นฮูหยินเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน เมื่อได้รับสายตาเยาะเย้ยจากเหล่าอนุภรรยา เจิ้งซื่อรับรู้เพียงความโกรธที่ปะทุขึ้นมาบนใบหน้า
“พี่ซูเอ๋อร์ นั่นคือพี่สาวหรือเจ้าคะ ท่านลุงดูจะรักนางมาก” เด็กสาวในอาภรณ์สีเขียวเข้ามากอดแขนหนานกงซูเอ่ยถามเสียงออดอ้อน เรือนจี้ชั่งคือที่ใดน่ะหรือ นั่นคือสถานที่ที่งดงามที่สุดในจวนหนานกงเลยนะ น่าเสียดายที่ไม่ยอมให้พวกนางได้เข้าไป ไม่คิดว่าหนานกงมั่วที่พึ่งกลับมากลับได้เข้าไปอยู่ที่เรือนจี้ชั่ง
หนานกงซูที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ใบหน้ายิ่งไม่น่ามองยิ่งขึ้นไปอีก ยกแขนออกจากการเกาะกุมของเด็กสาว เอ่ยเสียงเย็น “รักอันใดกันเล่า สถานที่ที่คนตายเคยอยู่ก็มีแต่ความทุกข์เท่านั้น” ความจริงแล้ว หนานกงซูนั้นโกรธจนตัวแทบสั่นอยู่แล้ว นางคิดว่าหนานกงมั่วช่างเกิดมาขัดขวางนางเสียจริง คอยดูเถิด
“พี่ซูเอ๋อร์ ท่านลุงเข้าไปแล้ว เราเข้าไปกันเถิดเจ้าค่ะ เจียวเอ๋อร์คิดถึงท่านมาก เจียวเอ๋อร์จะอยู่เป็นเพื่อนท่านที่จวนฉู่กั๋วกงดีหรือไม่เจ้าคะ” เด็กสาวราวกับไม่สังเกตเห็นท่าทางเย็นยะเยือกนั้น เอ่ยออกมาอย่างออดอ้อน
หนานกงซูเหลือบตามองนาง หลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจียวเอ๋อร์อยู่เป็นเพื่อนข้าแน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้วสิ”
“ดีจังเลย ข้ารู้ว่าพี่ซูเอ๋อร์ดีที่สุดแล้ว” หนานกงเจียวเอ่ยด้วยท่าทางมีความสุข “เราเข้าไปกันเถิดเจ้าค่ะ” ทั้งสองจูงมือกันเข้าไป ราวกับพี่น้องที่รักกันมาก ในที่ที่มองไม่เห็น รอยยิ้มเย้ยหยันของหนานกงซูก็ปรากฏขึ้น คิดว่านางไม่รู้หรือว่าหนานกงเจียวคิดจะทำอันใด เป็นเพียงบุตรีของท่านอา คิดว่าตนเองเป็นคุณหนูจวนกั๋วกงจริงๆ งั้นหรือ
ด้านหลังของพวกเขา หนานกงชวี่เก็บท่าทีของทุกคนเอาไว้ในสายตา ใบหน้าเรียบนิ่งไร้เกลียวคลื่น
“พี่ใหญ่ ไม่เข้าไปหรือ”
“น้องชาย เข้าไปเถิด” มองชายหนุ่มตรงหน้า หนานกงชวี่ตอบกลับเสียงเรียบ
ทั่วทั้งจวนหนานกงต่างพากันแปลกใจต่อคุณหนูใหญ่ที่ออกจากบ้านไปห้าปีผู้นี้ แต่เพราะท่าทีของหนานกงไหวต่อเรื่องเรือนจี้ชั่งนั้นทำให้ทุกคนไม่กล้าดูแคลนคุณหนูใหญ่ผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูใหญ่ดูไม่ใช่หญิงอ่อนแอที่จะยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ คนเก่าแก่ของจวนฉู่กั๋วกงนั้นยิ่งรู้ดี แม้คุณหนูใหญ่จะถูกนายท่านส่งกลับบ้านเกิดที่ตานหยางเป็นเวลาห้าปี แต่เมื่อครั้งห้าปีก่อนที่คุณหนูใหญ่ยังเด็กอยู่นั้นก็ได้แสดงความกล้าหาญออกมาให้พวกเขาได้เห็นกันแล้ว ห้าปีผ่านไป เด็กกล้าหาญผู้นั้นเมื่อเติบโตแล้วจะกลายเป็นตุ่มหนองหรือไม่
เมื่อกล่าวลาหนานกงไหว หนานกงมั่วจึงพาบ่าวรับใช้มาที่เรือนจี้ชั่ง แม้ตัวนางจะไม่เคยมาที่แห่งนี้ แต่สำหรับความทรงจำของหนานกงชิงแล้ว แม้แต่ต้นหญ้าหรือต้นไม้ทุกต้นนางล้วนจำได้อย่างชัดเจน เดินมาตามทางที่คดเคี้ยว เมื่อผ่านเข้ามายังประตูที่มีดอกไม้งามสะพรั่งจะมองเห็นสวนที่มีพื้นที่กว้าง เรือนจี้ชั่งเป็นเรือนที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในจวนฉู่กั๋วกง เพราะในบริเวณเรือนนั้นมีสวนดอกไม้ส่วนตัว บริเวณสวนกินพื้นที่เรือนจี้ชั่งไปแล้วเกือบครึ่ง ตอนนี้เป็นเดือนสาม ดอกไม้ใบหญ้าในเรือนกำลังบานสะพรั่ง ดอกไม้และต้นไม้ทุกชนิดในสวนล้วนได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม เห็นได้ชัดว่ามีคนคอยดูแลอยู่ตลอด
“คุณ…คุณหนูใหญ่” น้ำเสียงแก่ๆ ดังขึ้น น้ำเสียงนั้นสั่นด้วยความดีใจ
หนานกงมั่วหันกลับมาในมุมเล็กๆ ก็เห็นหญิงวัยห้าสิบกว่ากำลังถือถังน้ำในมือและมองมายังนาง แปลกใจอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงเอ่ยเสียงเบา “แม่นมหลานงั้นหรือ”
ตุ้บ!
