หนานกงฮุยยังเชื่อพี่ชายของตนอยู่ เขาโตกว่าหนานกงมั่วไม่ถึงสามปี ตั้งแต่มารดาคลอดน้องสาวก็ร่างกายอ่อนแอลง หนานกงฮุยจึงเติบโตมากับพี่ชายอย่างหนานกงชวี่ แม้เจิ้งซื่อจะดีกับพวกเขาสองพี่น้อง แต่ว่าไปแล้วเจิ้งซื่อนั้นดูจะใส่ใจหนานกงชวี่ที่เป็นบุตรชายคนโตของเชื้อสายหลักมากกว่า และเมื่อครั้งที่หนานกงฮุยยังเด็กนั้นค่อนข้างต่อต้านเจิ้งซื่อ ดังนั้นหนานกงฮุยจึงเติบโตมากับหนานกงชวี่ เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้ หนานกงฮุยจึงวางใจขึ้นมาบ้าง สายตาอ่อนลงไป เอ่ยด้วยท่าทีละอายใจ “พี่ใหญ่…”
หนานกงชวี่ยกมือขึ้นห้ามเขา เอ่ยว่า “ข้ารู้ หลายปีมานี้มั่วเอ๋อร์…ต้องลำบากมามาก เราค่อยๆ ชดเชยให้นางก็พอแล้ว”
หนานกงฮุยเงียบไป เห็นได้ชัดว่ามั่วเอ๋อร์ต่อต้านพวกเขา พวกเขาจะมีโอกาสชดเชยให้จริงๆ น่ะหรือ เนิ่นนานทีเดียว หนานกงฮุยจึงถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ แล้วแต่ท่านเถิด ข้าจะไปดูมั่วเอ๋อร์”
เมื่อออกมาจากเรือนของหนานกงชวี่ หนานกงฮุยจึงมุ่งตรงไปยังเรือนจี้ชั่ง กลับได้ยินแม่นมหลานแจ้งว่าคุณหนูออกไปข้างนอก ขณะเดียวกันก็ได้ยินแม่นมหลานเล่าถึงเรื่องเจิ้งซื่อยกเงินเข้ามาด้วยความโกรธ หนานกงฮุยจึงตรงไปยังห้องหนังสือของหนานกงไหวด้วยใบหน้าทะมึน
หนานกงมั่วเดินไปมาบนถนน เที่ยวชมร้านสองข้างทางอย่างสนอกสนใจ เมืองจินหลิงชั่งเจริญรุ่งเรืองกว่าตานหยางหลายสิบเท่าจริงๆ กระทั่งร้านค้าข้างทางยังมีอะไรน่าสนใจมากมาย เพียงแต่หนานกงมั่วออกมามิใช่เพื่อเที่ยวชมไปเรื่อย เมื่อกลับมาถึงจินหลิง กิจการเก่านั้นแน่นอนว่าทำไม่ได้แล้ว นอกจากนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสร้างกิจการเก่าขึ้นในสถานที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แต่เงินในมือก็ไม่สามารถทิ้งให้อยู่เฉยได้ แน่นอนนางต้องหาสิ่งใหม่ๆ ทำ ช่วยไม่ได้ คุณหนูหนานกงในชาติที่แล้วหรือปัจจุบันนั้นมีงานอดิเรกคือการเล่นกับเข็มเงิน อีกอย่างก็คืออีกสองวันนางต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลเซี่ย นางต้องหาของที่เหมาะสมเพื่อมอบเป็นของขวัญ
ประจวบเหมาะกับที่นางเดินไปยังหอไต้เย่ว์ทางทิศตะวันตกของเมือง เมื่อเดินเข้าไป เถ้าแก่ก็รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ “ยินดีต้อนรับคุณหนูเที่ยวชมร้านของเราขอรับ ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการซื้อสิ่งใด หอไต้เย่ว์ของเราเป็นร้านวัตถุโบราณที่ดีที่สุดในจินหลิง เพียงแม่นางเอ่ยมา เราสามารถหาให้ได้ทุกอย่าง” ดวงตาเถ้าแก่นั้นมีแวว แม้หญิงสาวตรงหน้าจะไม่ได้สวมเสื้อผ้าราคาแพง แต่เพียงมองก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีเงิน
หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ย “ข้าไม่ต้องการวัตถุโบราณ ข้าต้องการหยกแกะสลักของอาจารย์จ้าว”
อาจารย์จ้าวเป็นผู้มีชื่อเสียงด้านการแกะสลักหยก หยกที่ถูกเขาแกะออกมางดงามไม่ธรรมดา ซ้ำยังมีบางอย่างที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง และในหนึ่งปีอาจารย์จ้าวจะแกะสลักชิ้นหยกเพียงหนึ่งถึงสองชิ้นเท่านั้น บางครั้งสองปีก็ยังไม่มีชิ้นผลงานออกมาให้ได้เห็น ดังนั้น แม้จะเป็นผลงานในยุคปัจจุบัน ทว่าราคากลับแพงไม่ต่างจากวัตถุโบราณเลย
รอยยิ้มของเถ้าแก่ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก เอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม “แม่นางช่างทันข่าว สามเดือนที่แล้วร้านของเราพึ่งจะได้ผลงานของอาจารย์จ้าวมาหนึ่งชิ้นพอดีขอรับ”
“สามเดือนก็ยังไม่ได้ขายงั้นหรือ” หนานกงมั่งเลิกคิ้ว แน่นอนว่านางรู้ เมื่อหกเดือนที่แล้วคนแซ่จ้าวนั่นยังมาเมาอยู่ที่หออิ๋งซิ่วอยู่เลย
เถ้าแก่ยิ้มขื่น เอ่ยตอบ “อาจารย์จ้าวนั้นอารมณ์แปรปรวน บอกว่าหากไม่มีผู้ใดมาถามถึงก็ห้ามขาย ผู้ที่มาถามอายุมากกว่าสิบแปดก็ห้ามขาย อีกทั้งหญิงสาวที่แต่งงานแล้วก็ห้ามขาย บุรุษยิ่งห้ามขาย เอ่อ…แม้อาจารย์จ้าวจะมีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่แม่นางอายุสิบห้าสิบหกไหนเลยจะชอบผลงานชิ้นหยกแกะสลักกันเล่าขอรับ เอ่อ…ข้าไม่ได้หมายถึงแม่นาง…” อีกอย่างเด็กสาวแม้จะชอบก็คงสู้ราคาชิ้นหยกแกะสลักของอาจารย์จ้าวไม่ได้แน่
หนานกงมั่วไม่สนใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะซื้อไปให้คน อาจารย์จ้าวคงไม่ได้บอกว่าซื้อไปมอบให้ใครก็ห้ามขายหรอกใช่หรือไม่”
เถ้าแก่นิ่งอึ้ง เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยออกมาได้ “เรื่องนี้มิได้กล่าวถึง เชิญแม่นาง ของอยู่ตรงนี้แล้วขอรับ”
“เถ้าแก่เชิญนำทางเถิด”
บนผ้าไหมอ่อนนุ่มมีหยกขาวที่ถูกแกะสลักเป็นเครื่องรางนำโชคชิ้นเล็กขนาดหนึ่งชุ่นวางอยู่ เครื่องรางนั้นถูกแกะสลักมาจากหยกขาวทั้งชิ้น หยกชิ้นนั้นถูกแกะออกมาเป็นรูปที่มีความหมายที่ดี งดงามสูงส่ง เถ้าแก่ยกกล่องขึ้นด้วยท่าทางระมัดระวัง “หยกนำโชคชิ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของอาจารย์จ้าวในรอบหลายปี ไม่ว่าจะมอบให้ผู้ใหญ่หรือใครล้วนเหมาะสม แม่นางลองดูว่าเป็นเช่นไรเถิด”
หนานกงมั่วขยับเข้าใกล้ ยกมือขึ้นหยิบชิ้นหยกขึ้นมา สัมผัสไปยังร่องรอยแกะสลักก้อนเมฆมงคลด้านข้างจึงพยักหน้าลงด้วยท่าทางพึงพอใจ “เป็นผลงานของอาจารย์จ้าวจริงๆ”
สีหน้าเถ้าแก่เปลี่ยนไป มองหนานกงมั่วด้วยท่าทีระมัดระวังมากขึ้น บนโลกนี้มีไม่กี่คนที่รู้ถึงความเคยชินของอาจารย์จ้าวยามแกะสลักและรู้วิธีแยกแยะว่าจริงหรือปลอม เพราะเหตุนี้ในตลาดจึงมีของลอกเลียนแบบจำนวนมาก