ถังน้ำในมือหญิงชราหล่นกระแทกพื้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นปรากฏความยินดี ห้ามน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาไว้ไม่อยู่ แม่นมหลานรีบสาวเท้าเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหนานกงมั่ว เอ่ยพร้อมน้ำตา “คุณหนูใหญ่…ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว คุณหนูใหญ่โตแล้ว คุณหนู…คุณหนูที่ตายไปแล้วก็คงตายตาหลับ”
“แม่นมหลาน ข้ากลับมาแล้ว” หลังจากยื่นมือออกไปพยุงแม่นมหลานที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ หนานกงมั่วจึงเอ่ยบอก แม่นมหลานเป็นสาวใช้เคียงกายเมิ่งซื่อ อายุมากกว่าเมิ่งซื่อหกเจ็ดปี ติดตามเมิ่งซื่อมาตั้งแต่เด็ก หลังจากสกุลเมิ่งล่มสลายไปแม่นมหลานก็เป็นคนเดียวที่ยังติดตามสกุลเมิ่งอยู่ หลายปีที่เมิ่งซื่อเจ็บป่วยก็เป็นแม่นมหลานที่เลี้ยงหนานกงชิงมาจนเติบใหญ่ ดังนั้นทั้งครอบครัวหนานกงนอกจากเมิ่งซื่อแล้ว คนที่ใกล้ชิดหนานกงชิงที่สุดก็คือแม่นมหลานคนนี้ เมื่อครั้งหนานกงชิงถูกส่งกลับไปยังตานหยาง แม่นมหลานรั้นจะตามนางไปให้ได้ แต่ถูกเจิ้งซื่อขัดขวางจึงต้องอยู่ที่จวนฉู่กั๋วกง หลายปีมานี้เรียกได้ว่าหัวใจแตกสลายเพราะคุณหนูใหญ่ที่ต้องออกจากบ้านไปตั้งแต่เด็ก
พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้ว หนานกงมั่วจึงเอ่ยว่า “แม่นมหลาน ข้ากลับมาแล้ว อย่าเสียใจไปเลย”
แม่นมหลานพยักหน้าตอบว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวได้ถูกแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นเรื่องที่ดีควรดีใจจึงจะถูก” ทันใดนั้นก็รีบยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาบนใบหน้า จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “คุณหนูใหญ่เดินทางมาเหนื่อยๆ บ่าวดูแลเรือนจี้ชั่งนี้เป็นอย่างดี ตอนนี้คุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยตอบ “เรือนหลังใหญ่เพียงนี้ แม่นมดูแลเพียงลำพังหรือ”
แม่นมหลานยิ้มตอบ “ได้อย่างไรกันเจ้าคะ คุณชายใหญ่ส่งสาวใช้สองคนมาอยู่กับบ่าว สามคนช่วยกันดูแลก็เพียงพอแล้ว เรือนจี้ชั่งนี้คุณหนูเก็บไว้ให้คุณหนูใหญ่ บ่าวต้องดูแลแทนคุณหนูและคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่หรือ” หนานกงมั่วขมวดคิ้วสงสัย
แม่นมหลานเองก็เข้าใจปมในใจระหว่างหนานกงมั่วและหนานกงชวี่ แต่นางเองก็ไม่รู้ต้องบอกหรือเกลี้ยกล่อมอย่างไร จึงทำได้แต่เพียงบอกว่า “คุณชายใหญ่…สำหรับคุณชายใหญ่เองก็คงไม่ง่ายนัก ในใจของเขายังมีคุณหนูและคุณหนูใหญ่อยู่ คุณหนูใหญ่…”
“ข้ารู้ แม่นมไม่ต้องกังวล” หนานกงมั่วยิ้มบางๆ หันกลับไปหาพ่อบ้านที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยเสียงเรียบ “พาสาวใช้ที่ข้าพามาด้วยเข้ามา นอกจากนี้ คนที่ควรมีในเรือนจี้ชั่งก็จัดการให้ข้าด้วย ส่งให้แม่นมหลานก็พอ”
พ่อบ้านรีบตอบรับด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่วางใจได้ขอรับ ข้าน้อยได้จัดการเรียกคนที่เรือนโล่วเย่ว์มาแล้วมีสิ่งใดไม่เพียงพอจะรีบจัดหาให้ทันทีขอรับ” เรือนโล่วเย่ว์เป็นเพียงห้องหนึ่งห้อง ทว่าเรือนจี้ชั่งนั้นเป็นเรือนใหญ่ จำนวนคนที่ต้องการแน่นอนว่าย่อมต้องไม่เท่ากัน พ่อบ้านเองมิใช่คนไม่รู้มารยาท แน่นอนว่าไม่กล้าละเลยต่อบุตรีคนโตของตระกูลหนานกงผู้นี้