“แม่นางโปรดวางใจ หอไต้เย่ว์ของเราไม่เคยขายของปลอม ชิ้นหยกแกะสลักของอาจารย์จ้าวแม้ไม่ใช่วัตถุโบราณ แต่สินค้าที่ทางร้านเราขายล้วนแล้วแต่เป็นของแท้”
หนานกงมั่วพยักหน้าพึงพอใจ “ดีมาก เอาชิ้นนี้ ห่อแล้วช่วยส่งไปยังจวนฉู่กั๋วกงให้ข้า”
“อ้อ ที่แท้แม่นางก็เป็น…คุณหนูของจวนฉู่กั๋วกงหรอกหรือขอรับ” เถ้าแก่ค่อนข้างลังเล เขาเคยเจอคุณหนูของจวนฉู่กั๋วกงแล้วหนึ่งครั้ง ทว่าจำได้ว่าไม่ใช่คนนี้ รู้สึกไม่มั่นใจลังเลขึ้นมา เสียงชายหนุ่มด้านหน้าประตูก็ดังขึ้น “เถ้าแก่ แม่นางผู้นี้ซื้อสิ่งใดไป ลงบัญชีข้าไว้ก็ได้” ระหว่างที่เอ่ย ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรก็เปิดผ้าม่านเดินเข้ามา
หนานกงมั่วหันกลับไป เป็นเพียงชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ใบหน้าเรียกได้ว่าหล่อเหลา ทว่าแววตาสกปรกนั้นทำให้รูปลักษณ์ดูแย่ลงไม่น้อย เถ้าแก่ขมวดคิ้ว รีบเอ่ย “คุณชายสาม แม่นางท่านนี้…” ชายหนุ่มโบกมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “รู้แล้ว รู้แล้ว ก็แค่แม่นางในจวนหนานกงมิใช่หรือ เจ้าคือสาวใช้เคียงกายของหนานกงซูอย่างนั้นหรือ น่าแปลก คุณหนูใหญ่หนานกงชอบใช้สาวใช้หน้าตาสะสวยตั้งแต่เมื่อใดกัน เยี่ยงเจ้านี้…คงไม่ได้อยู่สุขสบายในเรือนหนานกงนักหรอกใช่หรือไม่ ไปอยู่กับคุณชายเช่นข้าดีหรือไม่ล่ะ”
หนานกงมั่วนิ่ง ใช้สายตากวาดมองเครื่องแต่งกายของชายตรงหน้า แม้จะไม่ได้ดูหรูหราเท่าใดนัก ทว่าก็ยังแตกต่างจากบ่าวรับใช้
“คุณชายสาม แม่นางท่านนี้มิใช่…” เถ้าแก่เหงื่อตก แม่นางท่านนี้ใช่สาวใช้ที่ไหนกันเล่า กล้าเอ่ยนามจวนหนานกงถึงเพียงนี้ คิดว่าฐานะคงมิใช่ธรรมดา หากคุณชายสามท้าทายต่ออำนาจของจวนฉู่กั๋วกงก็คงมิเป็นการดีแน่
คุณชายสามผู้นี้ดูจะไม่พอใจกับการขัดขวางของเถ้าแก่ ผลักเถ้าแก่ออก เอ่ยขึ้น “หลบไป” ในมือของเถ้าแก่มีกล่องผ้าไหมอยู่ ตกใจกลัวว่ามันจะหล่นลงบนพื้นจนเหงื่อซึมไปทั่วทั้งตัว
“เป็นเยี่ยงไร แม่สาวน้อย ไปอยู่กับข้าเถิด ข้าจะซื้อเจ้าจากจวนฉู่กั๋วกง ต่อไปนี้ก็ไปอยู่กับคุณชายเช่นข้า มีความสุขอยู่กับความหรูหราสุขสบาย”
“เจ้าต้องการซื้อข้างั้นหรือ” หนานกงมั่วกะพริบตา เอ่ยถามด้วยท่าทีประหลาดใจ “เจ้าซื้อไหวหรือ”
คุณชายสามเอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งยโส “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงคุณชายสามจวนเกาอี้ปั๋ว เจ้าว่าข้าซื้อเจ้าไหวหรือไม่ ถึงแม่จะเป็นหนานกงไหว ก็คงไม่ร่ำรวยเช่นตระกูลจูหรอกกระมัง” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คุณชายสามยิ่งลำพองใจ ทั่วทั้งเมืองจินหลิงนอกจากราชวงศ์แล้ว ใครจะมีเงินมากมายเท่าตระกูลจูกันเล่า ทุกวันนั้นถือเงินเดินไปทั่ว เหล่าคุณชายตระกูลขุนนางเหล่านั้นแน่นอนว่ายกย่องเขาสูงส่ง ยกย่องเสียจนเขาลืมชาติกำเนิดตนเองไป